บทที่ 643 เส้นทางสู่ความเป็นอมตะ

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 643 เส้นทางสู่ความเป็นอมตะ
หากจะเดินทางจากทวารานาจักรไปยังเส้นทางแห่งความเป็นอมตะ คนผู้นั้นมิจำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังทางออกและเข้าจากอีกด้านหนึ่ง เพราะประตูดำบานหนึ่งได้เชื่อมต่อกับเส้นทางแห่งความเป็นอมตะไว้แล้ว ธานอสและมาสเกลีนสงสัยว่าภูติผีแปลกประหลาดจะเข้ามาในทวารานาจักรจากทางนี้ เพราะพวกมันต่างมีรูปลักษณ์ของเส้นทางสู่ความเป็นอมตะอย่างชัดเจน

หลังจากที่สัตว์ประหลาดจงใจเปลี่ยนรูปแบบการหมุนเวียนพิกัดของทวารานาจักร ลูเซียนกับไรห์นก็ได้เห็นโลกแห่งฝุ่นผงสีเทาคละคลุ้งทันทีที่ทั้งสองเปิดประตูดำ และมีถนนเส้นตรงสายหนึ่งที่จะนำพาไปสู่ความลึกล้ำยากหยั่งถึง

ณ เวลานั้น ลูเซียนกับไรห์นพลันเข้าใจว่าเหตุใดแม็คลอยด์ มาสเกลีน และนักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ จึงหลบหนีไปมิสำเร็จ นั่นก็เพราะสัตว์ประหลาดมีความสามารถในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงภายในทวารานาจักรนั่นเอง เมื่อพวกเขาไปถึงพิกัดของทางเข้าตามที่คำนวณไว้ พวกเขาก็จะพบว่ามันคือห้องทดลองที่เพิ่งจากมา พวกเขาจะรู้สึกใจสลายขนาดไหนกัน!

ลูเซียนค่อนข้างหวั่นใจกับอนาคตเช่นนั้น หากว่าสัตว์ประหลาดไม่ต่อต้านไวเค็น แม้แต่มนุษย์ครึ่งเทพก็ไม่อาจหลบหนีไปจากทวารานาจักรได้และทำได้เพียงกลับสู่ความว่างเปล่าหลังจากที่พวกเขาดับดิ้นไปนานแล้ว

นั่นคงเป็นสาเหตุที่พระเจ้าแห่งจันทราสีเงินกับเจ้าแห่งนรกมิกล้าเข้ามาสำรวจห้องทดลองของธานอสภายในทวารานาจักร

“ข้าไม่รู้เลยว่าพระสันตะปาปาคือไวเค็น ราชันย์แห่งความพินาศ ผู้กุมบังเหียนทั้งโฮล์มและบริแอนน์…” ลูเซียนเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย เกรกอรีที่หนึ่ง ชาร์ลีที่สอง หรือเบเนดิกต์ที่สามต่างก็เคยถูกไวเค็นครอบงำมาก่อนหรือหลังจากที่พวกเขากลายเป็นพระสันตะปาปา “อีกอย่าง ข้อจำกัดของ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ก็มีเพียง ‘ตัวเขา’ เท่านั้น…”

ฝุ่นผงสีเทาถูกลูเซียนใช้พลังจิตพัดโบกมันไปก่อนที่มันจะแตะต้องโดนตัวเขา

ไรห์นหรี่ตาลงเพื่อมองฝ่าฝุ่นทราย “ทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ภายใต้การควบคุมตราบใดที่เขาไม่มีโอกาสกลืนกินสัตว์ประหลาดเข้าไปหลวมรวม รายการ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ของเจ้าควรจะเผยแพร่ ‘ความลับของพระสันตะปาปา’ ให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะรับมือกับไวเค็น”

“ก่อนหน้านี้เราเคยทำให้ชื่อเสียงของพระสันตะปาปาแปดเปื้อนเกินไปด้วยการแอบอ้างว่าเขาคือร่างแปลงของเจ้าแห่งนรก ปีศาจร้ายที่ชื่นชอบเด็กหนุ่ม หรือนักเวทชั่วร้ายที่ปลอมตัวมา ‘ความลับของพระสันตะปาปา’ เหล่านั้นจะฟังดูไม่น่าตื่นตะลึงสักเท่าใดหากไร้ซึ่งหลักฐานยากจะปฏิเสธได้” ในที่สุดลูเซียนก็รู้แล้วว่าเด็กชายที่ชอบโกหกว่าหมาป่าบุกรุกรู้สึกอย่างไร

ไรห์นอดที่จะหัวเราะกับคำพูดของลูเซียนมิได้ “นั่นเป็นเพราะรายการวิทยุทั้งหลายของเจ้านำเสนอแต่สิ่งแปลกใหม่อย่างไรเล่า แต่อย่างน้อยที่สุด ครั้งนี้เจ้าก็มีเรื่องราวฉบับสมบูรณ์แล้ว พวกพระคาร์ดินัลหลวงคงต้องนึกสงสัยคล้อยตามไม่มากก็น้อย”

จากนั้น เขาก็เอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลายมากขึ้น “ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป มีความเป็นไปได้มากที่ดักลาสจะกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ไวเค็นจะทำลายสภาแห่งเวทมนตร์ ดังนั้น กาลเวลาอยู่เคียงข้างเจ้า ยิ่งเจ้ายืดเวลาออกไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และมันไม่จำเป็นจะต้องนำหลักฐานออกมาตีแผ่ แม้ว่าเจ้าจะมีมันก็ตาม เผื่อว่าไวเค็นจะตอบโต้กลับมาเพราะความจนตรอก”

“ขอรับ การต่อสู้อันยืดเยื้อจะส่งผลดีต่อฝ่ายเรา…” ลูเซียนส่ายศีรษะ “แต่ท่านประธานยังมีอุปสรรคอีกนานับประการในการเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เช่น แม้ว่าสูตรการแก้โจทย์ทั้งหลายในสมการแรงโน้มถ่วงในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจะไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็เชื่อว่าบางส่วนอาจสอดคล้องกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ในระบบจักรวาล ท่านประธานจะยังไม่กลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพจนกว่าปรากฏการณ์เหล่านั้นจะถูกค้นพบขอรับ”

เมื่อไม่ได้ยินคำตอบจากไรห์น ลูเซียนจึงหันกลับไปมอง แต่แล้วก็พบว่าเขามีท่าทางสับสนมึนงง

“เป็นอะไรหรือไม่ขอรับท่านไรห์น” ลูเซียนถามผ่านทางกระแสจิต

ไรห์นสูดหายใจเข้าและอ้าปากค้าง “อะไรคือสมการแรงโน้มถ่วง อะไรคือปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์”

ลูเซียนพลันตระหนักว่าบนโลกนี้ยังไม่มีดาราศาสตร์ มีเพียงโหราศาสตร์เท่านั้น เขากำลังจะอ้าปากอธิบาย แต่ไรห์นกลับยกมือขึ้นโบกไปมาด้วยความหวาดกลัวเสียก่อน “เราจะยังเป็นสหายที่ดีต่อกันได้หากเจ้าไม่พูดเรื่องอาร์คานา”

นั่นคือประโยคหนึ่งในนิทานเรื่องเล่าที่ลูเซียนแต่งขึ้นให้กับรายการเสียงแห่งอาร์คานา ไรห์นยืมคำพูดนั้นมาใช้ในยามนี้

ลูเซียนนึกขันขึ้นมาครามครัน แต่ในตอนนั้นเอง ประตูดำที่มีระลอกคลื่นมายาโอบล้อมก็ปรากฏขึ้น

ทั้งสองพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วและมาถึงหน้าทางเข้าของเส้นทางแห่งความเป็นอมตะภายในหนึ่งนาที

“ห้องอมตะนิรันดร์…” ไรห์นถอนหายใจเฮือก

ลูเซียนเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน ‘สิ่งใดกันที่ซ่อนอยู่ภายในห้องอมตะนิรันดร์ เหตุใดทุกคนที่เปิดประตูเข้าไปจึงผิดหวังนัก ความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ นี้มาจากไหนกัน’

ลูเซียนสะกดความตื่นเต้นลงไป ตรวจสอบประตูบานนั้น แล้วเปิดออก

ประตูถอยแง้มเปิดอย่างเชื่องช้า เส้นทางแสนโบราณพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา มันหาได้มีของประดับตกแต่งหรือร่องรอยของก้อนอิฐ ราวกับอยู่คนละภพชาติอย่างที่ยากจะอธิบายได้

“บางที ‘พลังพระเจ้าคุ้มครอง’ อาจจะเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านธานอสสร้างขึ้นโดยใช้เส้นทางสู่ความเป็นอมตะเป็นต้นแบบ…” ไม่ทราบอย่างไร แต่ลูเซียนกลับนึกถึง ‘พลังพระเจ้าคุ้มครอง’ ของราชาทูตสวรรค์

ไรห์นพยักหน้าขณะยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ทั้งสองอย่างคล้ายคลึงกันมากทีเดียว”

ขณะที่เขาพูด เขาก็ย่างเท้าเข้าไปเป็นก้าวแรก ด้วยระลอกคลื่นมายาที่อยู่รายล้อม ทำให้เขาเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะเหมือนจมลงไปใต้น้ำ

เมื่อได้รับการยืนยันว่าพวกเขาจะไม่ถูกแยกร่างขณะอยู่ในสภาวะนี้ ลูเซียนจึงก้าวเข้าไปเช่นกัน

ความรู้สึกเย็นยะเยือกเฉยชาลึกล้ำอย่างยิ่งยวดมาจากจุดที่ร่างกายเขาแตะโดนระลอกคลื่น ลูเซียนคล้ายกับจะเห็นภาพหลอนว่าตนเองกำลังถูกหลอมละลาย

ทันใดนั้น ลูเซียนก็ค้นพบว่าเส้นทางสู่ความเป็นอมตะได้หายไปแล้ว มันกระจายตัวกลายเป็นเมฆหมอกอันไร้ขอบเขต ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ตัวเขาก็ไม่อาจรักษารูปลักษณ์มนุษย์เอาไว้ได้ ตัวเขายืดขยายเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถระบุตำแหน่งแห่งเดียวได้

จากนั้น สภาวะยืดขยายก็พังทลายลง เส้นทางสู้ความเป็นอมตะปรากฏขึ้นมาอีกครา และร่างของลูเซียนก็ถูกควบรวมอัดแน่นเช่นกัน ในตอนนั้นเอง เขาก็มาถึงทางเลี้ยวบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะโดยที่ไรห์นยืนอยู่ข้างๆ

กระแสจิตไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป ไรห์นพยายามควบคุมตัวเอง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “เจ้าเองก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ ข้าดูแปลกไปหรือเป่า”

“ไม่ขอรับ ข้ามองไม่เห็นความแตกต่างใดๆ แต่ข้าเดาว่าเราคงจะถูกแยกร่างไปแล้วถ้าเราไม่ได้แปรสภาพมาอยู่ในสภาวะนี้” ลูเซียนพลันตระหนักว่าพวกเขาสามารถพูดคุยผ่านทางคลื่นบริสุทธิ์เท่านั้น

ไรห์นปัดทำความสะอาดเสื้อผ้าด้วยติดเป็นนิสัยพลางเอ่ยขึ้นว่า “ไปต่อกันเถอะ”

หลังจากที่พวกเขาเลี้ยวไปตามเส้นทาง ทั้งสองก็มองเห็นปราสาทที่มีลวดลายน่ากลัวทุกชนิดสลักไว้บนผนัง พวกมันจะทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสับสน

โชคดีที่ลวดลายส่วนใหญ่ถูกทำลายไปแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ลูเซียนกับไรห์นทานทนพวกมันได้ ทั้งสองเดินผ่านปราสาทไปอย่างรวดเร็ว

“ลายพวกนั้นคงจะถูกมนุษย์ครึ่งเทพอย่างท่านธานอสกับไวเค็นทำลายเป็นแน่” ลูเซียนค่อนข้างคร้ามเกรงต่อลวดลายแปลกพิสดารเหล่านั้น ซึ่งดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อกลืนกินสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ในสภาวะเดียวกับพวกเขาในตอนนี้

ไรห์นพยักหน้า “ในเมื่อสัตว์ประหลาดไวเค็นอนุญาตให้เราเข้ามาในนี้ ก็หมายความว่าเขาเชื่อว่าเราจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เพราะฉะนั้น เราไม่ควรแตกตื่นกับอะไรก็ตามที่เราอาจพบเจอต่อจากนี้”

หลังจากเปิดประตูเข้าไป ลูเซียนกับไรห์นก็ถูกยืดขยายร่างและพังทลายลงอีกครั้ง ก่อนจะเดินผ่านเส้นทางสู่ความเป็นอมตะมาถึงปราสาทหลังที่สอง

ปราสาทหลังที่สองนี้ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง แต่ในตอนที่ลูเซียนกำลังคิดว่าที่นี่ก็คงจะถูกทำลายไม่เหลือซากแล้วเช่นกัน เขาก็ได้ยินเสียงผะแผ่วหลายเสียงลอยมา

‘ใครกัน’ ลูเซียนหันขวับกลับไป และก็พบกับบุรุษผู้อยู่ในชุดสูทกระดุมสองแถวกำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น นี่มันตัวเขาเอง!

‘ภาพมายางั้นรึ’

แม้จะประหลาดใจ แต่ลูเซียนก็ตัดสินใจมองข้ามมันไปและตรงดิ่งไปยังทางออกของปราสาท

‘ลูเซียน’ ยิ้มเยือน ก่อนที่กล้ามเนื้อบนตัวเขาจะโป่งพองขึ้น แล้วเขาก็เหวี่ยงดาบยาวสีเงินเข้าโจมตี!

ลูเซียนเกือบจะหยุดตัวเองไม่ให้ใช้นาฬิกาจันทรากาลหรือเวทเคลื่อนที่พริบตาไม่ทัน แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็นึกถึงคำเตือนของไรห์นขึ้นมาได้และตัดสินใจรั้งรอ อย่างไรเสีย เขาก็ยังมีผลของเวทมนตร์ติดตัวอยู่!

หลังจากที่ดาบส่องประกายวูบผ่าน ‘ลูเซียน’ กับลูเซียนก็พุ่งผ่านอีกฝ่ายไปโดยมิเกิดการสัมผัสใดๆ

‘มันคือภาพมายาจริงๆ!’ หากเขาโจมตีออกไป ภาพมายาถึงจะกลายเป็นตัวจริง ส่วนตัวจริงก็จะกลายเป็นภาพมายาและติดอยู่ที่นี่ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ไรห์นเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เว้นแต่ว่าศัตรูของเขาคือสัตว์อสูรที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นผู้อารักขาสถานที่แห่งนี้ เคราะห์ดีที่เขาเองก็ไม่คิดจะป้องกันตัวและเข้าไปรับการโจมตีโดยตรง

หลังจากที่พวกเขาออกมาจากปราสาทได้ ลูเซียนกับไรห์นก็เดินผ่านเส้นทางสู่ความเป็นอมตะอีกสี่สาย และพบเจอปราสาทอีกสี่หลัง ซึ่งทุกแห่งนั้นพบเห็นได้เพียงร่องรอยซากปรักหักพัง

ทั้งสองค่อนข้างประหลาดใจ หากว่าพวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริง และรับการโจมตีโดยไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ พวกเขาอาจจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว ภาพมายานี่ช่างซับซ้อนจริงๆ!

เมื่อเปิดประตุบานตรงหน้า ลูเซียนก็พลันเบิกตาโพลง มันคือป่าที่มีต้นไม้สูงชะลูดและสัตว์ป่าที่ดูฮึกเหิมอย่างยิ่ง

มันแตกต่างจากโลกแห่งวิญญาณหรือเส้นทางสู่ความเป็นอมตะโดยสิ้นเชิง!

‘ภาพมายาอีกแล้วหรือ’

ลูเซียนกวาดตาสังเกตการณ์รอบๆ พลางมองหาทางออก แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้อง ‘เหมียว’

‘แมวงั้นหรือ’ ลูเซียนหันไปมองรอบๆ แต่ก็พบเพียงลูกแมวขนดำดวงตาสีเงินที่กำลังจ้องมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ท่านไรห์นอยู่ที่ใดกัน” เป็นตอนนั้นเองที่ลูเซียนรู้ตัวว่าไรห์นได้หายตัวไปแล้ว!

“เหมียว!” ลูกแมวส่งเสียงอีกครั้ง

ลูเซียนเอ่ยถามขณะครุ่นคิดอย่างหนัก “เจ้ารู้หรือว่าท่านไรห์นอยู่ที่ใด”

ขณะพูด ลูเซียนก็ได้ยินแต่เสียง ‘เหมียว’ เหมือนเดิม

‘เกิดอะไรขึ้นกันล่ะนี่’ ลูเซียนสำรวจตัวเองโดยพลัน และก็พบว่าตัวเขากลายเป็นลูกแมวขนสีขาวเหลืองไปแล้วเช่นกัน!

“แมวอีกตัวก็คือท่านไรห์นอย่างนั้นหรือ” ลูเซียนหันไปมองทางที่ตนเข้ามา ด้วยคิดว่าจะถอยกลับไปก่อน แต่ก็ต้องเศร้าใจเมื่อพบว่าทางเข้าได้หายไปแล้ว!

เขากำลังจะเขียนลงบนพื้นเพื่อสื่อสาร แต่กลับสัมผัสได้ว่าลำคอของตนถูกคว้าหมับ เขาดีดดิ้นทั้งสองมือสองเท้า แต่มันกลับไม่ได้ผลแต่อย่างใด ไรห์นเองก็เช่นเดียวกัน!

เสียงหัวเราะชั่วร้ายของสตรีดังขึ้น “จับเจ้าหัวขโมยอาหารสองตัวได้แล้ว! พวกเจ้าจะกลายเป็นมื้อค่ำของข้าในคืนนี้!”

‘ภาพมายางั้นหรือ’

ลูเซียนเริ่มคิดเช่นนั้น เพราะเรื่องแปลกๆ เช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้ ณ ที่แห่งนี้

‘ใจเย็น! นิ่งไว้!’ ลูเซียนบอกตัวเอง

หลังจากถูกพาตัวมายังกระท่อมของสตรีนางนั้น ลูเซียนกับไรห์นก็ถูกบั่นคอก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้หนีไปที่ใด

ลูเซียนแทบจะเป็นลมหมดสติเพราะความเจ็บปวดเหนือคำบรรยาย เขามองเห็นหยาดโลหิตไหลย้อยจากร่าง ‘ของเขา’

ความเจ็บปวดพรรค์นั้นควรจะเป็นภาพมายา!

ลูเซียนพยายามจะตอบโต้ แต่ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปแล้ว ‘เหมียวลูเซียน’ เสียชีวิตลงอย่างไร้ทางสู้หลังจากดิ้นรนอยู่สักพัก

ทว่า ลูเซียนกลับพบว่าสติสัมปะชัญญะของตนหาได้เลือนหายไป มันยังคงรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานและเขาอาจจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ

‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่’ ลูเซียนมิใช่คนที่จะยอมหมดสติไปง่ายๆ เขาเลือกที่จะประคองสติไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เสียมากกว่า!

ลูกแมวโดนถลกหนังและหั่นเป็นชิ้นๆ ทุกการตัดหั่นคล้ายกับเกิดขึ้นบนร่างกายลูเซียน ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนในชีวิต

เมื่อไม่มีเวทมนตร์คอยบรรเทาความเจ็บปวด ลูเซียนจึงทำได้เพียงอดทนอดกลั้น เว้นแต่ว่าเขาจะเลือกหมดสติไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

เนื้อของลูกแมวทั้งสองตัวปะปนกันและถูกโยนลงไปในหม้อที่เต็มไปด้วยหัวมัน ก่อนที่หม้อจะถูกยกไปวางเหนือกองไฟ

สติรับรู้ของลูเซียนคล้ายกับจะติดอยู่บนเศษเนื้อชิ้นหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกย่างสดและต้มอยู่ในน้ำร้อนลวก ความเจ็บปวดทรมานนั้นหาคำใดมาอธิบายมิได้จริงๆ!

ลูเซียนรู้สึกว่าเขาสามารถหมดสติไปได้ทุกวินาที แต่เขาก็ยังประคองมันจนพ้นผ่านมาได้

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ช้อนคันหนึ่งก็จุ่มลงมาในหม้อ ตักอาหารแปลกๆ ที่ทำจากเนื้อแมวกับหัวมันลงไปในชามไม้

ขณะสะกดกลั้นความเจ็บปวด ลูเซียนก็มองสังเกตไปรอบๆ กระท่อม พยายามมองหา ‘ประตู’ เพื่อออกไปจากที่นี่ แต่มันกลับมิมีสิ่งใดที่ดูผิดปกติเลย

‘ไหนเล่าลู่ทาง ฉันจะหามันเจอได้ก็ต่อเมื่อฉันเลือกที่จะเป็นลมหมดสติไปหรือยังไง’

ในตอนนั้นเอง เจ้าของบ้านก็หยิบส้อมขึ้นมา แล้วจิ้มลงบน ‘ลูเซียน’ เคี้ยวเขาจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ทุกการขบเคี้ยวคล้ายกับจะเกิดขึ้นบนดวงวิญญาณของลูเซียน

ลูเซียนไม่รู้เลยว่าตัวเองทานทนผ่านมันมาได้อย่างไร เมื่อสติเขากลับมาแจ่มชัดไม่มากก็น้อย เขาก็พบว่าตนถูกลิ้นดันให้ ‘ไหล’ ผ่านทางเดินอาหารของเจ้าของบ้านมาแล้วเรียบร้อย

ทันใดนั้น ลูเซียนก็พบว่าคอหอยของเจ้าของบ้านคือประตูบานสีเดง!

‘นั่นคือทางออก!’

ประตูถูกผลักเปิด แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับสู่ความเป็นปกติ ลูเซียนพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่หน้าเส้นทางสู่ความเป็นอมตะที่เขาเข้ามาเป็นแห่งแรก แต่เบื้องหน้าเขาคือประตูหินสีเทา

ยังมีเส้นทางสู่ความเป็นอมตะอีกสายที่ทอดยาวมาจากอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นเตาหลอมวิญญาณด้านนอก บนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะสายนี้คือกลุ่มควันแข็งทื่อสีดำ ขาว และเทาที่บัดเดี๋ยวแตกกระจาย บัดเดี๋ยวรวมตัวกัน คล้ายกับได้เห็นความตายอันไร้ที่สิ้นสุดทันทีที่ผู้ใดก็ตามมองเห็นมัน แม้แต่ผู้มีพลังชั้นตำนานอย่างลูเซียนก็ยังไม่อาจดึงตัวเองออกมาได้

ค้างคาวฝูงหนึ่งบินมาบดบังสายตาลูเซียน ตัดขาดเขาจากความดึงดูดใจของสิ่งมีชีวิตลึกลับในโลกแห่งวิญญาณ

ค้างคาวรวมตัวกันเป็นไรห์นอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสียงเคร่งเครียด “จงอย่าเข้าใกล้ ‘มนุษย์ครึ่งเทพ’ ตนใดที่ไม่อาจควบคุมตัวมันเองได้”

ลูเซียนพยักหน้าตอบรับ เขานึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเริ่มจะเข้าใจเกี่ยวกับความน่ากลัวของเส้นทางแห่งความเป็นอมตะอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น “หากเราหมดสติไป เราอาจจะตายไปแล้วจริงๆ โดยที่ยังไม่ทันได้เข้าไปในห้องอมตะนิรันดร์”

ไรห์นมองสำรวจรอบๆ กาย ก่อนจะสังเกตเห็นร่องรอยสีเทาเข้มที่แผ่บรรยากาศเหนือธรรมชาติไร้รูปร่างที่ไม่น่าเข้าใกล้ของเหล่ามนุษย์ครึ่งเทพ แต่ร่องรอยเหล่านั้นก็ยังมีสัมผัสของความเป็นอมตะเสริมเข้าไปอีกด้วย

“นั่นคือร่องรอยแห่งความเป็นอมตะงั้นรึ” ไรห์นเอ่ยเสียงทุ้มแผ่ว

ขณะจ้องมองห้องอมตะนิรันดร์ตรงหน้า ลูเซียนก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยอันผิดปกติขึ้นมา เขายื่นมือขวาออกไปทาบบนประตู

‘มีอะไรอยู่เบื้องหลังประตูบานนี้กัน’

…………………………………