ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 3.2 รายงานที่เขียนขึ้นด้วยเลือด (2)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 3 รายงานที่เขียนขึ้นด้วยเลือด (2) โดย Ink Stone_Fantasy

 

“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็เสียแหล่งข้อมูลชั้นยอดไปเปล่าๆ ล่ะสิศิษย์น้อง หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะเขียนเรื่อง รัชทายาทแห่งโลกมนุษย์จะตอบโต้อย่างไรหากต้องเผชิญการแทรกแซงอย่างโหดเหี้ยมของสำนักเซียน”

ตู้ม!

ในใจของจูฉินราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาในวันที่แดดเปรี้ยง ส่งผลให้ภาพเบื้องหน้าของเขาพลันมืดลง เขาเดินซวนเซไปสองสามก้าว จนแทบจะสะดุดหน้าคะมำ!

หวังลู่ เจ้าหมอนี่… สามารถอ่านความคิดคนอื่นได้จริงๆ! เจ้านี่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือสิ่งที่เขียนอยู่ในรายงานของเขา…

ถูกแล้ว หัวข้อรายงานของจูฉินนั้น แม้จะไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่หวังลู่พูด แต่สารที่จะสื่อนั้นตรงกัน คือผู้ปกครองประเทศจะทำอย่างไรเมื่อสำนักเซียนใช้กำลังเข้าควบคุมอำนาจ!?

หัวข้อนี้ไม่ใช่ได้มาอย่างเลื่อนลอย แล้วมันจะมาจากไหนได้ แน่นอนว่าก็ต้องมาจากสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินด้วยตนเองน่ะซี่!

อย่างไรเสียสำนักงานใหญ่ของสำนักภูมิปัญญาก็อยู่ในประเทศต้าหมิง!

สี่เดือนก่อนหน้า ตอนที่จูฉินกลับไปเยี่ยมบ้าน เขาต้องผงะเมื่อสายลับของวังหลวงเข้ามารายงานเรื่องสำนักภูมิปัญญา จูฉินเข้าใจในทันทีว่านี่ไม่ใช่วิกฤตธรรมดาที่ราชสำนักต้องเผชิญ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป้าประสงค์ของการขยับขยายสำนักภูมิปัญญาคืออะไร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าทุกสิ่งที่มาจากมือของหวังลู่นั้นย่อมไม่ธรรมดา! และไม่ควรจะประมาทแม้แต่น้อย!

ดังนั้นเขาจึงยอมเสี่ยงถูกศิษย์น้องหญิงเยวี่ยชิงชังมากกว่าที่จะยอมให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป! เขาตั้งใจส่งรายงานไปยังสำนักโดยหวังว่าอาจารย์ของเขารวมถึงผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะเข้ามาแทรกแซงและยุบสำนักภูมิปัญญาไปเสีย เพื่อคลี่คลายวิกฤตตำแหน่งผู้นำของประเทศต้าหมิงที่ตีขนาบเข้ามา ทว่าใครจะรู้… แม้แต่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามก็ไม่อาจหยุดหวังลู่ได้! ภายหลังเขายังได้รู้อีกว่าสำนักภูมิปัญญาได้กลายสภาพเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนไปแล้ว จูฉินแทบกระอักเลือดเมื่อได้รู้ข่าวนั้น!

ความยุติธรรมเฮงซวยอะไรนั่นยังมีเหลืออยู่บนโลกนี้อีกไหมนะ แม้แต่พันธมิตรหมื่นเซียนบางครั้งก็ยังเลือกเดินทางสายมาร!พวกเขาสามารถซื้อได้ด้วยเงินสองล้านศิลาวิญญาณ!? คุณธรรมของคนพวกนั้นช่างราคาถูกนัก!

ทว่าก่อนหน้านี้ เพื่อแลกกับความคุ้มครอง ประเทศต้าหมิงจ่ายให้พันธมิตรหมื่นเซียนไปเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญศิลาวิญญาณ แม้เหมืองศิลาวิญญาณของพวกเขาจะมีมากมาย แต่ความสามารถในการทำเหมืองกลับน้อยนิด จูฉินจึงไม่อาจร้องทุกข์ในเรื่องนี้ได้ หลังจากนั้น เขายังส่งรายงานไปยังหน่วยงานระดับสูงที่เกี่ยวข้องในพันธมิตรหมื่นเซียน แต่ก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ลงทะเบียนสำนักเพื่อเป็นสมาชิกของพันธมิตรยังกล้าที่จะรับสินบน คนเหล่านั้นย่อมสามารถสกัดรายงานจากพวกปลาซิวปลาสร้อยได้อยู่แล้ว

ตลอดสี่เดือนนั้น สำนักภูมิปัญญาด้านหนึ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน อีกด้านรวมหัวกับวิหารประทีปเพื่อฉวยโอกาสแทรกซึมเข้าหาประชาชนทุกระดับในประเทศต้าหมิง! หลังจากนั้น สิ่งที่ทำให้เขาต้องกระอักเลือดหนักที่สุดก็คือองค์จักรพรรดิ พระบิดาของเขาตรัสถามเขาว่า “จูฉิน พ่อฝึกวิชาหกประสานของสำนักภูมิปัญญาดีไหม”

“ท่านพ่อ ท่านอย่าหลงกลให้กับลัทธินั่นเชียว! วิชาหกประสานก็แค่วิชาชั้นต่ำที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกบำเพ็ญเซียน!”

“จริงหรือ แต่ข้าเห็นหลายคนที่ฝึกวิชานี้ก็ได้ผลดีไม่น้อย”

“นั่นเพราะพวกเขาใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาร่วมด้วย ซึ่งวิชานี้ต้องใช้อายุขัยเข้าแลก!”

หลังจากที่อธิบายให้พระบิดาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว จูฉินก็อยากจะร่ำไห้ออกมาแต่ติดที่ไม่มีน้ำตาสักหยด สำนักภูมิปัญญาสามารถแทรกซึมเข้ามาถึงระดับจักรพรรดิเชียวหรือ!? เช่นนั้นหลังจากนี้ประเทศของเขายังจะอยู่ในมือคนแซ่จูหรือเปลี่ยนไปอยู่ในมือคนแซ่หวังกันแน่!?

ช้าก่อน ตรรกะนี้ไม่ได้บอกเป็นนัยๆ ว่าบิดาของเขาถูกสวมเขาเข้าให้แล้วหรือ…

อย่างไรเสีย ในตอนนั้นจูฉินตัดสินใจยับยั้งไม่ให้อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาแพร่ขยายมากไปกว่านี้! จูฉินไม่สนหากสำนักภูมิปัญญาคิดจะแผ่อำนาจในประเทศอื่นๆ ขออย่างเดียวต้องไม่ใช่ประเทศต้าหมิง! เขาเป็นถึงรัชทายาทของประเทศต้าหมิงที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความเคารพจากคนนับหมื่น ชีวิตที่หรูหราของเขาเกิดจากชาวบ้านธรรมดานับล้านๆ คน ในรัชสมัยของสกุลจู! แม้เขาต้องตัดขาดจากโลกปุถุชน แต่เขาควรยึดถือความสัมพันธ์นี้เอาไว้!

ทว่าจูฉินเพียงลำพังจะสามารถทำอะไรได้ ฝ่ายตรงข้ามคือหวังลู่ ต่อให้เขากล้าหาญกว่าที่เป็นอยู่ถึงสิบเท่า เขาก็ยังไม่กล้าทำตัวเป็นปรปักษ์กับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงจำต้องพุ่งเป้ามายังรายงานแทน

สิ่งเดียวที่จูฉินสามารถทำได้ก็คือ เขียนรายงานและเรียกร้องความเป็นธรรมจากเหล่าผู้อาวุโส!

สำหรับรายงานเล่มนี้ จูฉินลงแรงไปเยอะมากถึงขนาดที่ว่ายอมใช้เวลาสองสามเดือนสุดท้ายที่แสนมีค่าในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ไปกับมัน เขาเรียกประชุมบัณฑิตจำนวนมากเพื่อร่วมร่างรายงานนี้ไปด้วยกัน

จุดมุ่งหมายของรายงานก็คือคัดค้านการที่สำนักภูมิปัญญา เข้าแทรกแซงโลกปุถุชน ทว่ารายงานนี้ไม่อาจะเขียนอย่างตรงไปตรงมาได้ อย่างไรเสียตอนนี้สำนักภูมิปัญญาก็ได้เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนแล้ว ตอนที่อาวุโสรองและอาวุโสสามได้รับรายงานจากเขาครั้งแรก ทั้งคู่ลงไปจัดการกับปัญหานี้ ทว่าหวังลู่กลับพลิกสถานการณ์และสุดท้ายก็ได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสทั้งสอง ดังนั้นหากถ้อยคำในรายงานของเขาเถรตรงเกินไป มันจะกลายเป็นการตบหน้าผู้อาวุโสทั้งสองไปเสีย

เคราะห์ดีเหล่าบัณฑิตที่จูฉินเรียกตัวมาล้วนเก่งกาจด้านการใช้ถ้อยคำ หากโจมตีซึ่งหน้าไม่ได้ พวกเขาก็แค่เปลี่ยนมุมในการโจมตีก็เท่านั้น

เหล่าบัณฑิตของประเทศต้าหมิงต่างขบคิดอย่างหนักและตัดสินใจใช้ “การเพิ่มความแข็งแกร่งในการควบคุมดูแลและชี้แนะเรื่องอำนาจการปกครองในโลกมนุษย์ของโลกบำเพ็ญเซียน” เป็นหัวข้อของรายงาน ซึ่งแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองส่วน ส่วนแรกคือเมื่อผู้ปกครองของโลกมนุษย์ต้องเผชิญกับการแทรกแซงของผู้บำเพ็ญเซียน เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยพละกำลังที่ตนเองมี ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเขาต้องร้องขอความช่วยเหลือจากโลกบำเพ็ญเซียน ส่วนที่สองคือมุมมองจากโลกบำเพ็ญเซียน การเข้าแทรกแซงเรื่องราวต่างๆ ในโลกมนุษย์โดยตรงนั้นไม่ได้เป็นที่ปรารถนาของผู้บำเพ็ญเซียน

ทว่าโลกทั้งสองไม่อาจเป็นอิสระต่อกัน หากมีเรื่องวุ่นวายขึ้นในโลกมนุษย์ ชาวบ้านทั่วไปเป็นผู้ที่ต้องทนทุกข์ที่สุด และเมื่อผู้บำเพ็ญเซียนมีความสามารถในการแก้ไขสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจึงมีหน้าที่แบกรับความรับผิดชอบนั้น ดังนั้นโลกบำเพ็ญเซียนจึงควรควบคุมดูแลและชี้แนะเรื่องอำนาจการปกครองในโลกมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่อาจเกิดขึ้นเพราะฝีมือคนและฝีมือธรรมชาติที่จะทำให้ปุถุชนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้ ในขณะเดียวกันการควบคุมดูแลกันเองภายในโลกบำเพ็ญเซียนก็ย่อมต้องแข็งแกร่ง เพื่อไม่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนหรือสำนักเซียนเพิกเฉยต่อกฎการห้ามหาผลประโยชน์ในตัวเองผ่านการทุจริตภายในของพันธมิตรหมื่นเซียน!

รายงานนี้ไม่ใช่ทั้งปลาและไก่ ทว่าจุดมุ่งหมายของมันนั้นแจ่มชัด นั่นคือหวังว่าสำนักจะจัดการกับปัญหาซึ่งก็คือสำนักภูมิปัญญา แม้เหตุผลที่หวังลู่สามารถส่งอาวุโสรองและอาวุโสสามกลับโดยไม่ได้จัดการอะไรกับสำนักภูมิปัญญาจะยังไม่กระจ่างชัด แต่แน่นอนว่ารายงานนี้ย่อมเป็นเหตุผลให้พวกเขากลับมาสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้งแน่

แน่ล่ะว่าสำนักภูมิปัญญาของเจ้าเป็นสำนักที่ถูกต้องและไม่อาจโดนยุบได้ แต่ความประพฤติของสำนักภูมิปัญญานั้นทำให้สำนักกระบี่วิญญาณของข้า ในฐานะห้าสำนักวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียนต้องลุกขึ้นมาควบคุมและชี้แนะเสียหน่อยแล้ว!

นี่คือกลยุทธ์ที่จูฉินคิดขึ้นมาได้หลังจากเค้นสมองอย่างหนักหน่วง แม้มันจะไม่ได้หลักแหลมเป็นพิเศษ แต่หากเขาได้รายงานเรื่องนี้โดยตรงกับหอกระบี่สวรรค์ จูฉินมั่นใจว่าเรื่องนี้ย่อมได้รับการตอบสนองแน่ ไม่ว่าจะมองจากมุมใด การมีอยู่ของสำนักภูมิปัญญาก็เป็นสิ่งบาดตาทั้งนั้น และเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่อาจยินยอมให้เรื่องดำเนินไปง่ายๆ พวกเขาไม่มีเหตุผลอันใดที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

เพียงแค่… ไม่ว่าจูฉินจะคิดมารอบด้านเพียงใด เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าทันทีที่ได้พบกับหวังลู่ที่เมืองธาราวิญญาณ แผนการทั้งหมดของตนจะถูกมองทะลุได้ขนาดนี้!

“…ท่านต้องการอะไร”

ณ จุดนี้ การปฏิเสธย่อมไร้ประโยชน์ จูฉินไม่เชื่อว่าหวังลู่จะเป็นคนมีจิตเมตตา และยิ่งไม่เชื่อว่าจะตบตาหวังลู่ได้ง่ายๆ ในเมื่อถูกอ่านความคิดออกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือเตรียมตัวเตรียมใจรอรับผลที่ตามมา

ทว่าหวังลู่กลับยิ้มออกมา “ข้าต้องการอะไรรึ ข้าไม่ต้องการอะไรเลย เจ้าน่ะคิดมากเกินไปแล้ว เขียนรายงานให้ดีๆ อย่าทิ้งข้อได้เปรียบที่เป็นเอกสิทธิ์ของเจ้าไปเสียเฉยๆ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูฉินก็รู้สึกสับสนขึ้นมา นี่แปลว่าหวังลู่จะปล่อยเขาไปเฉยๆ เช่นนั้นหรือ แม้เขาจะรู้ว่าหวังลู่ไม่ใช่คนผูกพยาบาท แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนมีเมตตาเช่นกัน… หรือหวังลู่เปิดโอกาสให้เขาได้ถอยหลังกลับเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายภาคหน้า

การถอยหลังกลับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว ทว่าเมื่อคิดถึงความอุตสาหะในการเขียนรายงานเล่มนี้ จูฉินก็ไม่อาจยอมให้ตัวเองเลือกตัวเลือกนั้นได้

“ศิษย์พี่ อย่างไรเสียประเทศต้าหมิงก็คือที่ที่ข้าเกิด…”

ก่อนที่เขาจะทันได้พูดต่อ บนทางข้างหน้า พวกเขาก็เห็นนักบวชชุดสีทองวัยกลางคนกำลังขี่ลาตรงมาอย่างช้าๆ

ใบหน้าของนักบวชผู้นี้ไม่มีจุดใดโดดเด่น ส่วนลาที่เขาขี่อยู่นั้นสภาพย่ำแย่กว่ามาก นอกจากขนจะรุ่งริ่งแล้ว ทั่วทั้งร่างยังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นราวกับว่ามีใครตั้งใจเฉือนเนื้อของมันออกเป็นชิ้นๆ สายตาของลาตัวนี้สะท้อนความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน

นักบวชผู้นี้ขี่ลาไปเงียบๆ ผ่านหน้าพวกเขาโดยไม่ได้ปรายตามองมาสักนิด

จนเมื่อร่างของคนทั้งคู่จะเลี้ยวพ้นหัวมุม ในที่สุดนักบวชคนดังกล่าวก็หันหน้ากลับมามองหวังลู่

จากนั้นก็พูดด้วยเสียงกดต่ำ “เห็นไหม พวกเจ้าทั้งคู่ต่างก็ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่เขาฉลาดกว่าเจ้าเป็นร้อยๆ เท่า”

เจ้าลาร้องออกมาอย่างฉุนเฉียวและปวดร้าว ฟังดูแสบหูยิ่งนักในเมืองเล็กๆ แห่งนี้

…………………………………..