ตอนที่ 200-2 เล่นหยอกล้อในคฤหาสน์ระหว่างทางกลับเมืองหลวง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“คุณชาย คุณชาย ส่งสัญญาณแล้ว” เหอฮวาวิ่งหอบกลับมา นางกำลังจะกลับไปที่ห้องนั้น ถูกเสิ่นเวยห้ามไว้ “ไม่ต้องไปแล้ว เจ้าตามข้าไปแล้วกัน” ไม่ได้ออกจากเรือน แต่ดึงเหอฮวาหลบเข้าไปในภูเขาจำลอง

 

 

ทหารลับที่ตามหาคนในเมืองทงโจวเห็นพลุสัญญาณที่ลอยขึ้นฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งหมดก็ก้มหน้าก้มตาวิ่งไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว โอวหยางไน่ไต่สวนเด็กในร้านค้าแห่งนั้นได้ครึ่งหนึ่ง เห็นสัญญาณนั้นจากนอกหน้าต่าง ก็ถือโอกาสผลักเด็กในร้านแล้วจึงวิ่งพุ่งออกไป หัวใจก็วางลงกว่าครึ่ง

 

 

พลุสัญญาณนั้นไม่เพียงแต่มีโอวหยางไน่และทหารลับที่มองเห็นแล้ว คนจำนวนหนึ่งในเมืองทงโจวก็มองเห็นแล้วเช่นกัน คนที่คุ้นเคยตำแหน่งนั้นจำนวนหนึ่งชั่วขณะสายตาก็เฉียบแหลม “แย่แล้ว คฤหาสน์เกิดเรื่องแล้ว รีบนำกำลังคนไป”

 

 

ส่วนคนที่คุ้นเคยตำแหน่งนั้นอีกจำนวนหนึ่งก็หัวเราะบนความทุกข์ของผู้อื่น “เหอะๆ คราวนี้หมิ่นเหล่าซานเจอตัวฉกาจเข้าให้แล้ว” ศรสัญญาณยิงออกไป สหายหมื่นพันก็ปรี่ไปช่วย คนทั่วไปไหนเลยจะมีของชนิดนั้น อยากจะเห็นหมิ่นเหล่าซานล้มยิ่งนัก กำแหง ให้เจ้ากำแหงไป สักวันก็ต้องมีคนมาเก็บเจ้า

 

 

ภาพสัญญาณระเบิดออกบนท้องฟ้าดึงดูดความสนใจคนในคฤหาสน์ พวกเขาพากันวิ่งออกไปตรงที่ที่สัญญาณจุดขึ้นฟ้า “เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น ใครส่งสัญญาณ คนเล่า คนอยู่ไหนแล้วเล่า” ไม่ว่าพวกเขาจะค้นหาในละแวกนั้นเท่าไร ก็หาผู้ต้องสงสัยไม่เจอเลยสักคนเดียว

 

 

คนผู้นั้นที่บัญชาการก็ตอบสนองกลับมา “เร็ว แยกกันไปค้นเรือนแต่ละแห่งให้ละเอียด ส่งหนึ่งคนกลับไปรายงาน ระวังตัวให้ดี ดูว่ามีคนในเรือนไหนหนีออกไปได้หรือไม่ ปฏิบัติงานให้คล่องแคล่ว เกิดข้อผิดพลาดแล้วนายท่านถลกหนังพวกเจ้าแน่”

 

 

ทั่วทั้งเรือนแตกตื่นขึ้นมา เสิ่นเวยพิงภูเขาจำลอง ฟังเสียงฝีเท้าและเสียงเอะอะโวยวายข้างนอก เบื้องลึกในใจนางเกิดความดีใจขึ้นเงียบๆ ส่วนเหอฮวาก็ตื่นเต้นจนจับเสื้อด้านหน้าไว้กระวนกระวายใจ

 

 

เสิ่นเวยชะโงกหน้ามองไปข้างนอกเล็กน้อยปราดหนึ่ง มองไม่เห็นคนโง่ผู้นั้น แต่กลับเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาที่ลานบ้านฝั่งนี้ เสิ่นเวยรีบหลบกลับมา

 

 

“ลูกพี่ ลูกพี่ เจ้าคนขี้เกียจ กี่โมงกี่ยามแล้วยังนอนหลับสบายใจอยู่อีก ตื่นเร็ว อีกประเดี๋ยวพ่อบ้านหวังเห็นเข้าเจ้าก็ได้โดนหรอก” คนผู้นั้นตะโกนเสียงเบา

 

 

น่าเสียดายลูกพี่ที่เขาเรียกพิงบานประตูอยู่ ก้มหน้าต่ำกำลังหลับสนิท ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เมื่อคืนไปทำอะไรมา” คนผู้นั้นพลางพูดพลางเดินเข้ามาสองก้าว “ลูกพี่ ตื่นเร็ว เกิดเรื่องแล้ว” เขาใช้มือไปผลักลูกพี่ แต่กลับเห็นร่างลูกพี่แข็งทื่อล้มลงไปข้างๆ คนผู้นั้นตกใจจนร้องอุทานถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวใหญ่ สบเข้ากับสายตาตกใจกลัวที่เบิกจนกลมโตคู่นั้น ลูกพี่ผู้นี้ไหนเลยจะนอนหลับอยู่ เห็นชัดๆ ว่าตายแล้วต่างหาก

 

 

“ใครก็ได้ช่วยที เกิดเรื่องแล้ว ลูกพี่ถูกคนฆ่าตายแล้ว” คนผู้นั้นตะโกนเสียงดังอย่างตื่นตระหนกขึ้นมา

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนหลายคนวิ่งเข้ามา หนึ่งในนั้นดูเหมือนเป็นพ่อบ้าน เขานั่งยองลงมองดูอย่างละเอียด ย่อมมองเห็นรอยนิ้วมือที่ชัดเจนนั้นบนลำคอ คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย “เร็ว เข้าเรือนไปดู”

 

 

หากเขาทายไม่ผิด คนที่ฆ่าน่าจะเป็นหนึ่งในสองคนนั้นที่เพิ่งพากลับมาวันนี้ เป็นดั่งคาด หนึ่งเค่อต่อมาก็มีคนวิ่งกลับมารายงาน “คนในห้องฝั่งตะวันออกหนีไปหมดแล้วขอรับ”

 

 

“รีบตามไป พวกเขาจะต้องหนีไปได้ไม่ไกลแน่ๆ” พ่อบ้านหวังตัดสินใจทันที ไม่คิดจะเข้าไปหาในเรือนอย่างสิ้นเชิง

 

 

ส่วนเสิ่นเวยก็กำลังใช้จิตวิทยาจุดบอดใต้แสงไฟชนิดนี้กับพวกเขา ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ใครจะคิดว่าพวกเขาวิ่งหนีออกมาอย่างยากลำบากแต่ไม่หนีออกไปข้างนอก กลับยังหลบอยู่ในลานบ้านแห่งนี้

 

 

เมื่อครู่ตอนที่คนผู้นั้นเข้ามาในลานบ้านเหอฮวาตื่นเต้นจนใจเต้นขึ้นมาถึงคอหอย ตอนนี้เห็นพวกเขาไปแล้ว ร่างทั้งร่างก็ไหลลงตามหินนั่งลงบนพื้น แผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ

 

 

เสิ่นเวยมองนางปราดหนึ่ง สั่งเสียงต่ำ “เจ้าหลบอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปดูหน่อย”

 

 

ทว่าเหอฮวากลับดึงแขนเสื้อของนางไว้ “คุณหนู บ่าวกลัว” นางอยากตามคุณหนูไปด้วย นางไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว

 

 

เสิ่นเวยตบมือของนางคล้ายต้องการปลอบขวัญ “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าก็กลับมา” นางออกไปเองกลับหลบสายตาของพวกเขาได้ แต่หากพาเหอฮวาไปด้วยกลับไม่ได้

 

 

เหอฮวาทำได้เพียงสะกดกลั้นความกลัวในใจปล่อยมือลง

 

 

เสิ่นเวยเพิ่งจะคลำทางไปถึงหน้าประตูก็หลบกลับมาแล้ว แยกแยะอย่างละเอียดครู่หนึ่ง รื้อห้องดู โชคยังดี ไม่เพียงแต่หาคบไฟเจอ ยังหาสุราหนึ่งไหเจออีกด้วย เสิ่นเวยราดสุราลงบนกองฟาง หลังจากนั้นก็จุดไฟ

 

 

“วิ่งเร็ว” ฉวยโอกาสตอนที่ไฟยังไม่ลุกลาม เสิ่นเวยดึงเหอฮวาวิ่งออกมาจากลานบ้าน

 

 

ทั่วทั้งคฤหาสน์วุ่นวายอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่คนที่ถูกขังอยู่ในเรือนอื่นๆ ถูกปล่อยออกมา ยังมีหลายแห่งที่ไฟไหม้ คนชั่วในคฤหาสน์ทั้งต้องวิ่งวุ่นดับไฟ ทั้งยังต้องคอยจับคน ผลลัพธ์น่ะหรือ หึๆ นั่นยังต้องพูดอีกหรือ

 

 

“คุณหนู ใช่คนของพวกเรามาถึงแล้วหรือไม่” ตอนนี้เหอฮวาไม่กลัวแล้ว เห็นคนวิ่งวุ่นในเรือนรอบด้านก็มีสีหน้าก็ดีใจ

 

 

“ไม่ใช่” เสิ่นเวยจ้องมองข้างหน้า นี่ไม่เหมือนลักษณะการปฏิบัติงานของโอวหยางไน่และทหารลับ หากเป็นโอวหยางไน่และทหารลับ พวกเขาจะต้องจับคนแล้วบีบบังคับถามเบาะแสของตน หลังจากนั้นก็ฆ่าคนปิดปาก ช่วยตนออกมาเงียบๆ ไม่ใช่เล่นหยอกล้อประหนึ่งแมวไล่จับหนูเช่นนี้ หากนางเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นฝีมือของคนโง่ผู้นั้นที่ถูกขังอยู่กับนาง เอ๋ เวลาเพียงชั่วครู่ การเคลื่อนไหวของคนโง่ผู้นั้นกลับเร็วอย่างยิ่ง

 

 

เสิ่นเวยกลอกตามอง อืม เห็นแก่ที่ถูกขังไว้ในห้องเดียวกันช่วยเขาอีกแรงก็ได้ นางยัดคบเพลิงไว้ในมือเหอฮวา “ถือโอกาสจุดไฟเพิ่มอีกหลายๆ แห่ง พวกเราคอยดูสิว่าพวกเขาจะยังวิ่งได้เร็วกว่านี้ได้อีกหรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ” เหอฮวาพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ตอนนี้ทุกหนแห่งในคฤหาสน์เต็มไปด้วยคนวิ่งไปวิ่งมา ความกล้าหาญของนางก็มากขึ้นแล้ว เหมือนอย่างที่คุณหนูได้พูดไว้ เปียกน้ำจึงจะจับปลาง่าย

 

 

เสิ่นเวยสั่งเหอฮวาเสร็จแล้วก็ขยับตัวขึ้นมา นางเองวิ่งวุ่นอย่างไม่เป็นระเบียบตาม ฉวยโอกาสตีคนชั่วสลบไปหลายคน พาชายหญิงเหล่านั้นที่ถูกจับตัวมาวิ่งไปยังประตูใหญ่ประตูข้าง ไม่นานนักนางก็จัดการคนชั่วที่เฝ้าประตูได้แล้ว เปิดประตูที่เปิดออกได้ทุกบาน “รีบหนีเถอะ อีกประเดี๋ยวเพื่อนพวกเขามาก็หนีไม่ได้แล้ว”

 

 

ฉวยโอกาสระหว่างที่ประตูเปิดเสิ่นเวยก็มองไปข้างนอกครู่หนึ่ง ลานบ้านแห่งนี้เปลี่ยวจริงๆ สร้างความวุ่นวายมากเพียงนี้แล้วยังไม่มีใครมา หรือว่านี่จะเป็นนอกเมือง เร็วอย่างยิ่งเสิ่นเวยก็ปฏิเสธการคาดเดานี้

 

 

ระหว่างทางกลับไปเสิ่นเวยได้ยินเสียงแกะร้อง ชั่วขณะก็เกิดความคิดใหม่ นางเดินตามเสียงแกะไป โห ไม่เพียงแต่มีแกะสิบกว่าตัว ยังมีม้าเจ็ดแปดตัวอีกด้วย

 

 

เสิ่นเวยดีใจใหญ่ คลายเชือกบังเ**ยนอย่างรวดเร็ว จูงม้าต้อนแกะวิ่งออกมา มีการเข้ามาของม้าและแกะแล้ว ในคฤหาสน์ก็ยิ่งวุ่นวาย เสิ่นเวยมองคนชั่วกลุ่มนี้วิ่งวุ่นราวกับแมลงวันหัวขาด มีความสุขจนหัวเราะตัวโก่งอย่างอดไม่ได้

 

 

สิ่งที่โอวหยางไน่กับทหารลับเห็นเมื่อมาถึงก็คือท่าทางชั่วร้ายเช่นนี้ของเจ้านายพวกเขา อดตะลึงงันไม่ได้ พวกเขากังวลแทบตาย แต่เจ้านายกลับเล่นจนสนุกสนานเช่นนี้ หากรู้ก่อน พวกเขาจะวิ่งมาที่นี่อย่างสุดชีวิตเพื่ออะไร อย่างไรเสียนายเล่นพอแล้วก็กลับเองได้

 

 

“อ้าว พวกเจ้ามากันแล้วหรือ ไป ไป ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” เสิ่นเวยปาดน้ำตาตรงหางตา กล่าวด้วยมาดขรึม หลังจากนั้นก็ทอดมองไปรอบด้านคล้ายนึกอะไรออก “อ้อจริงสิ เหอฮวาเล่า เด็กคนนั้นคงไม่เล่นจนลืมแล้วหรอกนะ”

 

 

ขณะที่กำลังพูด ก็เห็นเหอฮวาวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ ดวงตาเป็นประกายแวววาว “คุณหนู บ่าววิ่งเร็วยิ่งนัก พวกเขาจับข้าไม่ได้เลย”

 

 

เหล่าทหารลับตะลึงงันอีกครา มีนายเช่นไรก็มีบ่าวเช่นนั้นจริงๆ ปกติเหอฮวาเด็กคนนี้ก็เรียบร้อยน่ารักมิใช่หรือ เพียงแค่ครึ่งวัน เหตุใดถึงห้าวหาญเหมือนเถาฮวาแล้วเล่า

 

 

“พอแล้ว ไฟไหม้ครั้งนี้พวกเขาต้องดับอีกสักพัก พวกเราควรกลับได้แล้ว กลับไปกินข้าวเย็นกับท่านอา” เสิ่นเวยมองเรือนที่ไฟไหม้รอบด้านปราดหนึ่ง คาดว่าเรือนนี้คงจะพังหมดแล้ว ไม่ต้องบอกว่าในใจนางสบายอารมณ์มากเพียงใด เหอะ แม้แต่ข้ายังกล้ามาหาเรื่อง สมควรแล้ว

 

 

เสิ่นเวยรับเชือกบังเ**ยนที่โอวหยางไน่ส่งเข้ามา เหยียบโกลนขึ้นม้า กำลังจะสะบัดบังเ**ยนวิ่งออกไป ก็ได้ยินม้าข้างล่างยกกีบเท้าอย่างไม่เป็นสุข หันหน้ากลับไปมอง ชั่วขณะก็โมโหแล้ว “ปล่อย” คนโง่ผู้นั้นกำลังดึงหางม้าของนางไว้อยู่

 

 

“ไม่ปล่อย” คุณชายคนโง่ส่ายหน้า ใบหน้าที่งามประหนึ่งหยกเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มวยผมก็บิดเบี้ยว แต่คำที่พูดออกจากปากกลับยึดมั่นในความเป็นธรรม “มีชะตากรรมเดียวกัน พี่ชายจะทิ้งข้าน้อยแล้วหนีไปคนเดียวได้อย่างไร ทำลงได้อย่างไร”

 

 

เสิ่นเวยยิ้มเยาะ “ขออภัย ข้าไม่มีข้อดีอะไร มีแต่ใจเข็ง ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”

 

 

“ไม่ปล่อย พี่ชายเห็นคนกำลังจะตายจะไม่ช่วยจริงๆ หรือ” คุณชายคนโง่เปลี่ยนท่าทีพูดจากปลิ้นปล้อน “ท่านยอมพาข้าน้อยไปด้วย ข้าน้อยก็จะปล่อยมือ มิเช่นนั้นพวกเราก็อยู่ด้วยกันทั้งหมดเถอะ อย่างไรเสียพวกเราก็มีวาสนาร่วมกันแล้ว ไม่ขอมีชีวิตร่วมกันในวันเดียว ก็ขอตายพร้อมกันในวันเดียว”

 

 

“หุบปาก” เสิ่นเวยตะโกนเสียงเย็นเยียบอย่างอดไม่ได้ ตระกูลไหนเลี้ยงคนโง่ผู้นี้กัน ปล่อยออกมาทำอันตรายต่อโลกเช่นนี้ รีบจูงกลับไปเสีย

 

 

ชายตาเห็นเงาร่างที่วิ่งเข้ามาไกลๆ เสิ่นเวยก็ไม่ยอมเปลืองน้ำลายกับคุณชายคนโง่อีกแล้ว สั่งโอวหยางไน่ทันที “เจ้าพาเขาไปด้วย เร็ว กำลังหนุนพวกเขามาแล้ว”

 

 

โอวหยางไน่พยักหน้า แขนยาวยื่นออกมา ยกคุณชายคนโง่ขึ้นไปบนม้าเขาแล้ว ทำเอาคุณชายคนโง่ร้อยเอ่ยชมไม่หยุดปาก

 

 

นายท่านสามแซ่หมิ่นนำคนมาถึงคฤหาสน์ก็เห็นกลุ่มของเสิ่นเวยออกไปอย่างรวดเร็ว เขามองแผ่นหลังที่ออกไปไกลของพวกเขา หลบตาเล็กน้อย หลังจากเข้าไปดูในคฤหาสน์แล้ว ใบหน้าของเขาก็อึมครึมราวกับสามารถบีบน้ำออกมาได้ สินค้าที่เขาลำบากลำบนเปลืองแรงหามาหายไปหมดยังไม่พอ ยังทำคฤหาสน์หนึ่งหลังพังยับเยิน เขาเคยเสียหายมากเช่นนี้เมื่อไหร่ คนที่ต้องการจัดการเขาในอาณาเขตของเขา จะง่ายเพียงนี้เลยหรือ

 

 

“นายท่านสาม เป็นผู้น้อยที่ทำงานสะเพร่า นายท่านสามโปรดอภัย” พ่อบ้านหวังยอมรับผิดด้วยร่างที่สั่นเทิ้ม

 

 

นายท่านสามแซ่หมิ่นมองเขาอย่างเย็นชา มุมปากปรากฏรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัว ไร้ประโยชน์สิ้นดี แม้แต่คุณชายคุณหนูไก่อ่อนไม่กี่คนยังดูไม่ได้ จะเอาพวกเจ้าไว้ทำไม แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาไต่ถาม

 

 

“ดับไฟไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว คฤหาสน์หลังนี้ทิ้งไปเสีย เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าทิ้งร่องรอยอะไรไว้ มิเช่นนั้น…” นายท่านสามแซ่หมิ่นกวาดตามองพ่อบ้านหวังอย่างมีเลศนัย เพียงแค่มองเช่นนี้ กลับทำให้พ่อบ้านหวังรู้สึกเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง