บทที่ 1823 - กลับสู่แดนทะเลเหนือ

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

AST
  บทที่1823 – กลับสู่แดนทะเลเหนือ
  อีก2 เดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว และในวันนี้เป็นวันที่ชิงสุ่ยตัดสินใจจะมุ่งหน้าไปที่ทะเลเหนือ ส่วนลึกของมหาทวีปอุดรเทวา
  ตลอดระยะเวลาที่กลับมาที่บ้านกินเวลาประมาณ4 เดือน ถือว่าไม่นานเกินไปและไม่สั้นเกินไป แต่ภายใน 3 เดือนหลายสิ่งหลายอย่างก็เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือการตั้งครรภ์ของห่ายตงฉินและอวี้เหอ
  ……………
  แม้ชีวิตช่วงนี้จะดำเนินไปด้วยความสุขแต่เขาก็ทำเป็นต้องไขว่คว้าหาประสบการณ์ จึงจำใจต้องลาครอบครัว เพื่อเดินทางไปยังพระราชวังจอมอสูร ซึ่งเป็นสถานที่ที่ ถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิงรอคอยเขาอยู่
  ตลอด2 เดือนที่ผ่านมา ภาคีวิหคอัคคีเทวะได้ทำการเปลี่ยนแปลงและวางรากฐานใหม่จนเสร็จสิ้น แน่นอนว่าชิงสุ่ยก็ได้ไปยืนที่แห่งนั้น 2-3 ครั้ง ไม่เพียงแต่เขาจะช่วยเหลือให้เฉินหวงแข็งแกร่งขึ้น แต่เขายังช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามเส้นลมปราณของเธอเช่นกัน แม้แต่ฮัวเฟิงก็ได้รับการช่วยเหลือจากชิงสุ่ย
  ทางด้านของตำหนักวิหคเงาทมิฬในปัจจุบันยังไม่ได้ถูกกำจัด แต่พวกเขาเริ่มถูกปราบปรามโดยกลุ่มของภาคีวิหคอัคคีเทวะ
  การถูกรุกรานของพวกเขาเกิดขึ้นจากความแข็งแกร่งของเฉินหวงที่เพิ่มขึ้น
  และยิ่งปัจจุบันอาณาเขตความน่าสะพรึงกลัวของภาคีวิหคอัคคีเทวะยิ่งขยายใหญ่เนื่องจากการรวมตัวของภาคีวิหคทองคำและภาคีวิหคเพลิง
  ที่เกิดการรวมตัวอาจเป็นเพราะว่าฮัวเฟิงไม่มีกะจิตกะใจที่จะตัดสินอย่างเด็ดขาดเพราะที่ผ่านมามันเป็นหน้าที่ของจินเฟิงในการขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งตอนนี้จินเฟิงได้จากไป เขาจึงตัดสินใจมอบอำนาจทั้งหมดให้อยู่ในกำมือเฉินหวง และเชื่อว่าพลังของเธอจะต้องนำพากลุ่มภาคีที่เขาอาศัยอยู่ไปสู่คนทั้งเบื้องหน้าที่สดใส
  และการรวมตัวของภาคีก็ทำให้ชิงสุ่ยเริ่มมีความมั่นใจว่าภาคีวิหคอัคคีเทวะจะต้องมีพลังมากพอในการต่อกลอนกับกลุ่มจากมหาทวีปมังกรอหังการและมหาทวีปอุดรเทวา
  2วันที่ผ่านมา ชิงสุ่ยได้เดินทางไปกล่าวลาหมอปีศาจ จากนั้นก็ออกมาอย่างเงียบๆโดยไม่พูดจาบอกผู้ใด แม้แต่ตัวของหมอปีศาจหรือปู้หยางชิงก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงพลังปราณของชิงสุ่ย
  ชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อที่กำลังอุ้มลูกน้อยชิงซิ่วพวกเขากำลังยืนอยู่บนหลังของวิหคทมิฬซึ่งกำลังบินด้วยความเร็วสูงตรงเข้าสู่พระราชวังจอมอสูร
  ขณะที่ชิงสุ่ยมองดูอีเย่เจียนเก้อผู้ซึ่งกำลังอุ้มชิงซิ่วเขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าอนาคตของเด็กน้อยคนนี้จะก้าวเข้าใด
  ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิงก็เคยเดินทางมาที่ตระกูลชิง 2-3 ครั้ง แน่นอนว่าคนในตระกูลย่อมรู้ดีถึงความหมาย แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้เป็นหญิงสาวของชิงสุ่ย แต่ในอนาคตโอกาสที่ทั้งสองคนจะตกเป็นหญิงสาวของชิงสุ่ยนั้นแทบจะไม่มีทางพลาด
  ทันทีที่เหล่าหญิงสาวมาถึงอีเย่เจียนเก้อก็ยิ้มให้กับถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิง โชคดีที่ทั้ง 3 คนเริ่มรู้จักกันมาบ้างแล้ว จึงทำให้กันพูดคุยเป็นไปได้อย่างไม่ยุ่งยาก
  ขณะที่อีเย่เจี้ยนเก้อและถานท่ายหลิงเยียนกำลังพูดคุยกันเด็กน้อยชิงซิ่วก็พยายามเอื้อมมือออกมาเพื่อสัมผัสใบหน้าถานท่ายหลิงเยียน
  มือของเด็กน้อยค่อยๆจับใบหน้าถานท่ายหลิงเยียนอย่างนุ่มนวลขณะเดียวกันฉินชิงที่เห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะและมองมาที่ชิงสุ่ย
  ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุข
  ส่วนอีเย่เจี้ยนเก้อเธอได้แต่แสดงความเขินอายและมองดูเด็กน้อยแสนน่ารักที่เป็นที่รักของทุกคน
  หญิงสาวทั้งสามคนที่อยู่ในห้องเหมือนกับนางฟ้าที่มาจุติบนโลกมนุษย์ชิงสุ่ยมองดูทั้งสามคนด้วยสายตาที่พึงพอใจ มันเหมือนกับหัวใจของเขากำลังเอ่อล้นไปด้วยทะเลแห่งความสุข
  พระราชวังจอมอสูรยังคงเป็นพระราชวังจอมอสูรเพียงแต่บรรยากาศภายในนั้นแตกต่างจากเดิม เรื่องนี้คงต้องขอบคุณฮัว รูเหม่ยที่ทำให้พระราชวังจอมอสูรแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป
  ถานท่ายหลิงเยียนแสดงความต้องการในการก้าวเข้าสู่มหาทวีปอุดรเทวาเพื่อพัฒนาตนอย่างแน่วแน่แม้เธอจะไม่พูดอะไรก็ตามแต่ชิงสุ่ยก็เข้าใจดีว่าเธอไม่มีวันลืมเรื่องของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะ
  แม้ระดับความสามารถของชิงสุ่ยจะเรียกได้ว่าอยู่ชั้นแนวหน้าแต่เมื่อเขาพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับมหาทวีปอุดรเทวา เขากลับไม่พบเจอข้อมูลใดๆในเรื่องของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะเลย
  มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ที่จะแบ่งแยกทั้งคนที่มีชื่อเสียงและคนที่ไม่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตามชื่อของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะ กลับไม่มีใครเคยได้ยิน หรือบางทีเพราะพวกนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะมีสถานะที่ต่ำต้อยเกินไปจนไม่มีใครสนใจ หรือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดยังคงอยู่ต่ำต้อยกว่ากลุ่มคนจากนิกายห้าพยัคฆ์อมตะก็เป็นไปได้
  ชิงสุ่ยไม่รู้สึกผิดหวังในคำตอบที่เขาพยายามตามหาในทางกลับกันความน่าพิศวงยิ่งทำให้เขามีกำลังใจในการค้นหา ตราบใดที่เขาไม่สามารถทวงความยุติธรรมให้กับถานท่ายหลิงเยียนได้ ชีวิตของเขาก็คงไม่มีความสุข
  การเดินทางกลับไปยังแดนทะเลเหนือเป็นเรื่องที่ง่ายมากเพราะเขาคือผู้ครอบครองธงสวรรค์ปัญจธาตุ แม้ว่าก่อนหน้านี้ธงสวรรค์ปัญจธาตุจะสามารถเดินทางได้เพียงจำนวนหยิบมือ แต่หลังจากการพัฒนาในครั้งแรกทำให้มันสามารถนำพาผู้คนไปได้มากถึง 5 คน และการพัฒนาในครั้งล่าสุด ทำให้มันสามารถนำพาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรูปแบบ 4 ตารางเมตร ไปพร้อมกับเจ้าของผู้ถือธงสวรรค์ปัญจธาตุได้
  เมื่อรวมกับชิงซิ่วแล้วผู้ที่จะทำการเดินทางในครั้งนี้มีเพียง 5 คน แต่ถ้าหากนับจากพื้นที่ขนาด 4 ตารางเมตร เรียกได้ว่าการเดินทางพร้อมกัน 10 คนก็ไม่ใช่ปัญหา