เล่มที่ 20 เล่มที่ 20 ตอนที่ 587 สถานการณ์เลวร้าย ไม่มีทางรอด

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เรื่องที่เมืองเจียงหลิงเกี่ยวข้องกับการตายของมารดานาง

ครั้งหนึ่ง เยี่ยโหยวเหยาเคยนำกองทัพสังหารคนในเมืองเจียงหลิงอย่างดุเดือด ในปีนั้นมีเหตุการณ์โรคระบาดเกิดขึ้นพอดี ตอนนั้น ที่ด้านนอกวิหารวิญญาณ หลังจากเว่ยเหม่ยเจียเปิดเผยความจริง เยี่ยโยวเหยาก็ยอมรับด้วยตนเอง

แม้ตอนนั้นซูจิ่นซีจะเสียใจและเจ็บปวดอย่างมาก ทั้งยังเกลียดชังเยี่ยโยวเหยาที่หลอกลวงนาง ทว่าซูจิ่นซีเคยพูดไว้ว่าไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเคยทำสิ่งใดลงไป นางก็จะให้โอกาสเขาได้อธิบาย

ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด ทว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน

สามีภรรยาควรไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน และให้โอกาสกันมิใช่หรือ?

ตอนอยู่ด้านนอกวิหารวิญญาณ เว่ยเหม่ยเจียได้เปิดโปงเรื่องเมืองเจียงหลิง หลังจากนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ถูกฮูหยินปิงจีนำตัวกลับไปที่ตำหนักเสวียนปิง เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง ไม่นานนัก เยี่ยโยวเหยาก็ต้องรีบไปที่แคว้นซีอวิ๋น ในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาไม่มีโอกาสได้พูดคุยอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน

เวลานี้นับเป็นโอกาสที่เหมาะสม

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ท่าทีของซูจิ่นซีก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น นางมองไปที่เยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาปรากฏความจริงจังเช่นกัน เขาเอื้อมมือมาจับหัวไหล่ของซูจิ่นซี และให้นางพิงศีรษะที่ท่อนแขนของตนเอง

“จิ่นซี ในปีนั้น ข้ารีบรุดพาขุนพลผีไปที่เมืองเจียงหลิงเพื่อสังหารคนเหล่านั้น ทว่าคนพวกนั้นสมควรตาย เรื่องนี้ข้าไม่คิดว่าตนเองทำผิดอันใด” เยี่ยโยวเหยากล่าวด้วยแววตาดุดันเต็มไปด้วยไอสังหารและความกระหายเลือด

ซูจิ่นซียังคงมองสีหน้าของเยี่ยโยวเหยา นางสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขา ทว่านางทำเพียงฟังสิ่งที่เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างเงียบงัน โดยไม่ตอบโต้อันใด

“ก่อนหน้านี้ ข้าได้ส่งคนไปสืบข่าวล่วงหน้าแล้ว เรื่องของเมืองเจียงหลิงในปีนั้น บรรดาคนที่ถูกข้าสังหาร ไม่มีมารดาของเจ้า หรืออนุกู้สกุลซู”

“ในปีนั้น อนุกู้อยู่ในรายชื่อผู้ช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติจริง ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง นางได้กลับไปที่เมืองหลวงก่อนกำหนด”

ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก นางต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่ากลับกลืนคำพูดลงไป ไม่ได้เอ่ยออกมา

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซี พลันรู้สึกร้อนใจ

“ซูจิ่นซี แท้จริงแล้ว เมื่อข้าทราบว่าเหตุการณ์ที่เมืองเจียงหลิงกับคนที่ข้าสังหารในตอนนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน ข้าก็หวาดกลัวเหลือเกิน อย่างไรเสีย ในตอนนั้นข้ายังเด็กนัก ข้ากลัวว่าตนเองจะพลั้งมือฆ่ามารดาของเจ้า… ”

ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็เอื้อมมือไปปิดปากเยี่ยโยวเหยา นางส่ายศีรษะเชื่องช้า ดวงตางดงามมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง จิ่นซีเชื่อท่าน”

ทว่าคิ้วของเยี่ยโยวเหยายังคงขมวดเข้าหากัน

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอ๋อง แม้ในปีนั้น ท่านแม่ของหม่อมฉันจะอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น ทว่าหม่อมฉัน… หม่อมฉันไม่ถือโทษท่าน! ”

เยี่ยโยวเหยายิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ดวงตาดำขลับลึกซึ้งปรากฏความประหลาดใจ

หากบุญคุณความแค้นอันยาวนานกลายเป็นโศกนาฏกรรมจริง ซูจิ่นซีจะตัดสินใจอย่างไร?

ในร่างของนางมีทั้งความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมและความทรงจำของซูจิ่นซีจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

ในฐานะเจ้าของร่างเดิม แน่นอนว่านางต้องเกลียดชังศัตรูที่ฆ่ามารดาของตน ทว่าในมุมของซูจิ่นซี ในโลกนี้ เยี่ยโยวเหยาเป็นสหาย เป็นความอุ่นใจเพียงหนึ่งเดียวของนาง!

ว่ากันตามตรง ไม่ว่าจะเป็นอนุกู้ กู้เหยียนซี หรือจงซีจือ คุณหนูสามแห่งสำนักแพทย์สกุลจง สำหรับซูจิ่นซีที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ทุกคนคือคนแปลกหน้า

หรือนางต้องทอดทิ้งเยี่ยโยวเหยาเพื่อความเกลียดชังที่ขัดแย้งในใจ นางต้องกลายเป็นศัตรูของเขาอย่างนั้นหรือ?

นางทำไม่ได้ ทำไม่ได้จริงๆ !

หากเป็นเช่นนั้นจริง จะให้นางมาอยู่ในโลกมิตินี้เพื่ออันใด?

เยี่ยโยวเหยากระชับแขนที่อยู่ใต้ลำคอของซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้าและโอบกอดนาง คางของเขาวางลงบนศีรษะของซูจิ่นซี แทบจะกลืนนางเข้าไปในร่างตนเอง

แม้ดวงตาแดงก่ำของเขาจะจ้องมองไปยังแสงเทียนที่กะพริบอยู่นอกม่าน ทว่าเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “จิ่นซี”

ความขัดแย้งที่อยู่ภายในใจของซูจิ่นซี แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาไม่อาจรับรู้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาไม่รู้สถานะของซูจิ่นซี ผู้ที่ข้ามมิติเวลามายังสถานที่แห่งนี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ในยุคศักดินาเช่นเขา ศัตรูที่สังหารมารดาตนเอง ไม่อาจอยู่ร่วมใต้ผืนฟ้าเดียวกันได้ ทว่าเมื่อได้ยินประโยคที่ซูจิ่นซีบอกว่า แม้ในปีนั้น ท่านแม่ของหม่อมฉันจะอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น ทว่าหม่อมฉันไม่ถือโทษท่าน! มันกลับทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว

หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา เขาคงทำไม่ได้แบบซูจิ่นซี

ดังนั้นเขาย่อมคิดว่า นี่คือความรักที่ซูจิ่นซีมีต่อเขา

แท้จริงแล้ว ในประโยคเหล่านั้น ซูจิ่นซีไม่ได้หลอกลวงเยี่ยโยวเหยาแม้แต่น้อย มันเป็นประโยคที่มาจากใจจริงของนาง

ยิ่งไปกว่านั้น “ความจริง หม่อมฉันสงสัยมาตลอด”

“อันใดหรือ? ”

“ตอนที่หม่อมฉันอายุเจ็ดปี เกือบจะเป็นปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ในเจียงหลิง หม่อมฉันเห็นซูจ้งใช้มีดสั้นปักลงกลางหัวใจของท่านแม่ ตอนนั้นท่านแม่มีเลือดท่วมตัว นางนอนจมกองเลือด ทั้งตัวซูจ้งก็อาบไปด้วยเลือด ทว่า… หม่อมฉันนึกไม่ออกว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ใด ตอนนั้นหม่อมฉันยังเด็กนัก ภายหลังเพราะถูกกระตุ้นจากเหตุการณ์นั้น พัฒนาการทางด้านสติปัญญาเลยหยุดชะงักอยู่ที่ตอนอายุเจ็ดปี ความทรงจำในหลายๆ เรื่องก็ไม่ลึกซึ้งมากนัก”

ความสงสารปรากฏในแววตาของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้น เขาก็ถามขึ้น “ก่อนตาย ซูจ้งได้บอกอันใดเจ้าหรือไม่? ”

ซูจิ่นซีตกใจเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาฉลาดหลักแหลมจริงๆ

นางไม่ได้พูดอันใด เยี่ยโยวเหยาจึงคิดว่านางต้องปฏิเสธว่ามารดาของตนตายด้วยน้ำมือซูจ้ง

หากซูจิ่นซีสงสัยจริง นางคงไม่สืบหาความจริงจากเหตุการณ์ที่เมืองเจียงหลิงเป็นแน่ และสาเหตุที่นางสืบค้นเรื่องนี้ ต้องเป็นเพราะสิ่งที่ซูจ้งพูดก่อนตาย

อย่างไรก็ตาม สติปัญญาเฉียบแหลมและสงบนิ่งของเยี่ยโยวเหยา ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้

“ก่อนตาย ซูจ้งบอกหม่อมฉันว่า ท่านแม่ของหม่อมฉันไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของเขา ตอนนั้น เขาต้องการบอกความจริงกับหม่อมฉัน ทว่า… จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้น”

เขาไม่มีโอกาสได้บอก

เยี่ยโยวเหยาโอบกอดซูจิ่นซีแน่นขึ้น ทั้งยังออกแรงกอดนางจนแทบหายใจไม่ออก

ซูจิ่นซีรับรู้ได้ถึงความกลัวลึกๆ ภายในจิตใจของเยี่ยโยวเหยา

หาได้ยากที่คนอย่างเยี่ยโยวเหยาจะเกิดความหวาดกลัว

เขาพูดว่า “จิ่นซี รับปากข้า ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างจบลงที่ตรงนี้ได้หรือไม่? ทั้งเรื่องมารดาของเจ้า เหตุการณ์ที่เจียงหลิงในปีนั้น หรือเรื่องดินแดนต้องห้ามสกุลจง เรื่องทั้งหมดจบที่ตรงนี้ดีหรือไม่? ”

ท้ายประโยค เสียงของเยี่ยโยวเหยาแฝงไว้ด้วยความอ้อนวอน

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยา ทำให้ซูจิ่นซีตกใจมาก

หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏที่มุมปาก ซูจิ่นซีตอบรับคำแผ่วเบา “ตกลง! ”

จากนั้น นางจึงกล่าวว่า “เรื่องการฟื้นฟูสำนักแพทย์สกุลจง และช่วยให้มู่หรงอวิ๋นไห่กลับคืนสู่ราชสำนัก ไหนจะเรื่องการจัดการกับแคว้นไหวเจียง หากปล่อยให้จบลงตรงนี้ เมื่อท่านอ๋องครอบครองใต้หล้าและฟื้นฟูจักรวรรดิต้าฉินขึ้นมาได้ แคว้นไหวเจียงกับแคว้นหนานหลีจะหายไปจากอาณาเขตของจักรวรรดิตลอดกาล ท่านอ๋องไม่รู้สึกสูญเสียบ้างหรือ? ”

แม้ซูจิ่นซีจะพูดอย่างขบขัน ทว่าพวกเขารู้ดีว่าเรื่องเหล่านั้นไม่สามารถหยุดยั้งได้ และไม่อาจปล่อยให้มันจบลงตรงนี้ได้เช่นกัน

เวลานี้พวกเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของคลื่นลม ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยอันตราย หากพวกเขาไม่เริ่มต่อต้านเสียบ้าง ก็คงถูกตอบโต้จนไม่เหลือแม้เถ้ากระดูก

ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางให้ถอย ไม่มีโอกาสให้เลือกมากนัก