ตอนที่ 201-1 นายท่านสามแซ่หมิ่นระหว่างทางกลับเมืองหลวง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

บริเวณที่ห่างไกลจากเมืองหลวงสองร้อยกว่าลี้มีภูเขาใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดอยู่หนึ่งลูก ชื่อว่าเขาชิงลั่ว ลึกเข้าไปในเขาลูกใหญ่มีวัดจยาหลานวัดเก่าแก่อยู่หนึ่งแห่ง ย้อนไปเมื่อรัชสมัยก่อน นับๆ ดูแล้วก็มีประวัติศาสตร์มาห้าหกร้อยปีได้แล้ว ทั่วทั้งวัดมีกลิ่นอายของความเก่าแก่และความยาวนานชนิดหนึ่ง

 

 

เช้าตรู่ ใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านเงาไม้ ระฆังโบราณในวัดก็ส่งเสียงดัง เสียงที่ทุ้มหนักดังออกไปไกลอย่างยิ่ง หลวงจีนแต่ละกลุ่มทำวัตรเช้าอย่างเป็นระเบียบ ทุกองค์ต่างก็สงบและไม่รีบร้อนเช่นนั้น

 

 

แม้ว่าวัดจยาหลานจะตั้งอยู่ลึกในภูเขาชิงลั่ว แต่ตะเกียงธูปกลับแน่นขนัดอย่างยิ่ง ประชาชนในบริเวณร้อยกว่าลี้ข้างล่างเขาชิงลั่วต่างสามารถไปกราบไหว้พระที่วัดจยาหลานเพื่อสร้างบุญกุศลได้ ปกติพวกเขาจะออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เดินผ่านเส้นทางภูเขาที่ขรุขระทีละก้าวๆ คุกเข่าหน้าพระพุทธรูปด้วยความเคารพไหว้พระขอพร ต่อให้จะเป็นชายที่หยาบโลนที่สุดเมื่อมาถึงที่นี่ก็ยังต้องสำรวมกิริยาอย่างรู้สำนึก

 

 

แต่ใครจะคิดได้ว่าวัดที่ผู้คนเลื่อมใสแห่งนี้กลับซ่อนสิ่งชั่วร้ายให้กลายเป็นสถานที่สะสมกองกำลังส่วนตัวของใครบางคน

 

 

สวีโย่วได้รับพระราชโองการของจักรพรรดิยงเซวียนก็แฝงตัวเข้าไปสืบความลับในที่มืด ตามข้อมูลจำนวนหนึ่งที่จักรพรรดิยงเซวียนพระราชทานมา จากเมืองหลวงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นเบาะแสก็ขาดหายไป ใช้เวลาอยู่สองวันจึงสืบหาเงื่อนงำบางอย่างได้ ทิศทางกลับชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาก็มุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างไม่หยุดพัก เริ่มต้นก็ราบรื่นดีอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดเบาะแสไม่มีอีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้สวีโย่วจึงพาคนวิ่งอ้อม ในที่สุดก็กำหนดเป้าหมายได้ที่วัดจยาหลานบนเขาชิงลั่ว

 

 

แม้แต่สวีโย่วยังรู้สึกเหลือเชื่อ หากที่นี่เป็นที่ฝึกกองกำลังส่วนตัวของอ๋องเคียงบ่าผู้นั้นจริงๆ เช่นนั้นความกล้าหาญและการวางแผนของเขาก็ทำให้คนเลื่อมใสจริงๆ ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน หลังจากที่เฉิงอ๋องหลบซ่อนตัวจากสาธารณะ ไม่ใช่ว่าไม่มีคนทายว่าเขาไปไหน บ้างก็บอกว่าเขานั่งเรือออกทะเล บ้างก็บอกว่าเขาไปทางตอนเหนือ ปราบแคว้นเล็กที่ชายแดน ตนสถาปนาตัวเป็นเจ้าแคว้น อีกทั้งยังว่าไม่ใช่ บอกว่าเขาหลบอยู่ที่เจียงหนาน ในมือดูแลการค้าขายขนาดใหญ่ แม้แต่จักรพรรดิยงเซวียนยังเดาไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาไปไหน แต่ใครจะคิดได้ว่าเขาไม่ได้ไปไหนทั้งสิ้น แต่กลับเก็บตัวอยู่ใต้ตาจักรพรรดิ

 

 

สองร้อยลี้ เหอะๆ ช่างเป็นระยะห่างที่น่าสนใจยิ่งนัก

 

 

“เหมือนหรือไม่” มือสวีโย่วสะบัดพัดพับได้ ก้มหน้ามองเสื้อผ้าคนร่ำคนรวยที่ตนสวมอยู่ วันนี้เขาต้องไปวัดจยาหลาน ส่วนฐานะในวันนี้ของเขาก็คือลูกคุณชายตระกูลพ่อค้าที่ผ่านทางมา

 

 

“ไม่เหมือน” เจียงเฮยกับเจียงไป๋กล่าวขึ้นพร้อมกัน ไม่ได้บอกว่าแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ แต่คุณชายของพวกเขาแต่งตัวเช่นนี้มักจะทำให้คนรู้สึกขัดแย้ง พลังของผู้สูงศักดิ์ชนิดนั้นที่ออกมาจากร่างคุณชายทำให้คนไม่มีทางเมินเฉยได้

 

 

มีสำนวนว่าไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘แม้จะสวมชุดฮ่องเต้ก็ยังไม่เหมือนรัชทายาท’ ส่วนคุณชายของพวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่เหมือนขอทาน

 

 

“หากคุณหนูสี่แซ่เสิ่นอยู่ก็คงจะดี” จู่ๆ เจียงไป๋ก็กล่าว

 

 

เจียงเฮยเองก็ใจเต้น ทันใดนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ จำต้องยอมรับว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เก่งกาจจริงๆ กายเป็นหญิงแต่แต่งตัวเหมือนชายได้ก็ไม่เลวแล้ว แต่นางน่ะ กลับแต่งอะไรก็เหมือน คุณชายตระกูลขุนนางที่สูงส่ง ปัญญาชนผู้ยึดมั่นในคุณธรรม นักเลงหัวไม้ข้างถนน เด็กหนุ่มลูกชาวนาผู้ซื่อสัตย์ กระทั่งขอทานที่ขอทานอยู่ข้างถนน นางยังทำได้ง่ายๆ สมจริงอย่างยิ่ง

 

 

ได้ยินเจียงเฮยเจียงไป๋เอ่ยถึงเสิ่นเวย ดวงตาของสวีโย่วก็ปรากฏรอยยิ้มหลายส่วน ใช่แล้ว นั่นมันเด็กสาวเจ้าเล่ห์กลับกลอก มีนางอยู่ ตนก็ไม่ต้องกลุ้มใจอย่างตอนนี้ ตนโรคเก่ากำเริบ เลื่อนงานสมรสออกไป เด็กน้อยคนนั้นจะดีใจหรือว่าโมโห เป็นห่วงเขาหรือไม่ …อยู่ในจวนรอตนไปสู่ขอที่หน้าประตูอย่างเชื่อฟังหรือไม่

 

 

“ช่างเถอะ คุณชายท่านกลับไปเป็นตัวเองเถิด ท่านไม่เหมือนลูกคุณชายตระกูลเศรษฐีที่ไม่เอาไหน เจียงเฮยเจียงไป๋เองก็ไม่เหมือนสุนัขรับใช้ พวกเราต้องเปลี่ยน” ซังหลิ่งกล่าว เขาก็คือผู้จัดการร้านหนังสือผู้นั้นที่เสิ่นเวยเคยเห็น “เจียงเฮยเจียงไป๋เป็นทหารคุ้มกันของท่านดีกว่า ส่วนท่านก็เป็นคุณชายตระกูลขุนนางที่ป่วยออดแอด ที่บ้านไม่วางใจ ข้างกายมีทหารคุ้มกันติดตามหลายคนก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งมิใช่หรือ”

 

 

สวีโย่วคิดครู่หนึ่ง ตอบรับแล้ว ความรู้สึกที่ผู้อื่นมีต่อเขาเดิมก็ผ่ายผอมอ่อนแออยู่แล้ว ไม่ต้องพยายามแสดงก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนขี้โรค หากไอบ่อยครั้งก็ยิ่งเหมือนเข้าไปอีก อีกทั้งยังมีเหตุผลไปวัดจยาหลานได้พอดี ‘ร่างกายไม่ดี มาไหว้พระขอพร’

 

 

เมื่อเสิ่นเวยกลับไปถึงโรงเตี๊ยมก็ขอน้ำอุ่น ยุ่งอยู่ครึ่งวัน เหงื่อออกเยอะอย่างยิ่ง เสื้อผ้าด้านหลังเปียกชุ่มหมดแล้ว เหนียวติดร่างกายไม่สบายอย่างมาก

 

 

พ่อบ้านรองเห็นเสิ่นเวยกลับมาแล้ว หัวใจทั้งดวงก็นับได้ว่าวางลงแล้ว หากคุณหนูสี่เป็นอะไรไปข้างนอก เขาเองก็ไม่ต้องกลับจวนจงอู่โหวแล้ว หาต้นไม้ที่มีกิ่งโน้มเอียงแล้วผูกคอตายได้เลย

 

 

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ทหารลับก็เข้ามารายงานข่าวด้วยตัวเอง “ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายสืบหาแล้ว ผู้มีอำนาจในเมืองทงโจวก็คือตระกูลหมิ่น ครอบครองพื้นที่ทางตะวันออกของเมือง คฤหาสน์หลังนั้นที่คุณชายอยู่ก่อนหน้านี้เป็นคฤหาสน์ภายใต้ชื่อพ่อบ้านใหญ่ข้างกายนายท่านสามตระกูลหมิ่น ผู้น้อยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับนายท่านสามตระกูลหมิ่น”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า “นายท่านสามแซ่หมิ่นมีประวัติอย่างไร”

 

 

“บุตรภรรยาเอกตระกูลหมิ่นมีสามคน แม้ว่านายท่านสามแซ่หมิ่นจะถูกเรียกว่านายท่านสาม แต่กลับเป็นบุตรภรรยาเอกคนโต คนผู้นี้ค่อนข้างแผนสูง ฝีมือก็โหดเ**้ยม การค้าในมือก็มีส่วนเกี่ยวเนื่องถึงขอบเขตมากมาย ฮูหยินที่เขาแต่งงานก็มีฐานะในตระกูลดี หลายปีมานี้บ้านใหญ่ได้เปรียบมาโดยตลอด” ทหารลับกล่าว

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอีกครั้ง แววตาคล้ายกำลังครุ่นคิด “คืนนี้พวกเจ้าตื่นตัวไว้”

 

 

พลลับหนึ่งตกใจ “นายท่านคิดว่าพวกเขาจะ? เช่นนั้นพวกเราขึ้นเรือกลับดีกว่าหรือไม่” พวกเขามีคนเพียงเท่านี้ อีกทั้งยังอยู่ในอาณาเขตของคนอื่น ต่อให้นายท่านจะเป็นมังกรที่แข็งแกร่ง อ้อไม่ หงส์ที่แข็งแกร่ง ก็สู้พวกอิทธิพลท้องถิ่นไม่ได้หรอก ขึ้นเรือกลับตอนกลางคืนยังดีเสียกว่า

 

 

เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่ง “เจ้าคิดว่านายท่านสามแซ่หมิ่นเสียหายมากเพียงนี้แล้วจะยังกล้ำกลืนฝืนทนหรือ ทำได้หรือ ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ไม่ว่าเรื่องในวันนี้จะเป็นฝีมือของนายท่านสามแซ่หมิ่น หรือเป็นฝีมือของคนใต้บังคับบัญชาเขา ล้วนแต่ไม่ใช่เจตนาเพียงชั่วครู่ เกรงว่าพวกเขาจะจับตาดูข้ากับลูกผู้น้องอยู่นานแล้ว พวกเราไปที่ไหนพวกเขาก็รู้ได้อย่างชัดเจน มิเช่นนั้นจะรออยู่ในร้านเครื่องประดับร้านนั้นพอดีได้อย่างไร”

 

 

นายท่านสามแซ่หมิ่นผู้นั้นจะต้องไม่ใช่คนดีอะไร มิเช่นนั้นจะทำเรื่องล่อลวงคนไปขายได้หรือ วันนี้เผาคฤหาสน์ของเขาทั้งหลัง ก็นับว่าได้ระบายความแค้นแล้ว มิเช่นนั้นเสิ่นเวยคงได้จัดการเขาแล้วจริงๆ

 

 

พลลับหนึ่งและคนอื่นๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายท่าน เช่นนั้นพวกเราก็ยิ่งควรขึ้นเรือกลับนะขอรับ”

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับส่ายหน้า “ไม่ควร พวกเขาเป็นพวกอิทธิพลท้องถิ่น ต่อให้เจ้ากลับขึ้นเรือกลับแล้วเขาจะหมดหนทางหรือ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะตายเร็วกว่าเดิม ไม่เป็นไร แม้ว่าตระกูลหมิ่นจะมีอำนาจในท้องถิ่น แต่ก็ไม่ได้มีมือค้ำฟ้า ตอนกลางคืนพวกเจ้าตื่นตัวกันหน่อยก็พอแล้ว พวกเขาเองก็ไม่กล้าทำโจ่งแจ้ง ทำได้อย่างมากที่สุดก็แค่เป่าควันสลบลอบสังหารทำนองนี้ ขอเพียงแค่ผ่านคืนนี้ไป พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ไปแล้ว พวกเขาคงจะไม่ตามไปถึงเมืองหลวงหรอก” นางยังหวังว่าพวกเขาจะตามไปถึงเมืองหลวง นั่นเป็นอาณาเขตของข้า จะฆ่าเจ้าไม่ได้เชียวหรือ

 

 

เห็นทหารลับทั้งหลายยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นเวยก็กล่าว “หากไม่วางใจจริงๆ พลลับหนึ่ง เจ้าเอาเทียบเชิญนี้ไปขอยืมกำลังพลที่ที่ว่าการทงโจว” นางไม่ได้กังวล แต่ไม่ใช่ว่ายังมีท่านอากับลูกผู้น้องรวมถึงสาวใช้ทั้งหมดอยู่หรอกหรือ โดยเฉพาะท่านอา ท่านปู่ยังรออยู่เลย ไม่อาจให้เป็นอะไรในมือนางได้แม้แต่นิดเดียว

 

 

พลลับหนึ่งรับเทียบเชิญมา เห็นว่าเป็นของนายท่านผู้เฒ่าโหว หัวใจที่เป็นกังวลก็วางลงครึ่งหนึ่ง ด้วยบารมีของนายท่านผู้เฒ่าโหว ข้าหลวงเมืองทงโจวก็คงจะให้เกียรติหลายส่วนมิใช่หรือ

 

 

เทียบเชิญนี้ตอนที่ออกมาเสิ่นเวยยัดไว้ในอกลวกๆ เดิมคิดว่าไปอวิ๋นโจวอาจจะได้ใช้ ไม่คิดว่าจะได้ใช้มันที่เมืองทงโจวจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยไปดูลูกผู้น้องรอบหนึ่ง เห็นฤทธิ์ยาในร่างนางยังไม่หมดไป ก็ไม่ได้ฝืนปลุกนางตื่น อย่างไรเสียพรุ่งนี้เช้านางก็ตื่นเองได้ หลังจากนั้นนางก็ไปหาท่านอา บอกนางว่าลูกผู้น้องเหนื่อย หลับไปแล้ว

 

 

เสิ่นหย่าไม่วางใจ ตั้งใจมาดูลูกสาว เห็นลูกสาวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง นางก็ลูบหน้าผากของลูกสาวด้วยความรักจากนั้นก็ถอยออกมา “ดูท่าเด็กคนนี้จะเหนื่อย ช่างเถอะ ให้นางนอน ให้ครัวเตรียมของว่างไว้ ประเดี๋ยวหลินเอ๋อร์ตื่นมากลางดึกจะได้มีของกินรองท้อง”

 

 

เสิ่นเวยทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนท่านอา หลังจากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตน

 

 

เหอฮวากำลังเล่าคุณูปการความกล้าหาญของตัวเองให้คนหลายคนฟังอย่างตื่นเต้นดีใจ “เสียดายพวกเจ้าไม่เห็น คนชั่วผู้นั้นสูงเพียงนี้ แข็งแรงเพียงนี้ น่าจะจัดการข้าได้สามคน เขายิ้มเยาะกำลังจะเข้ามาจับข้า ข้าหมอบลงไป เพียงแค่ก้มตัวก็หลบได้แล้ว ข้าวิ่งเร็วมาก เขาตามข้าอยู่นานก็ยังตามไม่ทัน ฮ่าๆ ไฟในคฤหาสน์หลังนั้นข้าคนเดียวก็จุดไปสามแห่งแล้ว ใช่ไหมคุณชาย” เหอฮวาถามเสิ่นเวยอย่างคาดหวัง ภูมิใจยิ่งนัก

 

 

เสิ่นเวยยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกต้อง วันนี้เหอฮวาของพวกเราสร้างคุณูปการใหญ่แล้ว กลับจวนไปจะปูนบำเหน็จให้สิบตำลึง”

 

 

ทว่าปากของเถาฮวากลับเบะสูงอย่างยิ่ง “คุณชายลำเอียง ท่านไม่พาข้าไปด้วย เชอะ”

 

 

“ไอหยา เถาฮวาของพวกเรารู้จักฟ้องร้องก่อนแล้ว ตอนที่ข้าออกไปเด็กน้อยคนไหนหลับเป็นลูกหมูอยู่เล่า” เสิ่นเวยบีบแก้มของเถาฮวาหยอกล้อ

 

 

สาวใช้ในห้องต่างก็หัวเราะ เถาฮวาเองก็เขินอายหลายส่วน เกาหัวบ่นพึมพำ “เช่นนั้นครั้งหน้าคุณชายจะต้องตะโกนเรียกข้า แค่ท่านตะโกนข้าก็ตื่นแล้ว”

 

 

เห็นความจริงจังบนใบหน้าเถาฮวา เสิ่นเวยรู้สึกหวานชื่นในใจอย่างไม่มีเหตุผล “ได้ ครั้งหน้าข้าจะตะโกนเรียกเถาฮวา เถาฮวาของพวกเราเก่งที่สุด”