ตอนที่ 201-2 นายท่านสามแซ่หมิ่นระหว่างทางกลับเมืองหลวง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“คุณชาย คุณชายผู้นั้นที่ตามท่านกลับมามาขอพบท่าน” เถาจือเข้ามารายงาน

 

 

เสิ่นเวยหันหลังกลับ มองเห็นคุณชายคนโง่ผู้ที่อยู่ข้างหลังเถาจือ บนร่างยังคงสวมชุดสีฟ้าอ่อนตัวนั้นอยู่ ยับย่นสกปรก มวยผมก็ยังบิดเบี้ยว แต่ใบหน้ากลับล้างสะอาดแล้ว คิ้วตรงยาว ตาดำเป็นประกาย นับได้ว่าหน้าตาดี มิน่าเล่าจึงถูกคนชอบใจจับตัวไป

 

 

เพียงแต่คนโง่ผู้นี้ดูเหมือนบุตรหลานตระกูลร่ำรวย เด็กรับใช้ที่ติดตามข้างกายเล่า คงจะไม่ได้หนีออกจากบ้านมาใช่หรือไม่ เสิ่นเวยกำลังวิจารณ์ในใจ ก็เห็นคุณชายคนโง่กล่าวอย่างน่าสงสาร “ช่วยคนก็ช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระพุทธเจ้าก็ส่งให้ถึงฟ้า พี่ชาย สามารถเปลี่ยนชุดให้ข้าน้อยได้หรือไม่ ชุดนี้แปดเปื้อนพลังอันสง่างามองอาจของข้าน้อย” เขาใช้นิ้วสองนิ้วคีบชุดที่ตนสวมอยู่ด้วยความรังเกียจ

 

 

ยังคิดว่าเขาจะเอาอะไร เพียงแค่อยากได้ชุด นางยังนับว่าให้ได้ “โอวหยางไน่ ชุดที่พวกเจ้าเตรียมมาไม่ต่างจากเขามากใช่หรือไม่ แบ่งชุดให้เขาเสีย”

 

 

“ไม่ ข้าน้อยต้องการผ้าไหมหางโจว” คุณชายคนโง่มองชุดบนร่างโอวหยางไน่ เอ่ยความต้องการของตน

 

 

เสิ่นเวยแบมือ “ขออภัย ร้านขายเสื้อผ้าปิดไปนานแล้ว เจ้าใส่เท่าที่มีเถอะ” ยังกล้ามาร้องขอ แบ่งให้เจ้าได้หนึ่งชุดก็ไม่เลวแล้ว

 

 

“ไม่ ข้าน้อยใส่แต่ผ้าไหมหางโจว ข้าน้อยใส่ผ้าชนิดอื่นแล้วบนร่างจะมีผื่นแดง คันเกินทน เงินทั้งหมดที่ใช้ข้าน้อยจะคืนให้พี่ชาย” คุณชายคนโง่กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง

 

 

เสิ่นเวยจ้องมองสีหน้าของเขา เห็นว่าไม่ได้เสแสร้ง มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ เป็นลูกคนรวยจริงๆ มิหนำซ้ำเขายังบอกว่าจะคืนเงิน เช่นนั้นไยนางจะต้องใจแคบไม่ให้ชุดผ้าไหมหางโจวหนึ่งชุดด้วย

 

 

“โอวหยางไน่ เจ้าไปดูที่ร้านขายเสื้อเป็นเพื่อนคุณชายท่านนี้ ใช้เงินเยอะหน่อยก็ไม่เป็นไร จะต้องให้คุณชายท่านนี้พอใจ” เสิ่นเวยกล่าวสั่ง

 

 

ทว่าคุณชายคนโง่กลับไม่ขยับ เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “ยังมีเรื่องอะไรอีก”

 

 

บนใบหน้าคุณชายคนโง่ปรากฏความเคอะเขินหลายส่วน “พี่ชายช่วยหาสาวใช้ให้ข้าน้อยหน่อย ข้าน้อย ข้าน้อยหวีผมไม่เป็น”

 

 

“ได้ เถาจือ เจ้าไปปรนนิบัติคุณชายท่านนี้” เสิ่นเวยรับปากอย่างสบายอารมณ์ยิ่งนัก นางก็ว่าคนโง่ผู้นี้สนใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตนเช่นนี้ เหตุใดผมถึงยุ่งเล่า ที่แท้แล้วก็หวีผมไม่เป็น เหอะๆ โรคคนรวย ลูกคนรวย

 

 

“อะไร เจ้ายังมีอะไรอีก รบกวนช่วยพูดมาทีเดียวได้ไหม” เสิ่นเวยเห็นคนโง่ยังคงไม่ไป ก็หงุดหงิดเล็กน้อยแล้ว นางไม่อยากสนทนากับคนผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว หน้าตาไม่มีพิษไม่มีภัย ความจริงแล้วในใจเต็มไปด้วยแผนร้าย นางกดดันอย่างยิ่ง

 

 

คุณชายคนโง่ดูเหมือนถูกนิสัยใจร้อนของเสิ่นเวยทำให้ตกใจสะดุ้ง กล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “ข้าน้อยอยากถามว่าสามารถกินอะไรก่อนได้หรือไม่” เขากดท้องของตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

 

 

เสิ่นเวยโบกมือให้เขารีบไปทันที “เถาจือ พาเขาไปกินข้าว”

 

 

รีบพาไปเลย อย่าอยู่ที่นี่ให้ขวางหูขวางตาได้หรือไม่ ตีสองหน้าเช่นนี้นางเห็นแล้วเหนื่อยใจจริงๆ รู้หรือไม่ ลูกผู้ชายเช่นเจ้า ซ้ำยังเป็นลูกผู้ชายที่มีวิทยายุทธ์ อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมตลอดเวลาได้หรือไม่ ทำเช่นนี้ก็ไม่ถูก

 

 

เถาจือเห็นนายตนหงุดหงิดแล้ว ก็ดึงแขนเสื้อคุณชายรองเดินไปข้างนอกทันที แต่เขาก็ยังหันหน้ามาตะโกนเสียงดัง “ข้าน้อยจะคืนเงินให้”

 

 

ไม่เอาเงินแล้วก็ได้ ขอแค่รีบพาไปเถอะ

 

 

หอซิ่งชุน หมิ่นซือเหนียนหน้าดำคร่ำเครียด แม่เล้าฉินแม่เล้าในหอซิ่งชุนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง เอ้อร์กุ้ยคุกเข่าอยู่บนพื้นร้องไห้น้ำตานอง “นายท่านสาม เป็นผู้น้อยที่ไม่ได้เรื่อง เป็นผู้น้อยที่ไร้ประโยชน์ ท่านโปรดระงับโทสะ” พูดหนึ่งประโยคก็ตบหน้าตัวเองหนึ่งที ไม่นานนักใบหน้าของเขาก็แดงบวมขึ้นมา มองดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง

 

 

ตอนนี้ในใจเขาเสียใจอย่างถึงที่สุด เขาไม่ควรประจบนายท่านสามด้วยการเสนอความคิดเห็นเช่นนั้นออกมา ตอนนั้นเขาถูกหลอกได้อย่างไร คุณชายผู้นั้นดูเหมือนอ่อนแออย่างยิ่ง ใครจะรู้ว่าจะกลายเป็นจุดแข็งได้ ตอนนี้แย่แล้ว ไม่เพียงแต่คฤหาสน์พังทลาย สินค้าจำนวนมากยังหายไปอีก ด้วยนิสัยอารมณ์ร้อนของนายท่านสามจะไว้ชีวิตเขาได้อย่างไร

 

 

“นายท่านสาม จิตใจที่จงรักภัคดีต่อท่านของผู้น้อยฟ้าดินเป็นพยานได้ หากท่านเห็นแก่ความจงรักภัคดีของผู้น้อยก็โปรดไว้ชีวิตผู้น้อยครั้งนี้ด้วยเถอะ นายท่านสาม ผู้น้อยโขกศีรษะให้ท่านแล้ว” ขณะที่พูด ศีรษะนั้นก็โขกลงบนพื้นดังตุบๆๆ โลหิตสดสีแดงฉานนั้นก็ไหลลงมาตามแก้ม

 

 

ทว่าหมิ่นซือเหนียนกลับไม่ขยับ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย คล้ายกำลังหลับอยู่ แต่อันที่จริงตอนนี้ไฟโกรธในใจเขาพุ่งพล่าน กี่ปีแล้ว ตั้งแต่ที่เขาใช้อุบายโหดเ**้ยมสั่นคลอนบ้านรองและบ้านสาม จนไม่มีใครกล้ามาระรานเขาอีก แต่เด็กสองคนที่ยังไม่โตกลับต้มเขาจนเปื่อย เขาจะกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงได้อย่างไร

 

 

แม่เล้าฉินเห็นใบหน้าเอ้อร์กุ้ยเต็มไปด้วยโลหิต ในใจก็ทนไม่ไหวหลายส่วน ผลักหมิ่นซือเหนียนเบาๆ “นายท่านสาม ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทุกคนล้วนเคยผิดพลาด เอ้อร์กุ้ยเองก็ติดตามท่านมาหลายปีแล้ว ไม่ได้สร้างคุณูปการแต่ก็ทำงานอย่างหนักมิใช่หรือ ท่านเป็นเจ้าคนนายคนต้องใจกว้าง ให้อภัยเขาสักครั้งเถอะ”

 

 

อันที่จริง แม่เล้าฉินพูดประโยคขอความเมตตานี้ออกมาในใจก็พะว้าพะวงเช่นกัน แม้ว่าหอซิ่งชุนแห่งนี้จะเป็นของนาง แต่เงินที่ทำงานแลกมาครึ่งหนึ่งกลับตกอยู่ในมือของหมิ่นซือเหนียน แม้แต่ตัวนางเองยังเป็นของที่หมิ่นซือเหนียนหวงแหน แต่นางเองก็หมดหนทาง ไม่พึ่งเขา หอซิ่งชุ่นแห่งนี้ก็ประคับประคองไม่ไหวหรอก

 

 

แม่เล้าฉินติดตามหมิ่นซือเหนียนมาสิบกว่าปีแล้ว รู้นิสัยของเขาเป็นอย่างดี แม่นางในหอซิ่งชุนแห่งนี้ไม่มีใครไม่กลัวเขา เมื่อเจ้าทำผิด เขาก็จะใช้แส้โบยทันที โบยจนเจ้าอยากตายไปเสียยังดีกว่า

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ” ในขณะที่แม่เล้าฉินอดสั่นระริกไม่ได้ หมิ่นซือเหนียนก็เอ่ยปาก

 

 

เอ้อร์กุ้ยราวกับได้รับนิรโทษกรรม กล่าวอย่างประหลาดใจ “ขอบคุณนายท่านสามที่เมตตา ขอบคุณนายท่านสามที่เมตตา” ดีจริงๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกโบยแล้ว แส้ของนายท่านสามไม่เหมือนแส้ทั่วไป บนแส้ของนายท่าสามมีหนาม โบยลงไปบนตัวก็สามารถดึงเนื้อของคนออกมาด้วย แส้โบยลงมาพักหนึ่ง ใครบ้างไม่ต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงครึ่งปี ครึ่งปีหายดีแล้ว ข้างกายนายท่านสามก็มีคนใหม่ไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีที่ของเจ้าอยู่

 

 

ตอนนี้ชายสวมชุดจอมยุทธ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เรียกนายท่านสามหนึ่งครา จากนั้นจึงกล่าว “ผู้น้อยไปสืบมาแล้วขอรับ เด็กหนุ่มสองคนนั้นพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหรงฝู ข้างกายคล้ายมีทหารคุ้มกันที่มีความสามารถอย่างยิ่งติดตามอยู่หลายคน”

 

 

ในดวงตาของหมิ่นซือเหนียนมีแสงเย็นเยียบกะพริบผ่าน เด็กน้อย คิดว่ามีที่พึ่งแล้วจึงไม่กลัวงั้นหรือ ทำลายเกียรติข้าแล้ว ไม่หนี แต่กลับลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อ คิดจริงๆ หรือว่าตนเป็นมังกรเก่งกาจ ในอาณาเขตเมืองทงโจวแห่งนี้ ข้าเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร เป็นมังกรเจ้าก็ต้องก้มหัวให้ข้า เป็นเสือเจ้าก็ต้องหมอบลงให้ข้า กล้ามายุแหย่ข้า คิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้หรือ

 

 

“รู้ภูมิหลังของพวกเขาหรือไม่” หมิ่นซือเหนียนถาม

 

 

“คนที่จับกลับมาคนแรกดูเหมือนจะเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย ไม่เคยออกจากบ้านมาก่อน คนก็โง่เขลา” ผู้ใต้บังคับบัญชานึกถึงเหตุการณ์ที่คนโง่ผู้นั้นให้เงินจำนวนมากแก่ขอทานข้างถนน ทำให้คนมาแย่งชิง ส่วนเขาที่ไร้ประสบการณ์ก็เข้าไปไกล่เกลี่ยจนแทบจะถูกตีพักหนึ่ง

 

 

“สำหรับเด็กคนหลังคล้ายเป็นบุตรหลานขุนนาง ได้ยินเด็กในโรงเตี๊ยมหรงฝูบอกว่าพวกเขามีนายสามคน ญาติผู้พี่ ญาติผู้น้อง และกูไหน่ไนอีกหนึ่งคน คล้ายจะกลับเมืองหลวงไปเยี่ยมญาติ นายท่านสาม ท่านคิดว่า?” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นกล่าวไปพลาง สีหน้าก็มีความลังเลหลายส่วน

 

 

ตระกูลหมิ่นไม่มีใครในทงโจวกล้ายุแหย่ แม้แต่ใต้เท้าข้าหลวงก็ต้องให้เกียรติหลายส่วน แต่อย่างไรเสียเด็กคนนั้นก็เป็นบุตรหลานตระกูลขุนนาง แต่ไหนแต่ไรมาประชานชนสู้ขุนนางไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังเด็กคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนอะไรหรือไม่

 

 

ทว่าหมิ่นซือเหนียนกลับไม่คิดเช่นนี้ เป็นบุตรหลานขุนนางแล้วอย่างไร คุณชายคุณหนูตระกูลขุนนางที่ส่งผ่านมือเขาออกไปมีน้อยหรือไร ถึงตอนนั้นทิ้งศพไว้ที่ก้นแม่น้ำ ลบร่องรอยทั้งหมด ใครจะสืบสาวมาถึงตัวเขาได้อีก ต่อให้สืบมาถึงตัวเขาเขาก็ไม่กลัว หลักฐาน หลักฐานเล่า ไม่มีหลักฐานแล้วจะทำอะไรเขาได้

 

 

“คืนนี้เจ้าพาคนฝีมือดีไปให้มากหน่อย ให้คนในเมืองทงโจวได้เห็นจุดจบของคนที่ยุแหย่นายท่านสามแซ่หมิ่นเช่นข้า” หมิ่นซือเหนียนวางแก้วชาลงบนโต๊ะอย่างแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย

 

 

ตอนนี้ใต้เท้าอวี๋ข้าหลวงเมืองทงโจวถือเทียบเชิญของจวนจงอู่โหวลำบากใจไม่สิ้นสุด นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณชายจวนจงอู่โหววิ่งมาถึงเมืองทงโจวได้อย่างไร ซ้ำยังไปสร้างความแค้นให้หมิ่นเหล่าซานตัวปัญหาผู้นั้นอีก ตระกูลเจ้าสองคนผูกพยาบาทก็ผูกพยาบาทไปสิ เหตุใดต้องลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย

 

 

คุณชายสี่แซ่เสิ่นมาขอยืมคนจากเขา เขาจะให้ยืมหรือไม่ให้ยืมดี หากให้ยืม ผิดใจหมิ่นเหล่าซาน ตระกูลหมิ่นเป็นผู้มีอำนาจในท้องถิ่น ไปขัดขาเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ หลายปีมานี้เขากับตระกูลหมิ่นต่างคนต่างอยู่ กลับไม่มีปัญหาอะไร แม้ว่าเขาจะไม่กลัวตระกูลหมิ่น แต่ขอเพียงแค่เขายังดำรงตำแหน่งข้าหลวงเมืองทงโจวอยู่ ก็ไม่ควรผิดใจตระกูลหมิ่นมากเกินไป

 

 

หากไม่ให้ยืม ผิดใจจวนจงอู่โหว ภูมิหลังนี้ใหญ่เสียยิ่งกว่า มีใครไม่รู้บ้างว่านายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวผู้นั้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่จักรพรรดิโปรดปราน หากคุณชายสี่แซ่เสิ่นเกิดเรื่องขึ้นในอาณาเขตเมืองทงโจว เช่นนั้นตำแหน่งข้าหลวงของเขาก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนำหายนะมาสู่คนในครอบครัวอีกด้วย

 

 

ให้ยืมหรือว่าไม่ให้ยืม ข้าหลวงอวี๋ขมวดคิ้วเดินไปเดินมา ท้ายที่สุดก็ยังตัดสินใจไม่ได้

 

 

ตอนนี้นอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ตามมาด้วยเสียงของฮูหยิน คิ้วของข้าหลวงอวี๋ก็ยิ่งขมวดมุ่น “ฮูหยินมาได้อย่างไร”

 

 

อวี๋ฮูหยินมองค้อนสามีปราดหนึ่ง “ไม่ใช่กลัวว่านายท่านจะตัดสินใจผิดหรือไร” ที่เรือนหน้านางเองก็มีคนสนิท ย่อมรู้เรื่องที่คุณชายสี่จวนจงอู่โหวมายืมคนแล้ว นางจึงรีบตามมาทันที

 

 

ข้าหลวงอวี๋โบกมือ “สตรีเช่นเจ้าจะรู้อะไร อยู่นิ่งๆ ในเรือนหลังก็พอแล้ว ข้าว้าวุ่นใจอยู่ เจ้าอย่ามากวนข้า”

 

 

อวี๋ฮูหยินร้อนใจแล้ว “ข้าว่านะนายท่าน ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเลย ในเมื่อคุณชายสี่จวนจงอู่โหวมาขอยืมกำลังคน เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาชอบท่าน โอกาสผูกสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ท่านอย่าได้โง่ปฏิเสธเลย นั่นเป็นถึงจวนโหว หากเป็นเวลาปกติ เขาจะเห็นหัวพวกเราหรือ นายท่านดำรงตำแหน่งมาสามสมัยแล้ว เหตุใดถึงไม่เลื่อนขั้นเสียที ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราไม่มีหนทางหรอกหรือ ตอนนี้โอกาสที่ส่งมาตรงหน้าท่านต้องคว้าไว้” นางจับแขนของสามี กลัวว่าเขาจะพลาดโอกาสอันดี

 

 

ข้าหลวงอวี๋ยังคงสนใจเล็กน้อยจริงๆ จริงอย่างที่ฮูหยินว่า เขาดำรงตำแหน่งข้าหลวงอยู่ที่อวิ๋นโจวมาสามสมัยแล้ว อยากจะเลื่อนขั้นมานานแล้ว แต่จนปัญญาไร้หนทาง จึงต้องปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้มาโดยตลอด

 

 

หากอาศัยจวนจงอู่โหวที่พึ่งนี้ มีนายท่านผู้เฒ่าโหวผู้นั้นช่วยตนพูดสักประโยคสองประโยค เช่นนั้นตนก็คงจะ…

 

 

“แต่ว่าตระกูลหมิ่นเล่า” นางลังเลอีกครั้ง

 

 

“ไอหยา นายท่านผู้โง่เขลาของข้า ท่านเป็นใต้เท้าข้าหลวง ตระกูลหมิ่นจะทำอะไรท่านได้ จะยังทำร้ายท่านได้หรือ อย่างมากก็แค่สร้างความรำคาญให้ท่าน แต่ตำแหน่งนี้ท่านก็เหลืออีกเพียงครึ่งปี สร้างความรำคาญจะสร้างได้ถึงไหน หากท่านไม่สบายใจจริงๆ ก็แอบส่งจดหมายให้หมิ่นเหล่าซาน ให้เขาหาวิธีเอง หากเขายอม นายท่านก็จะกลายเป็นผู้ไกล่เกลี่ย สองฝ่ายไกล่เกลี่ยกันแล้ว เปลี่ยนจากสงครามสู่สันติภาพ ก็เป็นผลดีของทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”

 

 

ข้าหลวงอวี๋ตาลุกวาวในชั่วขณะ ใช่แล้ว ความคิดนี้ดี เหตุใดเขาถึงคิดไม่ได้เล่า “ยังคงเป็นฮูหยินที่มีความคิดเหนือชั้น” เขายื่นหัวแม่มือออกไปกล่าวชม