บทที่ 868 พ่อลูก

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 868 พ่อลูก

เมื่อเห็นฉากที่อยู่ตรงหน้านั้น จี้ซิงที่คอยมาดูอยู่ในระยะไกลก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก

เพราะเขาเอง ก็นึกถึงพ่อแม่ของเขาเหมือนกัน

นายน้อยของตระกูลจี้ที่เป็นหงส์เป็นมังกรท่ามกลางผู้คนนั้น เขาที่เป็นคนมองโลกในแง่ดีและหัวเราะตลกขบขันโดยธรรมชาติ แต่ภายในใจใครจะรู้เล่า ว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตลงตั้งแต่เขายังแบเบาะ นั่นจึงทำให้เขามีเหงาภายในใจ?

เพราะมองโลกในแง่ดี หรือเป็นเพราะเขาต้องใช้ท่าทีที่ร่าเริงของเขามาต่อสู้กับความเหงาภายในใจกันแน่?

ทว่า เขายังโชคดีกว่าฉินเทียนนักเพราะในผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลจี้ ตั้งแต่เล็กจนโตเขาได้รับการประคบประหงมมาโดยตลอด นั่นจึงช่วยลดความรู้สึกอ้างว้างของการไม่มีพ่อแม่ในใจของเขาเจือจางลงไปได้ในระดับหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่นานจี้ซิงพลันเช็ดน้ำตาและเดินไปคุกเข่าลงบนพื้นและโค้งคำนับด้วยความเคารพสองสามครั้งในฐานะลูกหลาน ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำว่า “พี่เทียน ฉันเชื่อว่าวิญญาณของคุณป้าที่อยู่บนฟ้า เธอจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ ที่พี่เติบโตมาได้เป็นอย่างดีแบบนี้”

“พี่อย่าเศร้าไปเลย ยังไงสะ พี่ก็ยังมีพี่สะใภ้อยู่นะ”

ตอนนั้นเองฉินเทียนจึงกล้ำกลืนฝืนความเศร้าโศกของเขาเอาไว้ได้ ถ้าหากไม่มีซูซูอยู่ข้างกายเขาละก็ เขาอยากจะอยู่ที่นี่และร้องไห้เป็นเวลาสามวันสามคืนจริงๆ เลย

ความคับข้องใจและความปรารถนาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น บีบกลั่นให้กลายเป็นน้ำตา

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป เขายังมีภรรยาและลูกในท้องของเขา เขาคือที่พึ่งของพวกเขา ดังนั้นเขาไม่สามารถอ่อนแอได้

จากสถานการณ์ปัจจุบันของซูซูในตอนนี้ เธอไม่ควรตกอยู่ในความเศร้ามากเกินไป

ฉินเทียนพลันปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะลุกขึ้นทำความเคารพอย่างเคร่งขรึมถึงสองสามครั้ง จากนั้นจึงคอยพยุงซูซูลุกขึ้นมา

ห่างจากหลุมฝังศพประมาณสิบเมตรมีบ้านไม้หลังเล็กๆ อยู่ตรงนั้น ฉินเทียนจำสิ่งที่ฉินเปียวพูดในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงจับมือของซูซูและเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

เมื่อผลักประตูบ้านไม้ออกไปนั้น ราวกับว่าเขาได้ย้อนเวลากลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง

การตกแต่งภายในที่เรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน

ฉิรเทียนยังคงเห็นโต๊ะและเก้าอี้ที่คุ้นเคย โดยเฉพาะสินสอดทองหมั้นบนโต๊ะและรูปถ่ายกลางโต๊ะเครื่องแป้งที่มีผู้หญิงยิ้มน่ารักอยู่

ฉินเทียนพลันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และอดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง

“แม่!”

ฉินเทียนพลันเดินโซเซเข้าไปหา

ซูซูก็เดินเข้าไปดูด้วยเช่นกัน ก่อนจะจ้องมองดูรูปถ่ายอย่างเงียบ ๆ ราวกับตกอยู่ในภวังค์ คล้ายกับว่าเธอและผู้หญิงในภาพกำลังสื่อถึงกันก็ไม่ปาน

“ตอนนี้ฉันกำลังคิดอยู่ว่าผู้หญิงแบบไหนกัน ที่คู่ควรกับชื่อที่สวยงามอย่าง ‘หลานจือ’…”

“ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจแล้ว”

“ทั้งสวยงามและฉลาดเฉลียว มีเสน่ห์โดยธรรมชาติ แม่สามีของฉันสมควรเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกจริงๆ”

“เธออายุเท่าไหร่เหรอคะ ในตอนที่ถ่ายรูปนี้ เธอดูเด็กมากเลย!”

แม้แต่เธอที่เป็นผู้หญิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกผู้หญิงในรูปดึงดูดความสนใจ

ฉินเทียนพลันถือรูปถ่ายเอาไว้ในมือ ก่อนจะพูดทั้งน้ำตาว่า “แม่น่าจะเพิ่งอายุสิบเก้าปีตอนที่แต่งเข้ากับตระกูลฉิน”

“หลังจากที่แม่คลอดฉันออกมาได้สามปี สามปีให้หลังเธอก็ล้มหมอนนอนเสื่อและจากฉันไปในอีกสามปีต่อมา”

“นับรวม ๆ แล้ว แม่น่าอายุแค่ยี่สิบห้าปีเอง”

“รูปนี้น่าจะถ่ายตอนที่เธอท้องฉันอยู่ ”

สำหรับผู้หญิงที่ดีและสวยงามเช่นนี้ เสียดายความงดงามของเธอที่ไม่ได้เผยออกไปให้โลกภายนอกได้เห็นจัง

“ที่นี่สะอาดมาก ในเมื่อคุณไม่อยู่ที่นี่แล้ว แล้วใครเป็นคนทำความสะอาดเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว พ่อของคุณอยู่ที่ไหนเหรอคะ?” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูซูพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนที่จะเอ่ยถามออกไป

ฉินเทียนจากตระกูลมานานหลายปีแล้ว แต่ทุกอย่างที่นี่ยังดูดีเหมือนใหม่ รวมไปถึงด้านหน้าของหลุมฝังศพในตอนนี้ ที่มันยังสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งยังมีดอกไม้ป่าที่อยู่รอบๆ ก็ดูเหมือนจะตั้งใจรอคอยต้อนรับเขา

เห็นได้ชัดว่า มีคนทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความพิถีพิถัน

ใบหน้าของฉินเทียนพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาพลันเผยอารมณ์ที่สับสนปนกันขึ้นมา เสมือนว่า เขาไม่เต็มใจที่จะพูดถึงบางสิ่งบางอย่าง พูดให้ถูกก็คือ เขาไม่เต็มใจที่จะพูดถึงคน ๆ นั้น

“ไปกันเถอะ.”

พูดจบ ฉินเทียนพลันดึงมือของซูซูหันกายออกไปในทันที

ทว่า ยามที่เขาหันกลับมานั้น ฉินเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงออกมา

ที่ประตูบ้านไม้มีชายวัยกลางคนยืนอยู่ ต้องบอกว่าเป็นชายวัยกลางคน หากแต่ห่างตาของเขาพลันปรากฏรอยตีนกาออกมาให้เห็น

อย่างไรก็ตาม ออร่าความสูงส่งที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขาไม่อาจปิดมิด ถึงแม้ชายวัยกลางคนจะสวมเสื้อคลุมเต๋า แต่ก็ยากที่จะซ่อนออร่าที่ทรงอำนาจออกมาได้

เปลือกตาของฉินเทียนพลันกระตุกอย่างรุนแรง และใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ มืดมนลง

ชายวัยกลางดูจะประหม่าไปในทันที พลางมองมาที่ฉินเทียนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต้อนรับออกมาว่า “มาแล้ว”

ฉินเทียนพลันส่งเสียงฮึดฮัดออกมาและหันหน้าหนี

เมื่อซูซูแอบชำเลืองมองชายวัยกลางคนตรงหน้าอีกครั้ง ในตอนนี้ เธอมั่นใจได้แล้วว่า

พวกเขาเป็นพ่อลูกกัน!

คล้ายกันมาก!

เธอยังเจอกับฉินเปียวมาก่อน ในตอนนั้นเธอยังคิดอยู่เลยว่า สองพี่น้องฉินเทียนและฉินเปียวมีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีใครจะมาสามารถเปรียบเทียบกับพ่อของพวกเขาได้เลย?

ฉินเทียนได้รับความสง่างามมากจากคนเป็นพ่อ ส่วนฉินเปียวนั้นได้รับพลังส่วนดุดันมาจากเขา ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างหน้าเธอนั้น ต่างก็มีความหล่อเหลาและฉายแววมีเสน่ห์ออกมา แม้ในวัยเช่นนี้ เขาก็ยังคงมีเผยท่าทีโดดเด่นออกมาให้เห็น ไม่รู้ว่า ยามที่เขาอยู่ในช่วยวัยหนุ่มนั้น จะมีสาวงามมากมายมาหลงรักเขามากขนาดไหน…

ไม่น่าแปลกใจที่ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมอย่างแม่สามีของเธอจะยอมแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจ

ซูซูท่องประโยคอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ เพื่อขจัดความลำบากใจระหว่างพวกเขา เธอพลันฝืนยิ้มและเอ่ยออกมาว่า “สวัสดีค่ะ”

“ฉันชื่อซูซู”

ฉินฉีเพียงแย้มยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “ฉันรู้จักเธอ”

“เธอดีมาก ขอบคุณที่มาปรากฏในโลกของเทียนเอ๋อร์นะ”

“ตอนนี้ เธอสะดวกที่จะคุยกันเป็นการส่วนตัวไหม?”

“ได้ค่ะ!” ซูซูพลันรีบตกปากรับคำในทันที ในตอนที่เธอกำลังจะเดินจากไปนั้น

“ไม่จำเป็น!” ฉินเทียนรีบจับมือซูซูเอาไว้โดยไม่คาดคิด

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเขา พวกเราควรจะรีบกลับไปที่หลงเจียงได้แล้ว”

“ไปกันเถอะ.”

ใบหน้าของฉินฉีพลันแข็งค้างไปชั่วขณะ แม้ว่าเขาที่เคยได้รับฝึกฝนมารยาทมาเป็นอย่างดี ทว่า ชายวัยกลางคนก็ดูจะเขินอายออกมาเล็กน้อย

แม้แต่ซูซูเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน พร้อมกับถูกฉินเทียนจับมือเดินออกจากบ้านไม้ไป

“ลูกไม่อยากรู้เหรอ ว่าแม่ของลูกตายเพราะอะไร?”

เพียงแค่ฉินเทียนและซูซูเดินออกไปก้าวหนึ่งนั้น ก็พลันมีเสียงดังมาจากด้านหลังของพวกเขาในทันที

ทั่วร่างของฉินเทียนพลันสั่นเทาอย่างรุนแรงก่อนจะหันกลับมาในทันทีและมองไปที่ฉินฉีด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

ฉินเทียนไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไป พลางร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ: “คุณมีคุณสมบัติอะไรที่จะพูดถึงแม่ของฉัน”

“คุณอยู่ไหนตอนที่เธอล้มหมอนนอนเสื่อ?”

“คุณกำลังยุ่งอยู่กับการแต่งงานใหม่งั้นหรือ?”

“แม่ของฉันถึงต้องถูกคุณฆ่าตายแบบนี้ไง!”

ลักษณะที่ดุร้ายของฉินเทียนทำให้ซูซูอดที่จะรู้สึกตกใจกลัวออกมาไม่ได้ เธอรีบจับแขนของฉินเทียนในทันที เสมือนกับเธอกำลังมองคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน

“ฉินเทียน ใจเย็น ใจเย็น ๆ ก่อนนะ!” ซูซูรีบเอ่ยปลอบใจ

ฉินเทียนพลันควบคุมความโกรธของตัวเองเอวไว้ ก่อนจะกัดฟันกล่าวออกมาว่า “แม่ของฉันตายไปแล้ว คุณยังเสแสร้งมาทำเป็นเฝ้าทรัพย์สินของเธอตอนนี้ จะไปมีประโยชน์อะไร?”

“คุณไม่สมควรได้รับมัน!”

“กลับไปถึงหลงเจียงเมื่อไหร่ ฉันจะส่งคนมาเอาของทั้งหมดของแม่ฉันกลับคืน!”

“ถ้าคุณยังมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง อย่าคิดที่จะร้องห้ามมิฉะนั้น…” ฉินเทียนกัดฟันกล่าวออกมา “ฉันไม่รังเกียจที่จะฆ่าคน!”

“ไปกันเถอะ!” ฉินเทียนพลันดึงมือซูซูออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

“ฉินเทียนเดี๋ยวก่อน!”

“รอฉันสักครู่!”

เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายของฉินฉีนั้น ซูซูก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นผู้อาวุโสและเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของฉินเทียน อีกทั้งยังเป็นพ่อสามีของเธออีกด้วย

อีกทั้ง เธอยังรู้สึกว่า พ่อสามีไม่ได้ใจร้ายอย่างที่ฉินเทียนพูดเอาไว้

เห็นได้จากการที่เขาออกจากตระกูล และมาซ่อนตัวอยู่ในวัดลัทธิเต๋าแห่งนี้ และยังสวมใส่เสื้อคลุมลัทธิเต๋าอีก

เขากำลังคอยปกป้องผู้ดูแลหญิงคนนั้น ด้วยหัวใจและความรู้สึกที่แท้ใจ

ไม่อย่างนั้น เขาจะนำผู้หญิงคนนั้นมาฝังเอาไว้ที่นี่ และเก็บข้าวของดูแลของเธอและทำความสะอาดตลอดเวลาได้อย่างไรกัน

ซูซูพลันสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากฉินเทียน ก่อนจะรีบเดินไปหาฉินฉีเพียงลำพัง