บทที่ 361
การรวมโลก
ดูเหมือนว่าการพูดคุยของทั้งสามดินแดนและดินแดนดำมืดจะเป็นไปได้ด้วยดีแต่ก็ยังก็การแตกคอกันอยู่บ้าง
กลางดึก กลุ่มของชายชุดดำว่ายน้ำกันด้วยความเร็วในความมืด
หลินหยางที่อยู่ในห้องยกริมฝีปากและแสยะยิ้มออกมา เขาโบกมือและอีกทีมที่ดูแข็งแกร่งกว่าก็ตามไป คิดว่าจะมาขโมยอาวุธเขาได้ง่ายๆงั้นเหรอ
อย่างแรก เราไม่ได้บอกว่าผู้พิทักษ์เมืองถูกปกป้องโดยผู้คนทั้งหมด มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้เฝ้าเมือง เขายังใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างกองทหารลับที่ชาญฉลาดอีกด้วย นอกจากคนในดินแดนดำมืดแล้วก็ไม่มีทางรู้เลยว่ากองกำลังพวกนี้ไปหลบอยู่ตรงไหนกันบ้าง!
กลางดึก หวังฉิงนอนไม่หลับแต่กลับพลิกตัวไปมาแล้วจึงลุกขึ้นมานั่งหลังตรง หลังจากที่เฝ้ารอมาหลายวันสุดท้ายเขาก็จะได้เจอเธอแล้ว
หวังฉิงเพิ่งจะได้รับรายงานลับจากทหารชุดดำและได้รู้ว่าสุดท้ายมู่เทียนก็โผล่ตัวออกมาแล้วซึ่งตอนนี้อยู่ที่สวนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
เขารีบเดินออกประตูไปทันที ผู้หญิงคนนี้ เขาอยากที่จะเห็นว่าเธอเป็นยังไงบ้าง คนแบบหลินหยางจะมาชอบเธอจริงๆได้ยังไงกัน ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เง่าจริงๆเลย!
มู่หรงเสวี่ยกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินในศาลาพร้อมทั้งนวดไปที่ขมับเบาๆ ช่วงนี้เธอมักจะปวดหัวตลอดและเฟิงจือหลิงก็กลายเป็นอ่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำของเธอ เธอไม่อยากที่จะสงสัยเขาแต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะให้เธอฟื้นความทรงจำงั้นแหละ เธอเองก็อยากจะคิดว่านี่เป็นเพราะเธอคิดมากไปเอง
“ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะสบายดีนะ” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม เขามองไปยังชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้และรอบตัวเธอก็ไม่มีสาวใช้อยู่ข้างกาย เธอคงจะอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากแน่ๆ
มู่หรงได้สติกลับมาทันที “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“แปลกใจงั้นเหรอ? ที่ไม่ออกมาข้างนอกก็เพราะที่จะหลบหน้าข้างั้นเหรอ?” หวังฉิงมองไปที่เธออย่างสงสัย เธอดูเหมือนจะผอมลงกว่าแต่ก่อน ไอ้ลูกหมาเอ๊ย! เขาต้องให้เธออยู่อย่างเจ็บปวดแน่ๆ
มู่หรงเลิกคิ้วขึ้น เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะหลบหน้าเขาแต่หลายวันที่ผ่านมาเธอรู้สึกไม่ค่อยสบายจนไม่อยากที่จะออกมาข้างนอก อีกอย่างการเตรียมการทุกอย่างก็พร้อมแล้วด้วย
“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทะเยอทะยานมากแค่ไหน เจ้าสนใจก็แค่เรื่องความฉลาดของเขาเท่านั้น” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ในเมื่อเจ้าเองก็เห็นความแตกต่างแล้ว งั้นทำไมไม่รับข้อเสนอล่ะ หลินหยางก็เป็นองค์ราชาที่ดีไม่ใช่เหรอ?” ถ้าเป็นแบบนั้น มู่หรงเสวี่ยก็มั่นใจมากว่ามันจะไม่มีสงครามและการนองเลือดเพราะทางแก้แบบสันติย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
“เหอะ คิดว่าข้าตาบอดเหรอไง?” ยอมแพ้เหรอ ทำไมต้องให้พวกเขายอมแพ้ด้วยล่ะ โลกนี้ไม่ใช่โลกของคนพวกนี้แต่กลับจะเข้ามาควบคุมโลกของพวกเขาไปอย่างหน้าตาเฉย แล้วดินแดนที่ยิ่งใหญ่ของเขาจะยอมแพ้โดยไม่สู้ได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ คนแบบเขาไม่มีทางลดเกียรติของตัวเองได้แน่ๆและสุดท้ายเขาก็จะต้องสู้
“กับเจ้า เราต่างก็ถูกลิขิตมาให้เป็นศัตรูของกันและกัน” มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและพยายามที่จะสูดอากาศหายใจแต่เธอก็บังเอิญไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้าอย่างจัง
“เดี๋ยวก่อน” หวังฉิงกอดมู่หรงไว้ในอ้อมแขน
มู่หรงค่อยๆปัดมือเขาออกและพูดออกมา “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ถ้ายังคุยต่อไปข้าคงจะต้องสงสัยว่าเจ้าพยายามจะเอาอะไรจากข้า”
”หลินหยางกับเจ้ามาจากโลกเดียวกัน ทำไมพวกเจ้าไม่อยู่ในโลกของตัวเองแต่กลับมาแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองแบบนี้” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มู่หรงแปลกใจจนต้องอ้าปาก ฉลาดมาก เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่มีรางวัลอะไรจะตอบแทน
“เพราะโชคชะตาพาให้ต้องกลับมาไงล่ะ”
“ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” หวังฉิงเองก็รู้ว่าเธอพูดอะไรไม่ได้แต่เขาแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอ? นี่เธอหลอกเขางั้นเหรอ
มู่หรงเสวี่ยหยุด “ทำไมเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นหนทางของการพัฒนาโลกล่ะ? หลินหยางสามารถที่จะสร้างโลกที่ก้าวหน้าไปกว่านี้ได้มาก เขาจะต้องสามารถที่จะสร้างโลกที่ผู้คนอยู่กันอย่างสบายได้แน่” เธอพูดออกมาเสียงเรียบ
“เหอะ การพัฒนามันไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนหรอกนะและการพัฒนาอาวุธก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกชีวิตที่สมบูรณ์แบบได้หรอกนะ ใครเป็นคนบอกกันว่าผู้คนในดินแดนของพวกเราไม่มีความสุข?” หวังฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขายังไม่ยอมอ่อนข้อ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคาดเดาจุดจบได้แล้ว
“แล้วแต่เจ้าแล้วกัน” มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะพูดอะไรอีก อีกอย่างเธอก็ปวดหัวมากด้วย
ร่างที่เห็นเป็นของใครกันนะ? ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นหน้าเลย
หวังฉิงที่ยืนอยู่ในความมืด ร่างกายดูเหมือนจะเปล่งรังสีความเยือกเย็นออกมา แน่นอนว่าเขาทำอะไรมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ ถึงแม้เขาอยากจะทำอะไร เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี เขาไม่ได้ลืมว่าทุกด้านมีทหารยืนเรียงรายอยู่ด้วย
หลินหยางเริ่มที่จะทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆถึงขนาดดินแดนแห่งสายลมและดินแดนหิมะโอนเอนกับความคิดของเขาได้ เหอะ เขาไม่อยากที่จะล้มดินแดน ต่อให้เขาต้องตาย เขาก็จะดึงคู่ต่อสู้ตายตามไปด้วยกัน
องค์ราชาของทั้งสามดินแดนต่างก็มีความคิดอยู่ในใจ พวกเขาเป็นมิตรกันอยู่สองสามวันก่อนที่จะแยกย้ายกันไป
หลินหยางไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการสังหารชีวิตพวกเขา ยังไงซะคนพวกนี้ก็เป็นที่นับถือในดินแดนของตัวเองและต่างก็มีเกียรติสูงศักดิ์ เขาไม่อยากที่จะสร้างประเด็นการลุกฮือของทุกดินแดน ถึงแม้มันจะควรเป็นแบบนั้นแต่เขาก็ไม่อยากที่จะใช้วิธีนี้
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เจอหวังฉิงอีก ผู้หญิงที่หัวใจมีแต่เรื่องดินแดน ต่อให้เป็นเรื่องหัวใจก็ยังมองเป็นเรื่องรอง
หลังจากสงครามหวังฉิงเป็นดินแดนแรกที่เข้าโจมตีดินแดนดำมืดพร้อมด้วยคำขวัญที่ว่าจำกัดวิญญาณร้าย หลังจากนั้นดินแดนแห่งสายลมและดินแดนหิมะก็ตามมา
ไม่มีใครยอมที่จะยอมแพ้พื้นที่เขาและแม่น้ำที่ดีแบบนี้หรอก เกิดเสียงร้องไห้คร่ำครวญไปทั่วทั้งโลก
หลินหยางพร้อมด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นที่ปกปิดความไม่พอใจของสงครามที่โหดร้ายนี้เข้าโจมตีด้วยความรวดเร็ว เว้นแต่โลกจะรวมกันเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง สงครามจะคงอยู่ตลอดไป
การสู้รบที่นองเลือดนี้กินเวลาไปกว่าครึ่งปี ดินแดนดำมืดแทบจะกลายเป็นหุบเขาแห่งซากศพ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดที่อาบนองพื้นไปหมด
องค์ราชาของทั้งสามดินแดนต่างก็ตัดสินใจกันด้วยตัวเอง หลังจากสงครามทั่วทั้งโลกต่างก็บอบช้ำ
หลินหยางออกเดินทางเพื่อฟื้นฟู ปรับปรุง มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเองก็เดินทางไปหลายดินแดนเพื่อฟื้นฟูด้วยเหมือนกัน
“จือหลิง” มู่หรงพูดออกมาอย่างกังวลเล็กน้อย
“เสี่ยวเสวี่ยมีอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงบีบมือเธอและถามออกมาเสียงอ่อนโยน เวลาที่เหลือ เขาไม่รู้ว่ายังมีอีกเท่าไรแต่ทุกวินาทีที่เขาได้อยู่กับเธอ เขาจะใช้มันไปอย่างคุ้มค่า
“องค์ราชาของทั้งสามดินแดนตายแล้ว ข้าหวังว่าเราจะไม่ได้เลือกผิดนะ” มู่หรงพูด
หลินหยางคือสายเลือดของมังกรที่แท้จริงหรือเปล่านะ?! จนตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ชัด เสี่ยวไป๋เองก็ไม่รู้วิธีที่จะหาสายเลือดที่แท้จริงของมังกรด้วย เธอรู้เพียงแค่ว่าเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้วงเวลา
ตอนนี้ที่หลินหยางรวมโลกได้แล้ว เขาก็ควรที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงแค่ว่ามู่หรงเสวี่ยถามเขาก่อนที่เขาจะไปและเขาก็ไม่รู้อะไรเลย
นอกจากนี้ทุกวันนี้ผู้คนต่างก็ต้องทุกข์ทรมาน มู่หรงก็ไม่อยากที่จะเข้าไปรบกวนเขามากเกินไปด้วย “บางทีนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวลนะ” เฟิงจือหลิงพยายามที่จะปลอบใจเธอ
มู่หรงพยักหน้าเบาๆ เธอทำได้เพียงเท่านี้
การแก้ไขปรับปรุงกินเวลาไปกว่าครึ่งปี สามดินแดนก็ไม่ใช่สามดินแดนอีกแล้ว
แต่กลายเป็น ดินแดนแห่งสายลม, ดินแดนแห่งไฟ และดินแดนหิมะ
หลินหยางขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นคานต์
ในวันที่เขาขึ้นครองราชย์ มีลำแสงธรรมชาติส่องตรงไปยังบัลลังก์ของมังกรในป่ามหาสมุทรและยังมีภาพเรือทองคำมังกรล่องอยู่ให้เห็นอีกด้วย
ภาพนี้ทำให้คนที่ได้เห็นกับตาต่างก็ต้องตกตะลึงกันนับไม่ถ้วนและยังทำให้การรวมกันของผู้คนของหลินหยางถูกเตรียมได้อย่างดีมากขึ้นด้วย
ไม่นานตำนานขององค์จักรพรรดิมังกรก็กระจายไปทั่วดินแดน คนที่ประหลาดใจกับเรื่องนี้มากที่สุดคือมู่หรงเสวี่ยและหลินหยาง
พวกเขามั่นใจใจทันทีว่าหลินหยางคือหนึ่งในสายเลือดที่แท้จริงของมังกร หนึ่งวันหลังจากการขึ้นครองราชย์ของ หลินหยางเสร็จสมบูรณ์ มู่หรงก็รอไม่ไหวที่จะไปเจอหลินหยาง
“หลินหยาง อุโมงค์แห่งห้วงเวลาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงไม่สนใจเหล่าคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นและพูดถามออกไปตรงๆ
หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสีหน้าปวดหัว แล้วโบกมือออกมา “ทุกคนออกไป”
ทุกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นต่างก็ล่าถอยออกไป
“ไว้หน้าข้าหน่อยสิ ตอนนี้ข้าเป็นจักรพรรดิแล้วนะ” หลินหยางมองไปที่เธอและพูดออกมา
มู่หรงเสวี่ยตะลึงนิ่ง “ไม่เอาน่า ครั้งหน้าข้าจะไว้หน้าเจ้าแล้วกัน รีบบอกข้ามาเร็วสิว่าอุโมงค์ห้วงเวลาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงเสวี่ยถาม
ดวงตาของหลินหยางแวบประกาย เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรจริงๆ “อยู่ทางเหนือ” เขาตอบเสียงเรียบ
“งั้นเจ้ามัวรออะไรอยู่ล่ะ? ไปกันเถอะ” มู่หรงดึงเขาออกมา
“เดี๋ยวสิ” หลินหยางเกือบที่จะล้มลงมา
“เร็วเข้าสิ”
“ไม่เอาน่า ข้าเพิ่งจะขึ้นครองราชย์เองนะ ข้ายังไปไม่ได้หรอก” หลินหยางพูดออกมาอย่างปวดหัว
“งั้นมันต้องนานอีกแค่ไหนล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะไปตอนนี้แล้ว เธออยากที่จะรีบไปตามหาพ่อแม่
“อย่างน้อยก็ต้องรอให้สถานการณ์บ้านเมืองเรียบร้อยซะก่อน ถ้าข้าไปตอนนี้ คนอื่นจะไม่เข้ามาเอาเปรียบหรือไง?” ถึงแม้หลินหยางจะเข้าใจว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนยังไง เธอเป็นเหมือนลูกธนูที่พร้อมจะวิ่งตรงกลับบ้าน แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่เขาจะรวมโลกได้ ทุกดินแดนต่างก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะทิ้งไป
มู่หรงเสวี่ยเงียบไป เธอเข้าใจดีว่าสิ่งที่หลินหยางพูดมันถูกต้อง “ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ขอโทษนะ” เมื่อพูดจบ มู่หรงเสวี่ยก็กำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวสิ ข้ามีบางอย่างที่จะพูดกับเจ้า” หลินหยางพูด
มู่หรงเลิกคิ้ว ตอนนี้เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามันคืออะไร “มีอะไรเหรอ?”
“ข้ายกเจ้าให้เป็นพระมเหสีได้ไหม? เจ้าจะได้ช่วยข้าจัดการกับเรื่องพวกนางสนม” หลินหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเครียดขึ้นและสงสัยว่าเธอได้ยินอะไรผิดหรือเปล่า “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ใช่แล้ว คือ…เฮ้ เจ้าก็รู้” หลินหยางเบื่อจะตาย วันแรกที่เขาขึ้นครองราชย์ เขาก็ถูกกลุ่มผู้หญิงมากมายล้อมรอบ
“ฟิ้ว เจ้าบ้าหรือไง? ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ยังไง? เจ้าก็มีความสุขกับการที่ได้เป็นจักรพรรดิไม่ใช่หรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมเหล่ตาไปที่เขา
“คือข้าปวดหัวกับผู้หญิงพวกนี้มาก ตอนนี้เจ้าเป็นคนเดียวที่จะช่วยข้าได้ อีกอย่างเจ้าจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระข้าด้วยไง เจ้าไม่อยากจะกลับบ้านเร็วๆเหรอ? ถ้าข้ามัวแต่ต้องคอยจัดการเรื่องพวกหญิงพวกนี้ งั้นข้าก็ไม่มีเวลามาจัดการเรื่องของบ้านเมือง งั้นก็คงอีกหลายปีกว่าที่ข้าจะว่างได้” หลินหยางพูดพร้อมทั้งคอยสังเกตสีหน้าของมู่หรงไปด้วย
มู่หรงเบ้ปากแล้วจึงพูดออกมา “จือหลิงได้ฆ่าตายกันพอดี” ให้เธอมาเป็นมเหสีของหลินหยางทั้งๆที่อยู่ต่อหน้า เฟิงจือหลิงเนี่ยนะ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆไม่ใช่เหรอ?!
“เรื่องพี่เฟิงข้าจะอธิบายกับเขาเอง ข้าจะช่วยเจ้า เขาจะคิดว่าข้าชอบเจ้าได้ยังไงใช่ไหมล่ะ? อย่ามาตลกน่า” หลินหยางพูดพร้อมมองไปที่เธอด้วยสายตาดูถูก