โม่เทียนเกอได้ยินเสียงลมจากภายในรถ นางยืนนิ่งไม่ไหวติงและก้มหัวในท่าทางที่สำรวม
มารยาทที่ใช้สำหรับพบปะผู้อาวุโสเช่นนี้ เยี่ยจิ่งเหวินเองก็ฝึกมาอย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน เพราะอย่างนั้นเขาจึงแสดงท่าทางออกมาได้ดีกว่าโม่เทียนเกอเสียอีก
ทั้งสองคนเกือบจะเหมือนรูปปั้นที่แสดงท่าทางให้เห็นว่า “ศิษย์ที่ดีและเชื่อฟัง” ควรจะเป็นอย่างไรได้อย่างไร้ที่ติ
ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองพวกเขาอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้มีทีท่าว่าจะเริ่มสารภาพ เขาจึงแค่หยิบถ้วยชาร้อนออกมาช้าๆ อย่างยั่วโมโห อีกอย่าง มันน่าแปลกใจเสียจริงว่าเขาไปเอาชามาจากไหนในรถเมฆบินได้นี้
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินเงียบสนิท ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ยิ่งเงียบกว่า ภายในรถเมฆไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินนอกจากเสียงประมุขเต๋าจิ้งเหอดื่มชาร้อนจี๋ถ้วยนั้น
เมื่อเขาดื่มชาจนเสร็จในที่สุด ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจอย่างพอใจและโยนถ้วยออกจากรถไป
ความคิดวาบผ่านจิตใจของโม่เทียนเกอในทันใด ถ้าเกิดมีผู้ฝึกตนอยู่ด้านล่างพวกเขา กะโหลกของเขาจะไม่แตกรึเมื่อเขาโดนถ้วยนั้นตกใส่? อย่างไรก็ตาม นางได้ยินเสียงประมุขเต๋าจิ้งเหอในวินาทีต่อมา ดังนั้นนางจึงรีบดึงสติกลับมาจากภวังค์ทันที
“ข้าสงสัย—” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอนหลังอยู่ในเก้าอี้ของเขา จ้องมองทั้งสองคนด้วยสายตาที่ไม่ได้อบอุ่นและก็ไม่ได้เย็นชา “เจ้าคิดว่าประมุขคนนี้เป็นคนที่พวกเจ้าสามารถหลอกได้ตามใจชอบจริงๆ อย่างนั้นรึ?”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ปล่อยแรงกดดันพลังวิญญาณของเขาออกมา แต่หยดเหงื่อเย็นเยียบก็ยังไหลลงมาจากหน้าผากของเยี่ยจิ่งเหวิน เขาลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น “ศิษย์มันไร้ค่า ท่านปรมาจารย์โปรดอภัยให้ศิษย์ด้วย”
จิตใจของโม่เทียนเกอยังคงเต็มไปด้วยคำพูด “ศิษย์คนสุดท้าย” ตอนก่อนหน้านี้ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางยังคงจัดระเบียบความคิดบ้าคลั่งอย่างวุ่นวาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อนางเห็นการตอบสนองของเยี่ยจิ่งเหวิน นางก็รีบดึงสติทันที กัดฟันและคุกเข่าลงกับพื้นตามเขา
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ ไม่นานหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม จู่ๆ เขาก็ตะคอกใส่คนทั้งสองที่นั่งคุกเข่าอยู่ “ไอ้พวกสารเลว! พวกแกคิดว่าประมุขคนนี้ไม่รู้อะไรเลยงั้นรึ?! พวกแกช่างกล้านัก! ลืมเรื่องฆ่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดในคราวเดียวไปก่อนเลย พวกแกถึงขนาดหวังพึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดของโรงเรียนให้ช่วยแก้ปัญหานี้แล้วยังวางแผนจะได้ผลประโยชน์จากข้า ปรมาจารย์ของพวกแกอีกงั้นเรอะ!”
ขณะที่เขาคำรามอย่างเดือดดาล แรงกดดันพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ได้เล็ดลอดออกมา ทันทีที่แรงกดดันพลังวิญญาณนั้นมาถึงตัวนาง โม่เทียนเกอผู้ที่ยังคงรู้สึกค่อนข้างลังเลในใจ กลับรู้สึกเหมือนกับนางไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียวทันที ราวกับร่างกายของนางถูกตรึงอยู่ที่พื้นอย่างแน่นหนา หน้าผากของนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ นางรู้สึกพลังวิญญาณในร่างกายของนางกำลังเคลื่อนไปอย่างคลุ้มคลั่ง ควบคุมไม่ได้โดยสิ้นเชิง ชั่วขณะต่อมา อย่างไรก็ตาม นางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอีกครั้งในเสียงที่อ่อนโยนลง “แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ยังเป็นศิษย์ของข้า เจ้าปล่อยให้คนอื่นมารังแกตามอำเภอใจได้อย่างไร?” น้ำเสียงที่เขาใช้ที่จริงแล้วมีความพึงพอใจและภูมิใจ
โม่เทียนเกอตะลึงงัน นี่มัน… เรื่องตลกอะไรเนี่ย? ถึงแม้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจะเป็นคนทะนงตน แต่นางก็คาดว่าเขายังจะตำหนิพวกเขาต่อหน้าสาธารณชนก่อนที่จะให้รางวัลกับพวกเขา นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้
เยี่ยจิ่งเหวินได้สติกลับมาก่อน เขารีบพูดทันที “ท่านปรมาจารย์พูดถูกแล้วขอรับ! ศิษย์เห็นด้วย ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนพวกนั้นมันหน้าด้านจริงๆ! เราจะปล่อยให้มันเหยียบย่ำเราได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เพราะเราไม่อาจปล่อยให้ตาแก่พวกนั้นจากสำนักกู่เจี้ยนมาทำลายชื่อเสียงของท่านปรมาจารย์ได้ เราจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มและแต่งเรื่องขอรับ”
คำพูดของเขาทำให้โม่เทียนเกอเหงื่อแตกอีกรอบ นางเพิ่งตระหนักว่าพี่ใหญ่เยี่ยของนางค่อนข้างพูดมาก แต่นางไม่รู้เลยว่าเขายังสามารถพ่นคำหวานจอมปลอมพวกนี้ออกมาได้ ไม่เพียงแต่เขาจะซุกซ่อนความผิดพลาดของพวกเขา แต่เขายังทำให้มันฟังดูเหมือนว่าพวกเขาทำไปเพื่อเห็นแก่ท่านปรมาจารย์!
ถึงอย่างนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ดูเหมือนเขาจะกำลังเพลิดเพลิน เขาหัวเราะพร้อมกับลูบหนวดสั้นๆ ของเขา “ไม่เลว! ไม่เลวเลย! ไอ้หนู เจ้าฉลาดใช้ได้! ปรมาจารย์รู้ว่าคำพูดของเจ้าไม่จริงใจ แต่ในเมื่อเจ้าดูน่ามอง ข้าก็จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีก!”
เยี่ยจิ่งเหวินถอนหายใจโล่งอกและโม่เทียนเกอก็รู้สึกร่างกายของนางผ่อนคลายขึ้นในทันที ตอนนี้พวกเขาถือว่าได้จัดการกับเรื่องนี้แล้ว
“แต่…”
ทั้งสองคนตัวสั่นขึ้นมาทันที พวกเขามองประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่ยากจะหยั่งถึง “ถึงแม้ว่าการกระทำของเจ้าจะถูกจริตข้ามาก แต่พวกเจ้ากล้าบ้าบิ่นเกินไป! เพื่อกันไม่ให้คนอื่นๆ เอาไปพูดกัน เจ้าทั้งสองจะต้องอยู่ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิสิบปีนับจากวันนี้เป็นต้นไป ภายในสิบปีนั้น เจ้าห้ามออกมานอกเสียจากว่ามีคำสั่ง! เข้าใจไหม?!”
ห้ามออกจากเขาในอีกสิบปีข้างหน้า… หมายความว่าพวกเขาถูกรับมาอยู่ใต้ปีกของปรมาจารย์จิ้งเหอ ดังนั้นจะไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา ปรมาจารย์จิ้งเหอกำลังจงใจไม่เอาผิดพวกเขา! ทั้งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินดีใจ พวกเขาเหลือบมองกันจากนั้นก้มหัวลงที่พื้นพร้อมกันด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์มากเจ้าค่ะ/ขอรับ”
“อือ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหลับตา แต่ไม่ช้าเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกและมองโม่เทียนเกอ “เจ้ายังเรียกข้าว่า ‘ปรมาจารย์’ ไปเพื่ออะไรเล่า?”
โม่เทียนเกอตะลึง ชั่วครู่หนึ่งที่นางพูดไม่ออก เรียกเขาว่า “ปรมาจารย์” แล้วผิดตรงไหน?
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งเสียงฮึ่ม “เจ้าคิดว่าคำที่ข้าพูดเป็นเพียงผายลมหรือไร ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าเช่นนั้น”
“หา?” ครั้งนี้จิตใจของโม่เทียนเกอว่างเปล่า นางคาดว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอเพียงพูดแบบนั้นไปเพื่อให้คนที่ยืนมองเหตุการณ์ได้ยินเฉยๆ ที่จริงแล้วเขามองนางในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของเขาอย่างแท้จริงงั้นหรือ
“เจ้าจะ ‘หา’ อะไรกัน?!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องนาง น้ำเสียงของเขาน่ากลัว “หรือเจ้าไม่อยากเป็นศิษย์ของประมุขผู้นี้!”
โม่เทียนเกอทำได้เพียงกะพริบตา ก่อนที่นางจะรู้ตัว เยี่ยจิ่งเหวินเอาศอกกระทุ้งนางและกระซิบบอก “เจ้าจะมึนงงอะไรเล่า รีบคุกเข่าคำนับสิ!”
โม่เทียนเกอคุกเข่าคำนับอย่างตื่นตระหนก “ศิษย์… ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์!” เกิดอะไรขึ้นกับนางกันนะ? ตามหลักเหตุผลแล้ว นางที่เคยเจอเทพผู้ฝึกตนมาก่อนก็ไม่ควรจะกลัวท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ แต่อนิจจา มันยังคงยากสำหรับนางอยู่ดีที่จะชินกับวิธีรับมือเรื่องต่างๆ ของปรมาจารย์ท่านนี้…
“อืม…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าด้วยความพอใจ “ต้องอย่างนี้สิ! วันนี้อาจารย์ไม่มีอารมณ์ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีพิธีบูชาอาจารย์กัน เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ…” นางกล้าค้านงั้นรึ สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังที่ไม่มีพื้นเพอะไรถูกรับเข้ามาโดยผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของเขา นั่นถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังต้องแย่งชิงและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับเกียรติเช่นนั้น แล้วนางจะอาจหาญไปคัดค้านอะไร? นางแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อย ท้ายที่สุดแล้วปรมาจารย์ท่านนี้ก็มีอารมณ์แปลกๆ และไม่ง่ายนักที่จะเข้ากับเขาได้
จิตใจของโม่เทียนเกอยังว้าวุ่น แต่ก่อนที่นางจะเข้าใจได้ถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น นางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอที่ยังคงหลับตาอยู่ส่งเสียงฮึ่มออกมาอย่างเย็นชา โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินตัวสั่นเทิ้นทันที ทั้งคู่รู้สึกถึงแรงกดดันของพลังวิญญาณที่น่ากลัว
โม่เทียนเกอเป็นผู้ฝึกตนที่มีประสบการณ์ เมื่อแรงกดดันพลังวิญญาณนี้ปรากฏขึ้น นางรู้ว่ามันเป็นแรงกดดันพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ มีผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่อีกคนโผล่มางั้นหรือ?
ขณะนั้นเอง มุมปากของประมุขเต๋าจิ้งเหอเผยอขึ้น เขายิ้มเยาะและพูดว่า “เจ้าอยากกดดันข้าด้วยทักษะแค่นี้น่ะรึ”
ด้วยการโบกแขนเสื้อพริ้วไหวของเขา มนตร์เบาบางปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ปกคลุมและปกป้องรถเมฆอย่างแน่นหนา จากนั้นเขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดแรงเคลื่อนไหวที่น่าพิศวง
ภายในรถ โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินผู้ที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งคู่อยู่ใกล้กับประมุขเต๋าจิ้งเหอมาก เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอทำท่านั้น ทั้งสองคนก็กระอักเลือดออกมาทันทีและหมดสติไป
ประมุขเต๋าจิ้งเหอนิ่วหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอศัตรูขณะที่เขาอยู่ในรถเมฆกับคนอื่น เขาจึงมองข้ามมุมนี้ไป
เขาบ่นอย่างอารมณ์เสีย “ไร้ประโยชน์จริงๆ”
ทันทีหลังจากนั้นเขาหยุดรถเมฆ ยกม่านสีทองขึ้นและก้าวออกจากรถ