ตอนที่ 2 มาตรฐานในการวัดระดับ โดย Ink Stone_Fantasy
ครึ่งเดือนต่อจากนั้น หวังลู่และเหวินเป่าก็ทำตัวหน้าหนาอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลหรูอย่างสุขกายสบายใจเพื่อเขียนรายงานของตน
หลังจากที่คำประท้วงตั้งมากมายของนางไม่เป็นผล เถ้าแก่เนี้ยก็ขี้เกียจจะใส่ใจอีก ทุกวันนางเพียงต้มหัวไชเท้าเพื่อเป็นอาหารให้ผู้ทรงปัญญาแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสอง เพื่อบรรลุหน้าที่ในฐานะเพื่อนร่วมกลุ่ม
ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา ศิษย์แห่งสำนักกระบี่วิญญาณจากทั่วอาณาจักรเก้าแคว้นก็ค่อยๆ กลับขึ้นเขาไป และเพราะเมืองธาราวิญญาณเป็นจุดที่ทุกคนจะต้องเดินทางผ่านไปยังภูเขา ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงบังเอิญเจอกันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
เทียบกับเมื่อหนึ่งปีก่อน ศิษย์ทั้งหลายที่กลับมาเหมือนได้เกิดใหม่ ศิษย์ส่วนใหญ่ทำตามคำแนะนำที่อยู่ในคู่มือของผู้อาวุโส พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่หายาก และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเติบโตขึ้นอย่างมากภายในหนึ่งปี ความมั่นใจของเหล่าศิษย์ก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ยามที่พวกเขาทักทายกัน จึงยากที่จะไม่พูดโอ้อวด ทำให้เกิดความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น แน่นอนว่าที่เชิงเขากระบี่วิญญาณพวกเขาไม่คิดเรื่องการต่อยตี ทว่าการวิวาทกันบ้างตามโอกาสเพื่อให้อีกฝ่ายอับอายจนหน้าแดงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อย่างไรเสีย เกือบทุกคนต่างได้รับประสบการณ์อันหายากมาตลอดหนึ่งปี ดังนั้น ‘ลำดับชนชั้น’ ตั้งแต่ครั้งที่ยังอยู่บนเขาจึงถูกล้างทิ้งไปนานแล้ว และนี่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะจัดลำดับใหม่อีกครั้งว่าใครต้องยอมก้มหัวให้ใคร
สำนักกระบี่วิญญาณไม่ใช่สถานที่ที่แบ่งชนชั้น ทว่าศิษย์แต่ละคนย่อมรู้โดยเลาๆ ว่าตนนั้นอยู่ในฐานะใด ใครที่แข็งแกร่งกว่า หรือใครที่อ่อนแอกว่า รวมถึงท่าทีที่พวกเขาจะปฏิบัติต่ออีกฝ่าย… ศิษย์เกือบทุกคนรู้ว่าตนอยู่ในตำแหน่งใด แม้สำนักกระบี่วิญญาณจะไม่สนับสนุนสิ่งนี้ แต่มันก็เป็นแนวคิดที่สลักแน่นอยู่ในจิตใจของผู้คนแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หวังลู่เฝ้ามองการทะเลาะกันนับครั้งไม่ถ้วนของพวกเด็กเหลือขอด้วยความสนใจ
แน่ล่ะว่าการทะเลาะกันที่ว่านี้ไม่มากไปกว่าการพูดจาโอ้อวดหรือผลักกันไปมา บ้างก็โม้ว่าตนเอาชนะมารร้ายตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายจากสำนักมารได้ บ้างก็อวดว่าตนสังหารสัตว์ประหลาดได้ด้วยแก่นแห่งเซียน… บ้างก็กล่าวว่าตนถูกผู้บำเพ็ญเซียนสาวตบะขั้นพิสุทธิ์ยั่วยวนและมีความสัมพันธ์ด้วย
การแข่งเล่านิทานนี้ช่างบันเทิงเริงใจเป็นที่สุด หวังลู่เพียงแค่ฟังนิ่งๆ อยู่ภายในโรงเตี๊ยม อีกฝั่งหนึ่ง เหวินเป่าที่ตัดสินใจจะเขียนรายงานโลกตะลึงก็เงี่ยหูพลางเกาแก้มอย่างชื่นชม เขาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าขณะฟังเรื่องราวเหล่านั้น พลางคิดในใจว่าความรอบรู้นั้นมีอยู่ในตัวของทุกคน ขณะที่เขากำลังวิตกกังวลว่าจะเขียนเรื่องราวของทรราชหยาบคายนี้ออกมาอย่างไร เขาไม่คาดคิดสักนิดว่าขณะจิบน้ำชาอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยมเช่นนี้ เขาจะได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น…
แน่ล่ะว่านอกจากเรื่องทะเลาะเบาะแว้งแล้ว พวกเขายังได้ยินเรื่องราวมากมายที่ศิษย์ทั้งหลายได้ประสบมา หลังจากออกไปเรียนรู้ถึงหนึ่งปี เหล่าศิษย์พวกนี้ต่างก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกันมากมาย ตัวอย่างเช่น ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงที่ได้พบเจอการเดินทางแสนทึ่ง คนหนึ่งทำให้อีกฝ่ายอับอายที่ด้อยกว่า ทั้งยังมีศิษย์น้องคนหนึ่งที่เกือบติดกับดักในซากปรักหักพังของสุสานโบราณ โชคดีที่สวรรค์คุ้มครองคนดี เขาจึงรอดมาได้ไม่ตายก่อนกำหนด…
ที่เหลือเป็นการเปรียบเทียบเรื่องราวกัน ศิษย์ส่วนใหญ่ต่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขาจึงไม่ค่อยคล้อยตามเรื่องของคนอื่นนัก ทว่าเมื่อได้ฟังเรื่องต่างๆ มากเข้า พวกเขาก็เกิดเปรียบเทียบเรื่องราวของแต่ละคนจนกลายเป็นมติมหาชนขึ้นมา นั่นคือหนึ่งปีที่ผ่านมา มีคนส่วนน้อยที่ได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่าคนอื่นๆ หลายเท่านัก เรียกสั้นๆ ว่าพวกศิษย์พิเศษ แม้ศิษย์ที่เหลือจะมั่นอกมั่นใจในเรื่องราวของตน แต่พวกเขาก็รู้ว่าไม่อาจเอาชนะพวกศิษย์พิเศษเหล่านี้ได้
ตัวอย่างเช่น ศิษย์ผู้สืบทอดที่นั่งเขียนรายงานอยู่เงียบๆ ในโรงเตี๊ยม แม้ว่าหมอนี่จะดูเป็นมิตรและดูไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ หนำซ้ำยังใช้เวลาเกือบทั้งวันตวัดลายมือเร็วๆ ไปทั่วโต๊ะ ทว่าทันทีที่มีคนเข้าไปใกล้เขา คนผู้นั้นจะรู้สึกหายใจแผ่วลง ยากที่จะสูดอากาศเข้าปอด ทำให้ต้องก้มหัวลงต่ำโดยไม่รู้ตัว
เคราะห์ดีที่ปัญญาของคนพวกนี้พัฒนาขึ้นบ้างในหนึ่งปีที่ผ่านมา หลังจากที่หารือกันเอง พวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าภาวะอารมณ์ของผู้นำ ในปีที่ผ่านมา พวกเขาหลายคนได้เห็นคนระดับสูงที่มีลักษณะเช่นนี้ เช่น จักรพรรดิ เจ้าสำนักขนาดใหญ่และอื่นๆ ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงเริ่มทายกันว่าองค์กรใดที่หวังลู่เคยดูแลเมื่อหนึ่งปีก่อน ทว่าไม่มีใครเดาได้เลยว่า ก่อนที่จะกลับขึ้นเขามานี้ หวังลู่มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน และสามัญชนเกือบทั้งหมดในประเทศต้าหมิงอยู่ในการควบคุมของเขา
เมื่อมีคนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ แล้วขั้นบำเพ็ญเซียนของพวกเขาจะดีกว่าได้อย่างไร นี่ยังไม่นับรวมว่าหวังลู่โด่งดังเรื่องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของเขาในงานชุมนุมคัดเลือกเซียน หรือหลังจากนั้นที่เขาสามารถทำลายสถิติในเขาเมฆาครามเล็กได้ ความสำเร็จในอดีตเหล่านี้ทำให้ผู้คนต่างพากันเชื่อว่าการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่หวังลู่ได้รับย่อมมหาศาลจนแทบจะเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ แม้จะมีข้อขัดแย้งในตอนที่เขาเพิ่งเข้าสำนักมา แต่ตอนนี้เขาก็ถือว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตัวจริง พวกเขาไม่ว่าจะเป็นศิษย์ชั้นในหรือศิษย์ชั้นนอกทางที่ดีก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย
ทว่าขนาดหวังลู่เองก็ไม่ได้อยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อศิษย์พิเศษที่บรรดาศิษย์คนอื่นๆ ตั้งขึ้นมา
“ที่หนึ่งย่อมเป็นของศิษย์ผู้สืบทอดหลิวหลี”
ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา นี่คือประโยคที่หวังลู่ได้ยินบ่อยที่สุด
ส่วนสาเหตุที่หญิงสาวที่มีชื่อเล่นว่าหลิวหลีน้อยประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจนั้น…
“ทำไมน่ะหรือ ก็นางสังหารปีศาจเมฆาโลหิตสิบสองตัวที่หุบเขาเมฆาโลหิตด้วยตัวคนเดียวน่ะสิ ปีศาจสิบสองตัวนี้มีตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ตบะของบางตัวอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังถูกเด็กสาวที่ตบะแค่เกือบบรรลุขั้นสร้างฐานฟาดเอาซะคร่ำครวญเหมือนผีโหยหวนเหมือนหมาป่าไม่มีผิด พวกมันหมดเรี่ยวแรงจนไม่อาจสู้กลับได้ด้วยซ้ำ…ว่ากันว่าแม้แต่สำนักเซิ่งจิงก็ตื่นตะลึงกับการต่อสู้ครั้งนี้ไม่น้อย”
“ถูกต้องแล้ว เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผู้บำเพ็ญเซียนสาวสวยตบะขั้นสร้างฐานช่วงต้นนามว่าฉยงฮว๋าจากสำนักเซิ่งจิง สามารถเอาชนะศัตรูที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้ จากนั้นนางก็ภาคภูมิใจเสียจนประกาศชัยชนะนี้ให้ชาวโลกได้รับรู้ ราวกับว่าตัวเองเป็นบุคคลตัวอย่างของพวกเด็กๆ รุ่นใหม่ แต่ดูท่าว่าตอนนี้เรื่องนี้คงไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแล้ว”
“โอ้โห ตบะขั้นสร้างฐานเอาชนะตบะขั้นพิสุทธิ์ได้อย่างไรกัน…”
ขณะที่เหล่าศิษย์กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หวังลู่ก็นั่งฟังบทสนทนาอยู่ที่มุมหนึ่งด้วยความขบขัน
เขาคิดในใจ ‘ก็แค่ขั้นพิสุทธิ์ มีอะไรให้โอ้อวดกัน สำนักภูมิปัญญาของข้าสามารถไล่ผู้อาวุโสขั้นพิสุทธิ์หลายคนออกได้ง่ายๆ ตอนที่ข้าตบหน้าพวกเขาเพราะทำงานไม่ถูกใจ ใครหน้าไหนกล้าเปลี่ยนใจย้ายสำนักบ้าง พวกเขาได้แต่ถอนใจเพราะรู้สึกว่าได้รับเกียรติจากเจ้าสำนัก จากนั้นก็ทำตามคำสั่งของข้าต่อ”
อาณาจักรเก้าแคว้นกว้างใหญ่เสียจนแม้ในแคว้นธาราครามที่อยู่ห่างไกลยังมีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณและตบะขั้นสร้างฐานจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกเซียนในดินแดนส่วนนี้มีมากเหลือคณานับ บางคนมีรากวิญญาณสวรรค์ บางคนมีรากวิญญาณปฐพี พวกเขามีระดับสติปัญญา ปรีชาฌาน วิธีสร้างแก่นแห่งการบำเพ็ญเซียน และทรัพย์สมบัติที่แตกต่างกัน… แม้ผู้บำเพ็ญเซียนสองคนจะอยู่ในขั้นตบะเดียวกัน แต่ความแข็งแกร่งอาจแตกต่างกันถึงสิบส่วนหรือหนึ่งร้อยส่วน ไม่มีราคาที่จะอ้างอิงได้
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์เหมือนกัน ศิษย์ตบะขั้นพิสุทธิ์ของสำนักกระบี่วิญญาณ ต่อให้เป็นพวกไม่มีอะไรดีก็ยังสามารถเอาชนะเย่ชูเฉินมากกว่าสิบคนได้ง่ายๆ! มิเช่นนั้นลองดูมู่เสี่ยวเป็นตัวอย่างก็ได้ เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ทั่วไป พละกำลังไม่ถือว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงตบะขั้นสร้างฐานของสำนักเซิ่งจิงก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้
ขั้นตบะไม่อาจใช้วัดค่าความแข็งแกร่งที่มีอย่างแม่นยำ ทว่าหากไม่ใช้สิ่งนี้ ก็ไม่มีมาตรฐานร่วมอื่นใดที่ใช้ตัดสินความแตกต่างด้านพละกำลังระหว่างผู้บำเพ็ญเซียนได้ ปัญหานี้ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในการสนทนากันของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ การสนทนากันเรื่องดังกล่าวมักแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหล ตัวอย่างเช่น…
“เดือนก่อน ข้าเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนสำนักมารตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายได้ แล้วเจ้ามีดีอะไรจะมาก่อเรื่องต่อหน้าข้า”
“แค่ตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายมันวิเศษวิโสที่ตรงไหนกัน ข้ากับศิษย์น้องเจ้าโหยวซินร่วมมือกันปราบผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายได้ถึงสี่คน เช่นนี้พวกเราไม่เจ๋งกว่าเจ้าถึงสองเท่าหรือ”
“ศัตรูขั้นฝึกปราณช่วงปลายของพวกเจ้ามันสวะล่ะสิ กล้าดียังไงมาคุยโม้ คนที่ข้าเอาชนะมาได้นั้นโด่งดังไม่น้อย!”
“ศัตรูของข้าก็ไม่ได้ด้อย แม้ขั้นตบะของพวกเขาจะต่ำกว่าเล็กน้อย แต่อาวุธวิเศษของพวกเขาก็เป็นของแท้ราคาดี!”
“ศัตรูผู้บำเพ็ญเซียนมารของข้าก็ไม่ได้อ่อน…”
“ข้าสองคนต้านสี่คน!”
“เหลวไหล หากใช้ค่ายกลกระบี่ปฐพีและกระบี่นภาของสำนักกระบี่วิญญาณ ไม่เพียงพละกำลังของเราจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเซียนชั่วร้ายพวกนั้นจะลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน ดังนั้นที่เจ้าพูดว่าสองต้านสี่ แท้จริงแล้วก็คือสองต้านสองในห้าส่วนต่างหาก!”
“เหลือหนึ่งในสิบส่วนมารดาเจ้าสิ!”
“มารดาเจ้าต่างหาก!”
การโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนจากการถกเถียงมาเป็นการไม้ลงมือกัน และก่อนที่การลงไม้ลงมือจะกลายเป็นการวิวาทใหญ่โต เถ้าแก่เนี้ยก็จับปกเสื้อของคนทั้งสองขึ้นแล้วโยนทั้งคู่ออกนอกโรงเตี๊ยมไป
หลังจากคนทั้งคู่ลุกขึ้นและเดินกลับเข้ามาใหม่อย่างหมดท่า พวกเขาก็เห็นหวังลู่ที่นั่งเขียนรายงานอยู่ที่มุมห้อง ลุกขึ้นยืน
“ตามที่ข้าเห็น”
ทันทีที่หวังลู่เปิดปากพูด ทั้งโรงเตี๊ยมก็เงียบลงทันใด แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในรายชื่ออันดับหนึ่งของพวกศิษย์พิเศษ ทว่าเขาคือคนที่โด่งดังที่สุดที่อยู่ที่นี่ หนำซ้ำบรรยากาศของผู้นำในตัวเขายังทำให้ผู้อื่นไม่กล้าไม่เชื่อฟัง
“พวกเจ้าไม่คิดว่าตัวเองงี่เง่าบ้างหรือ รู้ทั้งรู้ว่าขั้นตบะนั้นเอามาวัดความแข็งแกร่งไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เถียงกันว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน พวกเจ้าก็มักเอาขั้นตบะมาเป็นตัวเปรียบเทียบทุกที”
เมื่อถูกหวังลู่ตั้งคำถาม ศิษย์คนอื่นๆ ก็พลันรู้สึกอับจนคำตอบ ทว่าผ่านไปพักหนึ่งใครบางคนก็กระซิบออกมา “แล้วจะให้ใช้อะไรเล่า นอกจากขั้นตบะแล้ว คุณสมบัติอื่นๆ ยิ่งเชื่อไม่ได้เข้าไปใหญ่ ตอนนี้ไม่มีมาตรฐานที่สมเหตุสมผลพอจะใช้วัดความแข็งแกร่งด้วยซ้ำ”
หวังลู่กัดฟัน “งี่เง่า หากไม่มีมาตรฐานใดที่จะใช้ได้ เช่นนั้นก็สร้างมันขึ้นมาสิ มันจะยากเย็นที่ตรงไหนกัน”
ศิษย์คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างคิดว่าข้อเสนอแนะของหวังลู่นั้นช่างหลักแหลม แต่ขณะเดียวกันก็แสนจะไร้สาระ
“จะ จะสร้างมาตรฐานที่ว่าขึ้นได้อย่างไรเล่า”
หวังลู่ถอนหายใจ ส่งสายตาเหยียดหยามไปยังศิษย์ร่วมสำนักไร้ประโยชน์ที่ถามคำถามนั้นออกมา จากนั้นก็เดินมากลางห้องโถง เจอโต๊ะตัวหนึ่งจากนั้นก็หยิบกระดาษและปากกาออกมา
“ง่ายมาก ขั้นแรกต้องตั้งค่ามาตรฐานก่อน”
“ค่ามาตรฐาน?” เหล่าศิษย์ถามขึ้นอย่างสงสัยขณะเดินเข้ามาล้อมรอบหวังลู่อย่างรวดเร็ว
หวังลู่พยักหน้าพลางอธิบาย “ขั้นแรกเราก็ตั้งผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่ว่าด้านไหนก็ไม่โดดเด่นและมีตบะขั้นต่ำสุดขึ้นมาเสียก่อน ตัวอย่างเช่น…”
หวังลู่กล่าวพลางวาดคนตัวเล็กๆ ลงบนกระดาษ
เหล่าศิษย์ต่างสงสัย “นี่ใครกัน”
“นี่คือเสี่ยวหมิง”
“…เสี่ยวหมิง?”
“เสี่ยวหมิงคือผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาที่พวกเจ้าพบเห็นได้ทั่วไปในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน ขั้นตบะของเขาคือขั้นสร้างฐานระดับเก้า รากวิญญาณของเขาคือรากวิญญาณสามประสานระดับเจ็ด มีวิชาแก่นบำเพ็ญเซียนระดับต่ำ มีของวิเศษระดับกลางสามชิ้น มีอาวุธธรรมระดับต่ำสิบชิ้น… สรุปแล้วผู้บำเพ็ญเซียนประเภทนี้พบเห็นได้ทั่วไปในอาณาจักรเก้าแคว้นจริงไหม”
เหล่าศิษย์ที่อยู่ล้อมรอบหันไปพูดคุยกันครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
แน่นอนว่าแม้เสี่ยวหมิงจะค่อนข้างยากจนเมื่อเทียบกับศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณคนอื่นๆ ทว่าศิษย์เหล่านี้ซึ่งพบเห็นและคุ้นเคยกับความเจ็บปวดและความยากลำบากของคนทั่วไปดี พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าความยากจนคือสถานะที่เห็นได้ทั่วไปในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน แม้เสี่ยวหมิงจะดูข้นแค้น แต่ความจริงแล้วยังมีคนอีกหลายคนที่จนยิ่งกว่าเขา ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้บรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้อย่างฉิวเฉียด และชั่วทั้งชีวิตก็อาจจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้เพราะคุณสมบัติของรากวิญญาณที่แสนย่ำแย่ พวกเขายังห่างไกลจากผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่หวังลู่วาดบนกระดาษมากนัก อย่างไรเสีย แม้อาวุธวิเศษระดับกลางจะไม่ถือเป็นของหายาก แต่หากมีถึงสามชิ้นก็ถือว่าดีไม่น้อย หนำซ้ำยังมีอาวุธธรรมระดับต่ำอีกถึงสิบชิ้น เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากเค้กที่มีน้ำตาลโรยหน้าแล้ว…
หวังลู่กล่าวต่อ “เราตั้งเสี่ยวหมิงเป็นมาตรฐานสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับเก้า จากนั้นก็ตั้งผู้บำเพ็ญเซียนอีกคนขึ้นมา สมมติว่าให้เป็นเสี่ยวกัง”
พูดจบหวังลู่ก็วาดอีกคนขึ้นมาซึ่งดูคล้ายเสี่ยวหมิงถึงเก้าส่วน
“เสี่ยวกังก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาทั่วไปที่พบเห็นได้ทุกที่ในอาณาจักรเก้าแคว้น ทว่าเขาต่างจากเสี่ยวหมิง นั่นเพราะเขาอยู่ในขั้นสร้างฐานระดับแปด… ส่วนแก่นในการบำเพ็ญเซียนและข้าวของต่างๆ ข้าจะไม่ลงรายละเอียด เอาเป็นว่าพวกเขามีเหมือนๆ กัน ดังนั้นหากเสี่ยวหมิงและเสี่ยวกังต่อสู้กัน โดยพื้นฐานแล้วเสี่ยวกังย่อมมีโอกาสชนะถึงแปดส่วน พวกเจ้าเห็นชอบเช่นเดียวกันใช่ไหม”
แม้พวกเขาจะแตกต่างกันเพียงหนึ่งระดับ ซึ่งถือว่าเล็กน้อยมาก แต่ในเมื่อเงื่อนไขอื่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ความแตกต่างของระดับขั้นจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมา เมื่อดูตามปัจจัยโดยรวมแล้ว เสี่ยวกังจึงมีโอกาสชนะถึงแปดส่วน
หวังลู่ยิ้มจากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นและแก้ข้อมูลบางอย่างที่ด้านบนภาพของเสี่ยวหมิง “เช่นนั้นสมมติว่าเสี่ยวหมิงไม่ได้มีอาวุธวิเศษระดับกลางแต่เป็นอาวุธวิเศษระดับสูง พวกเจ้าว่าผลจะเป็นอย่างไร”
เหล่าศิษย์ที่ถูกยิงคำถามใส่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปปรึกษากัน ผลที่ได้ก็คือ…
“โอกาสน่าจะเป็นห้าสิบห้าสิบ”
หวังลู่พยักหน้า “พูดอีกอย่างก็คือ เสี่ยวหมิงที่มีอาวุธวิเศษระดับสูงมีคุณสมบัติพอที่จะเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนที่เหนือกว่าเขาอยู่หนึ่งระดับ เช่นนั้น…”
หวังลู่หยิบปากกา เพิ่มข้อความลงในกรอบข้อมูลของเสี่ยวหมิง ออกมาเป็น ตบะขั้นสร้างฐานระดับเก้า + 1
เขียนเสร็จเขาก็วางปากกาลงจากนั้นก็ฉีกยิ้ม “นี่คือหลักการพื้นฐาน ที่เหลือคงไม่ต้องให้ข้าอธิบายต่อมั้ง”
…………………………………..