ตอนที่ 3 รายงานที่เขียนขึ้นด้วยเลือด (1) โดย Ink Stone_Fantasy
หากกล่าวอย่างเข้มงวด วิธีคำนวณที่หวังลู่เสนอขึ้นมานั้นไม่ได้แม่นยำเสียทีเดียว ทว่าในเมื่อไม่มีวิธีแก้ปัญหาอื่นที่น่าเชื่อถือมากกว่านี้ อย่างน้อย กฎ +1นี้ก็กระจ่าง กระชับและง่ายในการนำไปใช้
ด้วยวิธี +1 นี้ นอกจากต้องคำนึงถึงค่ามาตรฐานตั้งต้นแล้ว ขั้นที่เหลือนั้นง่ายมาก ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงใช้เวลาสร้างบัตรตัวละครซึ่งอยู่ในการถกเถียงขึ้นมา ทำให้การถกเถียงในครั้งต่อๆ มานั้นมีมาตรฐานและเป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น
“นี่ นี่ จากการคำนวณน่ะ ข้าอยู่ในขั้นฝึกปราณระดับสี่ +9 และสามารถสู้กับเสี่ยวหมิงที่อยู่ขั้นสร้างฐานระดับสี่ได้”
“ไม่ เจ้าผิดแล้ว ค่าความแตกต่างระหว่างขั้นฝึกปราณขั้นปลายกับขั้นสร้างฐานขั้นต้นอยู่ที่ห้าแต้ม ดังนั้นเจ้าสามารถสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับเก้าได้เท่านั้น”
“แค่ขั้นสร้างฐานระดับเก้าเองรึ… น่าผิดหวังจริงๆ”
“ฮ่ะๆ ข้าเองก็ไม่ได้ดีเหมือนกัน ข้าเป็นเพียงขั้นฝึกปราณระดับสาม +8 ดังนั้นจึงสามารถต่อสู้กับคู่แข่งในระดับเดียวกับเจ้าได้ ศิษย์น้อง แม้ทักษะพื้นฐานของข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่าเจ้า แต่เจ้าขาดเพียงแค่ระดับของอาวุธวิเศษ หลังจากเจ้ากลับขึ้นเขาไปและได้อาวุธชิ้นใหม่ที่ดีกว่า เจ้าก็ไม่ย่ำแย่เท่าข้าแล้ว”
“ได้ยินมาว่าศิษย์พี่หญิงเจ้าอยู่ที่ขั้นฝึกปราณระดับห้า +10 แม้ระดับของนางจะไม่สูง แต่ความแข็งแกร่งถือว่าทรงพลังไม่น้อย โธ่เอ๋ย ในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ การจะเจอใครสักคนที่มีความแข็งแกร่ง +10 ถือว่ายากยิ่งนัก”
“ถูกต้อง ค่าเฉลี่ยของศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณอย่างเราคือ +8 ศิษย์พี่หญิงเจ้านั้น +10 ดังนั้นทักษะพื้นฐานของนางจึงแข็งแกร่งเสียจนทำให้ทุกคนขนหัวลุก… ทว่าหากพูดถึงทักษะความแข็งแกร่ง ศิษย์พี่หยูกับศิษย์คนอื่นๆ นั้นเทียบไม่ติด เพราะระดับขั้นการต่อสู้ของศิษย์พี่หญิงหลิวหลีคือขั้นสร้างฐานระดับเก้า + 15”
“…ว่าไงนะ!”
“ซึ่งเทียบได้กับเสี่ยวหมิงที่อยู่ในขั้นพิสุทธิ์ระดับแปด หนำซ้ำนางยังไม่ต้องพึ่งอาวุธวิเศษ อาวุธธรรม และตัวช่วยภายนอกอื่นๆ เลย เป็นคนที่ท้าลิขิตสวรรค์ได้โดยแท้…”
“เช่นนั้นแล้วฉยงฮว๋าของสำนักเซิ่งจิงเล่า”
“ข้อมูลที่เกี่ยวกับนางนั้นไม่สมบูรณ์ดังนั้นการคำนวณอาจจะไม่ถูกต้อง แต่นางน่าจะอยู่ในระดับ +14 นับว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง พวกเรายังห่างไกลจากนางหลายขุมนัก”
“พูดถึงเรื่องนี้ แล้วศิษย์พี่หวังลู่ผู้ที่คิดวิธีนี้ขึ้นมาเล่า… เจ้าว่าระดับขั้นการต่อสู้ของเขาจะเป็นเท่าไร”
“ใครจะรู้ได้ การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของเขาเป็นเรื่องลึกลับ นอกจากตบะขั้นฝึกปราณระดับหกที่อีกนิดจะระดับห้าของเขาแล้ว ข้าก็ไม่รู้ข้อมูลอื่นของเขาอีก ทว่าในเมื่อเขาเป็นศิษย์ผู้สืบทอด ข้าว่าน่าจะมากกว่า +10 ล่ะมั้ง”
เมื่อได้ยินการถกเถียงกันของเหล่าศิษย์ หวังลู่ที่นั่งเขียนรายงานอยู่มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมก็ผุดรอยยิ้มจางๆ ออกมา
เพียงแต่ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมีความกระอักกระอ่วนซ่อนอยู่
ความสามารถในการโจมตีและการตั้งรับของเขาไม่สมดุลกันอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถคำนวณตามระบบการจัดระดับขั้นการต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ! หากเป็นเรื่องความสามารถในการตั้งรับ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ยังยากที่จะเจาะกระบี่ตั้งรับของเขาได้ หากวัดกันที่ค่าการตั้งรับเพียงอย่างเดียว ไม่แน่เขาอาจจะบวกมากกว่า 20! ทว่าด้านการโจมตีนั้น เขาไม่ได้ดีไปกว่าเสี่ยวหมิงหรืออาจจะแย่กว่า…
วิธีคำนวณระดับขั้นการต่อสู้นี้ไม่ค่อยถูกต้องแม่นยำนัก แต่คำนวณง่ายและเป็นที่นิยม ทว่าในสถานการณ์จริง ย่อมมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่น มันไม่อาจใช้จัดอันดับผู้บำเพ็ญเซียนที่มีความสามารถด้านการต่อสู้และการตั้งรับที่ไม่สมดุลกันได้แม่นยำ ทว่ากรณีของหวังลู่ถือว่าหาได้ยาก ดังนั้นเมื่อได้ฟังศิษย์คนอื่นพูดคุยกันถึงประเด็นนี้ หวังลู่ทำได้เพียงยิ้มและเพิกเฉยเสีย
ตอนนี้สำหรับเขาแล้ว การเขียนรายงานเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ถือว่าสำคัญสุด เมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่นๆ ในห้องโถงที่เขียนรายงานไปพลาง ดื่มกินพูดคุยไปพลาง รายงานของหวังลู่ถือว่ามีหวังมากที่สุด
หนึ่งในคุณสมบัติพื้นฐานของนักผจญภัยมืออาชีพคือการทำความเข้าใจและความสามารถในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทั้งหมดที่มี ดังนั้นหวังลู่จึงตระหนักถึงคุณค่าของรายงานการเรียนรู้ประสบการณ์เล่มนี้เป็นอย่างดี
พูดอีกอย่างก็คือ ระบบการจัดลำดับขั้นการต่อสู้ที่เขาคิดค้นและทำให้เป็นที่รู้จักนี้คือส่วนสำคัญของรายงานที่ควรเน้นให้เด่นชัด
ความจริงแล้ว วิธีนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสงครามการขยับขยายอำนาจของสำนักภูมิปัญญา
ในกระบวนการการขยายอำนาจนั้น สำนักภูมิปัญญาต้องเผชิญกับคู่แข่งจำนวนมาก สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือประเมินความแข็งแกร่งของศัตรู ทว่าบรรดาหัวหน้าหน่วยของสำนักภูมิปัญญามักทำผิดพลาดเช่นเดียวกับที่ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณทำก่อนที่จะได้รู้จักวิธีจัดระดับขั้นการต่อสู้ พวกเขามักคำนวณความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามจากขั้นตบะและระดับ แม้พวกเขาจะรู้ทั้งรู้ว่าวิธีคำนวณนี้เชื่อถือไม่ได้ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า
ในตอนนั้นเองหวังลู่ก็คิดค้นระบบการจัดระดับขั้นการต่อสู้นี้ขึ้นมา ซึ่งส่งผลดีอย่างมากในการต่อสู้จริง
ในอนาคต เขาย่อมต้องจดสิทธิบัตรวิธีคิดคำนวณนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วพอมันโด่งดังขึ้น เขาก็เพียงแค่รอเก็บค่าลิขสิทธิ์เท่านั้น เหมือนการเปิดเหมืองศิลาวิญญาณไม่มีผิด! หวังลู่มั่นอกมั่นใจในวิธีนี้มาก แม้พันธมิตรหมื่นเซียนจะเคยคิดค้นวิธีคำนวณความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเซียนแล้วก็ตาม แถมยังแม่นยำยิ่งกว่าวิธีจัดระดับขั้นการต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ แต่มันก็ซับซ้อนเสียจนทำให้หลายคนเลี่ยงที่จะใช้ ทำให้ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก แม้แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณที่ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางและมีคุณภาพ ยังไม่เคยได้ยินวิธีคำนวณของพันธมิตรหมื่นเซียนนี้เลย นับประสาอะไรกับคนทั่วไป ทว่าครั้งนี้ วิธีที่เรียบง่ายของหวังลู่ย่อมต้องเป็นที่รักของหลายคนแน่นอน
ทว่าหากเขาคิดจะจดสิทธิบัตร เขาย่อมต้องเขียนเอกสารอย่างเป็นทางการก่อน ดังนั้นรายงานที่เขาต้องส่งให้ผู้อาวุโสของสำนักตรวจนี้จึงถือว่าเป็นก้าวแรกที่ถูกต้อง
นอกจากนั้น รายงานการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่มีคุณภาพย่อมเปลี่ยนเป็นเงินรางวัลหรือคะแนนความท้าทายได้ไม่น้อย… ในเมื่อเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้จำนวนมากจากการเขียน เหตุใดจึงจะไม่ทำเล่า
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อถกเถียงเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญานั้นยังต้องได้รับการแก้ไข หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาน่าจะผ่านอุปสรรคอีกไม่กี่อย่างไปได้อย่างราบรื่น และรายงานการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์นี้ก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะจัดการเรื่องดังกล่าว
สองสามวันต่อมา เหล่าศิษย์ที่มารวมตัวกันที่เมืองธาราวิญญาณต่างก็พากันหิ้วรายงานของตนแยกย้ายกันขึ้นเขาไป แม้แต่เหวินเป่าเองก็กลับขึ้นเขาไปอย่างสบายใจหลังจากเขียนนิยายไปได้มากกว่าหนึ่งแสนตัวอักษร
ส่วนหวังลู่ยังคงขัดเกลาเรื่องราวของตัวเองให้สมบูรณ์อย่างสงบอยู่ที่โรงเตี๊ยมตระกูลหรู ความสงบเยือกเย็นของเขาทำเอาศิษย์น้องหญิงชายคนอื่นๆ ชื่นชมอยู่ไม่น้อย
สำหรับรายงานที่ต้องเขียนด้วยลายมือชิ้นนี้ หวังลู่พยายามขัดเกลามันให้สมบูรณ์ที่สุด จนกระทั่งหนึ่งวันก่อนจะถึงกำหนดส่ง หวังลู่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปในตอนเช้าตรู่ด้วยท่วงท่าสบายๆ มุ่งสู่ประตูทางเข้าสำนัก
ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าออกมา เขาก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างไม่คาดฝัน
“ศิษย์น้องจูฉิน?”
จูฉินที่กำลังเดินอยู่บนถนนไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหวังลู่ เขามีสีหน้าตื่นตระหนกจากนั้นก็พยักหน้า “…อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่หวังลู่”
หวังลู่ยิ้มและถามกลับ “เพิ่งกลับมาหรือ”
“…ใช่แล้ว” จูฉินสาวเท้ากลับไปครึ่งก้าวอย่างเก้ๆ กังๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการร่วมทางไปกับอีกฝ่าย
ทว่าหวังลู่กลับไม่สนใจ เขาสืบเท้าเข้ามาพลางตบบ่าของจูฉิน
“ไปกันเถอะ”
จูฉินเบ้หน้าแต่ได้ตอบโต้อะไร ทว่าท่าทีต่อต้านเงียบๆ นี้ไม่เพียงพอจะทำให้หวังลู่ถอนตัวออกไปได้
“ไหน เจ้าไม่สบายรึเปล่า”
จูฉินกัดฟัน “ข้าไม่เป็นไร… ในเมื่อศิษย์พี่อยากจะเดินไปพร้อมข้า เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
อย่างไรเสียจูฉินก็ไม่กล้าปฏิเสธหวังลู่ เพราะเมื่อครู่ตอนที่ทั้งสองสบตากัน เขารู้สึกว่าหวังลู่มองทะลุความคิดของเขาได้ ทำให้เขาตื่นตระหนกยิ่งนัก ดังนั้นแล้วจูฉินจึงไม่กล้าคิดที่จะเป็นปรปักษ์กับหวังลู่
ทว่าขณะที่เดินไปด้วยกัน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่เชิงเขากระบี่วิญญาณ อีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้กันเล่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สำนักภูมิปัญญาจะแผลงฤทธิ์ได้เสียหน่อย!
คนทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปบนถนนในเมืองธาราวิญญาณ ยามรุ่งอรุณเช่นนี้ ทั้งเมืองปกคลุมด้วยหมอกจางๆ ทำให้ต่างเดินได้สะดวกขึ้น ทว่าบรรยากาศรอบตัวช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก
“ศิษย์น้องจูฉิน ตั้งแต่เมื่อสี่เดือนก่อนเราก็ไม่ได้เจอกันเลย ตั้งแต่นั้นมาเจ้าทำอะไรบ้างเล่า”
จูฉินตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงกลับบ้านไปเยี่ยมญาติพี่น้อง เพราะหลังจากนี้เราต้องตัดขาดจากโลกปุถุชน ข้าจึงใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสองสามเดือน… ข้าเป็นคนที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ต่างจากคนที่ทะเยอทะยานเช่นท่าน ศิษย์พี่หวังลู่”
“อ้อ ไปเยี่ยมญาติพี่น้องงั้นหรือ ไม่เลวเลย”
หวังลู่พยักหน้า รอยยิ้มแฝงความนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้า
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หวังลู่ก็ถามขึ้น “แล้วรายงานของเจ้าเล่า”
หัวใจของจูฉินพลันเต้นแรงขึ้นมา ทว่าเมื่อเขาปรายตามองมาอีกด้าน ก็พบว่าหวังลู่เพียงยิ้มน้อยๆ ไม่มีความนัยแอบแฝง
“ก็แค่รายงานทั่วไป ข้าไม่ได้ใส่ความคิดอะไรลงไปมากมาย”
“งั้นหรือ แล้วเจ้าเขียนเรื่องอะไรเล่า ข้าจำได้ว่าก่อนที่เราจะลงจากเขาไป ผู้อาวุโสบอกให้พุ่งประเด็นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างโลกมนุษย์กับเส้นทางแห่งเซียน ในเมื่อเจ้ามาจากตระกูลผู้ปกครอง มุมมองของเจ้าย่อมไม่ธรรมดาแน่จริงไหม”
จูฉินรู้สึกราวกับว่าเหงื่อเย็นๆ กำลังไหลซึมออกมาทั่วร่าง เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ราบเรียบไม่บ่งบอกถึงความหวาดกลัว “เอ่อ ข้าจะมีมุมมองไม่ธรรมดาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน มันก็แค่รายงานทั่วไปจริงๆ”
………………………………………….