บัญชามังกรเดือด บทที่ 867 อุ้มภรรยาเข้าเขา
ตรงกันข้ามกับความตื่นเต้นและความคาดหวังของฝูงชน ใบหน้าของฉินเทียนหาได้มีร่องรอยของความสุขไม่
นัยน์ตาของเขาราวกับมีลูกบอลแห่งความโกรธเกรี้ยวสองลูกก่อตัวยู่และค่อย ๆ เผาไหม้อย่างช้าๆ
ด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งนั้น ฉินเทียนเพียงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว!”
“ฉันไม่ต้องการเป็นนายน้อยของพวกเจ้าและฉันจะไม่ทำด้วย!”
“ทุกอย่างในอดีต ถูกเปิดเผยในวันนี้แล้ว และอย่ามาคิดรบกวนข้าในอนาคตข้างหน้าอีก!”
ขณะที่ฉินเทียนพูดจบ เขาก็จับมือของซูซูและเดินออกไปที่ประตูอีกบานหนึ่งในทันที
ทุกคนในที่เกิดเหตุ รวมไปถึงราชาจินตูนที่แขนขาดและเถียหยิงนั้น ต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทรัพย์สินและมรดกมากมายของตระกูลฉินนั้น หาได้มีค่าในสายตาของฉินเทียนไม่
จี้ซิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน หลังจากที่เขาได้สติกลับมา พลางร้องตะโกนออกมาว่า “พี่เทียน รอฉันด้วย” และรีบวิ่งไล่ตามเขาไปในทันที
ผู้คนที่เหลืออยู่นั้น เมื่อนึกถึงเมื่อวานที่ฉินเทียนกระทำการสังหารเหล่าองครักษ์สีเงินและราชาหยินจ๋าลงไป จึงไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปขัดขวางในทันที
เมื่อเห็นฉินเทียนและซูซูกำลังเดินไปที่ประตู
ข้างหลังของเขาพลันมีเสียงตะโกนออกมาว่า
“นายน้อย ได้โปรดรอเดี๋ยวขอรับ!”
“ชายชราผู้นี้มีอะไรอยากจะพูดกับท่าน!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ฉินเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
เขาเห็นเป็นชายชราผมหงอกวิ่งมาจากทางอื่นด้วยความตื่นตระหนกไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นเต้นหรือเป็นเพราะเขาวิ่งเร็วเกินไปใบหน้าของเขาจึงเกิดอาการแดงก่ำและหอบหายใจถี่
เมื่อเห็นชายชราผู้นั้น ฉินเทียนก็ได้แต่ขมวดคิ้วลง
เป็นราชาถงจิ่ง
ชายชราพลันหอบเหนื่อยและวิ่งไปหาฉินเทียนเมื่อสงบสติได้แล้วนั้น เขาพลันโค้งกายคำนับและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ถงจิ่งเข้าพบนายน้อยขอรับ!”
ฉินเทียนเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ผู้เฒ่าถง เป็นเพราะคุณเคยใจดีมีเมตตากับฉันมาก่อน ดังนั้นฉันจะเห็นแก่หน้าคุณ”
“อย่างไรก็ตาม อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับการเข้าวังตะวันออกและการเป็นผู้สืบทอดอีก”
“หากท่านผู้เฒ่าต้องการเกลี้ยกล่อมฉันละก็มิตรภาพก็ขาดจากกันเสีย”
ถงจิ่งแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่เธอคาดเดาการตัดสินใจของคุณได้แล้วขอรับ”
“ข้าน้อยมาที่นี่ เพียงเพื่อส่งข้อความถึงนายน้อยตามคำร้องขอของนายหญิงใหญ่เท่านั้น”
ใบหน้าของฉินเทียนพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ว่ามา”
ราชาถงจิ่งพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะพูดเสียงดังออกมา “นายหญิงใหญ่กล่าวว่า เนื่องจากนายน้อยเกิดมาในฐานะลูกหลานของตระกูลฉินสายเก่าดังนั้นสายเลือดและเลือดเนื้อในกระดูกของท่าน อย่างไรย่อมเป็นคนของตระกูลฉิน ดังนั้นตำแหน่งท่านผู้นำตระกูลย่อมต้องเป็นของท่านไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี ”
“นายหญิงใหญ่ยังกล่าวอีกว่า หากในตอนนี้ นายน้อยไม่ต้องการอาศัยอยู่ในวังตะวันออกนั้น นายน้อยสามารถไปอยู่ที่เมืองฉินเฉิงได้”
“อย่างไรก็ตาม นายหญิงใหญ่ยังคงคิดที่จะฟื้นฟูวังตะวันออกให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนเมื่อครั้งที่ท่านเคยอาศัยอยู่ที่นั่น”
“ทั่วทั้งวังตะวันออกนั้น จะเว้นวางเอาไว้รอให้นายน้อยเป็นคนมาจัดการ!”
ฉินเทียนพลันกัดฟันกรอด นายหญิงใหญ่ของตระกูลจะดื้อรั้นขนาดนี้
นั่นเป็นเพราะนางไม่มีหน้ามาเจอเขา เนื่องจากในครานี้ เขากรทะการตบหน้านางต่อหน้าทุกคนภายในตระกูลแนอย่างรุนแรง
“นายน้อยขอรับ อันที่จริงแล้ว หลายปีที่ผ่านมานี้ นายหญิงใหญ่เองก็ลำบากมาก…”
ถงจิ่งคิดว่าฉินเทียนกำลังลังเลใจ จึงได้คิดที่จะยายามเกลี้ยกล่อมเขา
“ไม่ต้องพูดแล้ว!”
“ผู้เฒ่าถง หากท่านยังแกความสัมพันธ์ของเราในกาลก่อน ก็ไปจัดเตรียมรถให้ข้าเสีย!”
“ข้าจะไปสถานที่หนึ่ง”
พูดจบฉินเทียนาได้รั้งรอไม่
ถงจิ่งพลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยเสียงดังออกมา “ขอรับ!”
“เร็วเข้า รีบไปเตรียมรถให้นายน้อย!”
เมื่อเห็นถงจิ่งตามไปนั้น ทั้งจินตุนและเถี่ยหยิง พร้อมด้วยแกนนำอีกเกือบร้อยคนของตระกูลฉินสายเก่า พลันมีสีหน้าตื่นตระหนกไปในทันที
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไปนัก
ในไม่ช้า ด้านนอกจวนตระกูลฉินก็พลันมีรถเบนซ์สีดำคันใหม่จอดรออยู่ก่อนแล้ว
“นายน้อยจะไปไหนขอรับ ให้ข้าเป็นคนขับจะดีกว่า!”
เถี่ยหยิงเอ่ยอาสาออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็น” ฉินเทียนปฏิเสธเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะหันไปพูดกับจี้ซิงว่า “น้องชาย ลำบากเจ้าแล้ว”
“ครับ!”
จี้ซิงพลันเข้าไปในรถอย่างตื่นเต้นเหตุการณ์วันนี้นั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ตัวเอก แต่เขาก็คิดว่าเรื่องราวที่พบเจอมันยิ่งใหญ่มากเช่นกัน!
มีผู้คนที่ทรงพลังมากมายในตระกูลสายเก่านั้น ในยามนี้พวกเขากลับต้องมาเดินติดตามเหมือนกับลูกหลานอยู่ต้อย ๆ
นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดไม่ถึงมาก่อนเช่นกัน
ถงจิ่งพลันเปิดประตูด้านหลังเป็นการส่วนตัว ก่อนที่ฉินเทียนจะช่วยพยุงซูซูเข้าไปในรถอย่างระมัดระวัง
เมื่อประตูกำลังจะปิดลง ถงจิ่งที่นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะพูดออกด้วยเสียงต่ำว่า “นายน้อย อันที่จริงแล้ว นายท่านเองก็ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย ”
พูดจบ สีหน้าของฉินเทียนพลันเปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะรีบปิดประตูใส่
เมื่อรถสตาร์ทออกไปนั้น
ภายในรถ ซูซูอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “สามี นายท่านที่ชายชราพูดคือใครงั้นหรือ?”
“หรืออาจจะเป็น-”
ทันใดนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของฉินเทียนมืดมนและน่ากลัวยิ่งรัก เสมือนเขารังเกียจคนผู้นั้นเป็นอย่างมาก เธอจึงพลิกลิ้นมิคิดสนใจถามอะไรออกมาอีก
ซูซูในตอนนี้ เธอพอจะเข้าใจแล้วว่า ฉินเทียนเคยถูกเมินเฉยและไม่มีผู้ใดแยแสภายในครอบครัวใหญ่แห่งนี้ดังนั้นซูซูจึงได้โอบแขนของเธอไว้รอบแขนของฉินเทียน ก่อนจะเอนตัวเข้าไปใกล้เขาและเอียงศีรษะของเธอพิงบนไหล่ของเขา
ผู้ชายคนนี้ ในอนาคตข้างหน้าเธอจะดูแลเขาเอง !
เมื่อเทียบกับในยามปกติแล้ว ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างแตกต่างออกไปเล็กน้อย
ท้องถนนดูกว้างและอ้างว้าง
จี้ซิงเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะขับรถออกนอกเมืองไปตามที่ฉินเทียนกำกับ ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงเชิงเขาแห่งหนึ่งในทันที
เมื่อมองไปที่ตีนเขานั้น ก็พลันเห็นนักบวชลัทธิเต๋าที่ลงมาเล่นที่เชิงเขามากมาย ทำให้ซูซูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สามี คุณอยากจะถามทางงั้นหรือ?”
ฉินเทียนพลันแสดงสีหน้าออกมาด้วยความเรื่องซับซ้อน เขาพลันเกิดความลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบว่า “ฉันจะพาเธอไปพบใครบางคน”
ฉินเทียนพลันจับมือซูซูเอาไว้และเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อปีนขึ้นบันไดและเดินไปสักพัก ซูซูพลันเกิดอาการหายใจไม่ออก ฉินเทียนจึงอุ้มเธอขึ้นมาโดยตรง
“ไม่เอานะ!”
“กลางวันแสก ๆ แบบนี้ มีคนกำลังดูอยู่” ซูซูพูดอย่างอาย ๆ ออกมา
ทั้งซ้ายและขวามีนักท่องเที่ยวและนักบวชลัทธิเต๋าจำนวนมากมายกำลังจ้องมองมาที่พวกเขา
ทว่า เมื่อฉินเทียนหันไปมองดูพวกเขานั้น พวกเขาทั้งหมดเพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ใจดี
ฉินเทียนจึงพูดออกมาด้วยท่าทีฮึดฮัดว่า
“คนทั้งโลกไม่มีสิทธิ์เถียงนะ!”
แขนแกร่ง พร้อมกับย่างก้าวที่มั่นคง!
ทีละก้าว ทีละขั้นบันไดนั้น ในความคิดของฉินเทียนคือบททดสอบ
ในตอนนี้ ท่าทางของเขาพลันเคร่ง เสมือนกับมาทำการแสวงบุญที่แท้จริง
บันไดขึ้นเขามีถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น เมื่อเดินขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วนั้น เขาพลันมองไปรอบ ๆ ต้นสนต้นใหญ่และก้อนหินสีเขียว ภายในวัดเต๋าอันเงียบสงบ ในสายตาของเขานั้น พลันปรากฏความขี้ขลาดออกมาเล็กน้อย
เนื่องจากด้านบนที่นี่เป็นที่ราบแล้ว ซูซูจึงลงเดินเองได้เธอรู้สึกถึงอารมณ์ของ ฉินเทียนที่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนมาสงบนิ่งในทันที
เธอจึงจับไปที่แขนของฉินเทียนอย่างเงียบ ๆ ราวกับให้กำลังใจและสนับสนุนเขาอยู่ข้าง ๆ
ทั้งคู่เดินไปที่ภูเขาด้านหลัง
ด้านหลังภูเขานั้น เป็นป่าสน.
เมื่อเดินเข้าไปในป่าสนก็จะพบกับพื้นที่โล่งที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้ป่า และมีหลุมฝังศพอยู่ตรงหน้า
ด้านบนป้ายมีหกคำที่สลักไว้บนหลุมฝังศพว่า : อาลัยรักหลานจือที่สุด
“หลานจือ…”
ซูซูพลันเห็นดวงตาทั้งสองข้างของฉินเทียนแดงก่ำ ก่อนที่จะอดกระซิบถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “เธอคือแม่ของคุณหรือ?”
ฉินเทียนพยักหน้าและเดินไปที่หลุมฝังศพทีละก้าวด้วยความเศร้าโศก ความเจ็บปวดภายในใจและแรงปรารถนาที่เขาไม่สามารถอดกลั้นต่อไปได้อีก
ฉินเทียนพลันคุกเข่าลงทั้งสองข้าง ก่อนจะพูดทั้งน้ำตาว่า “แม่ครับ ผมมาหาแม่แล้วนะ”
“เทียนเอ๋อร์คนนี้ มาหาแม่แล้วนะครับ!”
พูดจบ เสมือนกับอารมณ์ของเขาพลันตีกันไปมาอยู่ภายในใจ ฉินเทียนพลันยื่นมือออกไปแตะป้ายหลุมศพ ก่อนจะ ร้องไห้ออกมา
ดวงตาของซูซูที่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเช่นกันนั้น ค่อยๆคุกเข่าลงข้างฉินเทียนและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่สามีคะ ฉันชื่อซูซูค่ะ”
“ฉันเป็นลูกสะใภ้ของคุณค่ะ”
“วันนี้ ทั้งฉันกับลูกในท้องของฉัน พาฉินเทียนมาพบกับคุณแม่นะคะ ”