บทที่ 618 พระราชพิธี

บัลลังก์พญาหงส์

อากาศในเดือนห้านั้นเริ่มร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

 

 

 

ก่อนพระราชพิธีหนึ่งวัน ถาวจวินหลันเริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมาเล็กน้อย นางเป็นภรรยา ย่อมต้องไหว้ฟ้าดินพร้อมกับหลี่เย่ ร่วมงานพระราชพิธีแต่งตั้งจนจบ 

 

 

 

 

 

พิธียิ่งใหญ่เช่นนี้ นางยังไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน จะไม่เครียดได้อย่างไร 

 

 

 

 

 

หลี่เย่สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของถาวจวินหลัน จึงตั้งใจละทิ้งงานที่พันตัวรีบกลับมาอยู่กับนาง แม้นบอกว่าพยายามมาเร็ว แต่ก็มาทันแค่เวลาอาหารเย็นเท่านั้น 

 

 

 

 

 

หลังจากทานอาหารแล้ว หลี่เย่ก็เสนอให้ไปเดินเล่น 

 

 

 

 

 

แต่เดิมถาวจวินหลันคิดว่าเดินเล่นภายในวังตวนเปิ่นเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะพานางเดินออกมาจากวังตวนเปิ่น อีกทั้งยั้งไม่พานางกำนัลมาแม้แต่คนเดียว 

 

 

 

 

 

จากคำพูดของหลี่เย่ แค่เพียงเดินเล่นเท่านั้น ไฉนเลยจะต้องพานางกำนัลมา ถ้าต้องใช้คน แค่กวักมือเรียกก็จะมีนางกำนัลก้าวมาหาเอง อีกทั้งอยู่ในวังหลวงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย และยังมีคนตามเขาอยู่อีกด้วย 

 

 

 

 

 

จากนั้นบรรยากาศรอบข้างก็เริ่มคุ้นตา ถาวจวินหลันรู้แล้วว่าหลี่เย่จะพานางไปที่ไหน “พวกเราจะไปวังเต๋ออันหรือเพคะ?” 

 

 

 

 

 

วังตวนเปิ่นและวังเต๋ออันนั้นเหมือนกัน ถือเป็นส่วนนอกของวังหลัง ย่อมไม่อยู่ห่างกันมาก เดินมาเช่นนี้ภาพในอดีตก็เริ่มผุดขึ้นมา ถาวจวินหลันค่อยๆ ละทิ้งความตึงเครียดในใจก่อนหน้านี้ออกไป เริ่มตื่นเต้นและยินดีขึ้นมาแทน 

 

 

 

 

 

“ครั้งแรกที่พบท่าน ตอนนั้นท่านกำลังเดินกลับวังเต๋ออัน หม่อมฉันตกใจแทบแย่ ท่านว่ามาสิ ตอนนั้นท่านคิดอะไรอยู่กันแน่?” ถาวจวินหลันหวนนึกถึงความตกใจกลัวครั้งนั้น พลางซักไซ้เชิงตำหนิเล็กน้อย 

 

 

 

 

 

หลี่เย่เองก็หวนนึกถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไร คิดว่าจะปิดปากเจ้าอย่างไร เจ้าโกหกข้าหรือไม่ อีกอย่างยังคิดว่านางกำนัลเช่นเจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก รู้จักหาโล่กำบังมารักษาชีวิต” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันกลอกตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง “ใครจะไม่กลัวตายกันเพคะ?” 

 

 

 

 

 

“หลังจากเรื่องนี้ ข้าเองก็แอบจับตาดูเจ้าอยู่ช่วงหนึ่ง ค่อยๆ รู้สึกว่าเจ้าใช้ได้ทีเดียว” หลี่เย่หรี่ตาลง หวนคิดเรื่องอดีต รอยยิ้มนั้นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย “ตอนนั้นคนอื่นกีดกันเจ้าขนาดนั้น เจ้ากลับใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ปรับตัวได้เป็นอย่างดี จนข้าละสายตาจากเจ้าไปไม่ได้” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่พูดก็อดหัวเราะไม่ได้ “ตอนนั้นข้ายังคิดว่า เจ้าไม่ใส่ใจจริงๆ หรือว่ากำลังอดทนอยู่กันแน่” 

 

 

 

 

 

“ตอนนั้นข้าเพิ่งเข้าวังนานเท่าไรกันเชียว? จริงๆ แล้วข้าก็ยังกลัวอยู่ลึกๆ กังวลว่าทำผิดอะไรแล้วจะส่งผลถึงชีวิตเพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น รู้สึกเศร้าเล็กน้อย “หลังจากเข้าวังหลวงแล้วถึงรู้ว่าทุกสิ่งอย่างนั้นไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเองเคยเรียน และประสบพบเจอมาก่อน ย่อมไม่กล้าต่อต้านแม้แต่น้อย” 

 

 

 

 

 

“แต่หลังจากนั้น เจ้าก็ยิ่งเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น” หลี่เย่อมยิ้มพลางพูดต่อ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้ากลัว” 

 

 

 

 

 

“มีอะไรต้องกลัวเพคะ?” ถาวจวินหลันหัวเราะ “ท่านเป็นมิตรมากขนาดนั้น ทั้งยังไม่เคยลงโทษใครมาก่อน หม่อมฉันย่อมไม่กลัวเพคะ อีกอย่างในเมื่อหม่อมฉันไม่ได้ทำผิดอะไร ย่อมต้องไม่กลัว” 

 

 

 

 

 

“เป็นเช่นนั้น” หลี่เย่ยิ้มพลางพูดเสียงอบอุ่น มองลึกไปในดวงตาของถาวจวินหลัน “ว่าแต่พระราชพิธีแต่งตั้งมีอะไรน่าตื่นเต้นกัน? เจ้านั่งตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท แต่เดิมก็เป็นเรื่องถูกต้องตามเหตุผล เจ้าจะต้องกลัวอะไร?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างอึ้งตะลึงและตกใจ มากไปกว่านั้นคือความดีใจ คำพูดของหลี่เย่เหมือนผลักหน้าต่างบานใหญ่ให้นาง ทำให้นางรู้สึกถึงสว่างในใจ 

 

 

 

 

 

ใช่แล้ว นางมีอะไรต้องกังวลกัน? นางได้เป็นถึงตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท ไม่เห็นต้องกลัวอะไรสักหน่อย นางเหมาะสมกับหลี่เย่ แม้ว่าชาติกำเนิดจะแตกต่าง แต่สิ่งที่นางทำนั้นย่อมมากพอเป็นพระชายาองค์รัชทายาท 

 

 

 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่อ้อมค้อมเช่นนี้ เพียงเพื่อให้นางเข้าใจ ถาวจวินหลันรู้เช่นนี้ก็รู้สึกละอายใจ 

 

 

 

 

 

หลี่เย่กลับดึงมือของนางเอาไว้ทันที พูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “พวกเราไปวังเต๋ออันกันดีกว่า ผ่านไปนานหลายปีจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่” 

 

 

 

 

 

ถูกพาออกนอกเรื่องเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ไม่ไปนึกถึงเรื่องละอายใจ ละทิ้งความเศร้า แล้วเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจแทน 

 

 

 

 

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ตื่นขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัวแต่เช้า การไหว้ฟ้าดินย่อมต้องสง่างาม การอาบน้ำนั้นถือเป็นเรื่องพื้นฐาน 

 

 

 

 

 

รอจนทุกอย่างเหมาะสม หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าแต่งตาเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มสว่าง จากนั้นก็รีบเดินทางไปวังใหญ่ที่จัดงานพระราชพิธีแต่งตั้ง 

 

 

 

 

 

ชุดตำแหน่งขององค์รัชทายาทนั้นสีเหลืองส้มอ่อน เมื่อเทียบกับสีเหลืองสดแล้วยังเป็นรองกว่าชั้นหนึ่ง แต่ก็เป็นการแสดงฐานะอย่างชัดเจน ฮ่องเต้สวมสีเหลือง องค์รัชทายาทสวมเหลืองอ่อน 

 

 

 

 

 

ชุดตำแหน่งของถาวจวินหลันก็เป็นสีเหลืองอ่อนเช่นกัน เป็นการแสดงออกว่าสามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน นางสามารถเสพสุขไปกับเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเขา 

 

 

 

 

 

หลี่เย่สวมใส่ชุดประจำตำแหน่งองค์รัชทายาท ดูทรงอำนาจกว่าปกติไม่น้อย โดยเฉพาะในตอนนี้ไม่ได้มีรอยยิ้มอบอุ่น และขบขันเหมือนปกติ ก็ให้ดูแล้วขึงขัง ทรงอำนาจ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันมองดู รู้สึกว่าหลี่เย่นั้นดูดีกว่าปกติอยู่หลายส่วน จึงแอบลอบมองบ่อยครั้ง 

 

 

 

 

 

หลี่เย่รู้สึกได้ จึงยิ้มและถามว่า “เป็นอะไรหรือ? มีอะไรแปลกอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า ก้าวขึ้นไปช่วยหลี่เย่จัดชุด กดเสียงเบาพูดว่า “วันนี้องค์รัชทายาททรงสง่างามมากเพคะ ใครก็เทียบกับท่านไม่ได้” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกไปจับมือถาวจวินหลันเอาไว้ เดินเคียงบ่านางออกไปข้างนอก ในเวลาเดียวกันก็พูดเสียงเบาว่า “จะต้องมีสักวันที่ข้าจะให้เจ้าสวมชุดพิธีสีหลืองสดของฮองเฮา” 

 

 

 

 

 

จากที่หลี่เย่ดูแล้ว แม้ว่าสีเหลืองอ่อนจะไม่เลว แต่สุดท้ายก็ไม่สูงส่งเท่าสีเหลืองสด และไม่ยิ่งใหญ่งดงามมากพอ ดังนั้นเขาถึงพูดเช่นนี้ออกมา 

 

 

 

 

 

คำพูดนี้แฝงไว้ด้วยความอัปมงคล อย่างไรก็มีเพียงแค่ฮ่องเต้สวรรคตไปแล้วหลี่เย่ถึงจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ และถาวจวินหลันถึงได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ดังนั้นพูดเช่นนี้จึงมีความหมายเหมือนคาดหวังให้ฮ่องเต้ตาย อีกทั้งนี่เพิ่งจะเข้าพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท ก็คิดจะเป็นฮ่องเต้เสียแล้ว นี่ดูใจร้อนเกินไปหน่อย 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่ได้คิดเรื่องเหล่านี้ นางเพียงแค่ยิ้มบางๆ สบตามองกับหลี่เย่ จากนั้นก็รับคำอย่างเป็นธรรมชาติ “เพคะ” 

 

 

 

 

 

ด้านนอกมีคนรออยู่มากมาย คนในวังตวนเปิ่นแทบจะครบแล้ว เห็นถาวจวินหลันและหลี่เย่ออกมา ทุกคนต่างพากันทำความเคารพทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียง “องค์รัชทายาททรงพระเจริญ พระชายาองค์รัชทายาททรงพระเจริญ” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “ตกรางวัล!” แค่คำเดียว แต่ก็เปี่ยมไปด้วยอำนาจชวนให้คนนับถือ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันก็พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่ก้าวขึ้นไปบนเกี้ยวที่เตรียมไว้นานแล้วพร้อมกับหลี่เย่ อากาศตอนนี้ไม่ได้ร้อนมาก สวมเสื้อผ้าเช่นนี้เพิ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว หลังของถาวจวินหลันก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อแล้ว 

 

 

 

 

 

นางมองไปทางหลี่เย่ พลางถามเขาเสียงเบา “ท่านร้อนหรือไม่เพคะ?” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่พยักหน้าน้อยๆ “เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น อดทนหน่อยเถิด” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหยิบถุงหอมเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ยิ้มพลางส่งให้หลี่เย่ “นี่เป็นเม็ดหอมที่ทำมาจากสะระแหน่เย็นและวัตถุดิบอื่นๆ ที่ช่วยให้สดชื่น ท่านผูกเอาไว้บนข้อมือของท่าน ใช้แขนเสื้อบังเอาไว้ หากร้อนมากก็ยกขึ้นมาดม จะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเพคะ” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ถกแขนเสื้อจนเห็นข้อศอก แสดงท่าทีให้ถาวจวินหลันช่วยผูกให้เขา ปากก็ถามว่า “วิธีนี้ดีจริงๆ เป็นความคิดของใครหรือ?” 

 

 

 

 

 

“หลายวันนี้เห็นพวกนางทำถุงหอมปัดภัย เลยคิดถึงเรื่องชายเสื้อหอมขึ้นมาเพคะ สมัยยังเป็นหญิงสาวนั้น เมื่อดอกกุ้ยบานข้าชอบเอามาทำเป็นถุงหอม แล้วผูกไว้ที่ข้อศอก ทั้งหอมและไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยเพคะ” ถาวจวินหลันก้มหน้าลงไปผูกถุงหอมไปพลางตอบคำถามของเขา 

 

 

 

 

 

จากมุมของหลี่เย่ เห็นแค่เพียงหน้าผากขาวใสและปะการังแดงที่ห้อยลงมาจากปิ่นพญาหงส์ของถาวจวินหลัน สีแดงสดชิ้นเล็กนั้นยิ่งขับให้หน้าผากของถาวจวินหลันดูขาวใสและเนียนกว่าเดิมมาก ดูแล้วคล้ายหยกเนื้อดี อาจด้วยกลัวว่าเหงื่อทำให้เครื่องสำอางเลือนหาย ถาวจวินหลันจึงไม่ได้ทาแป้งมากเกินไป เพียงแค่ทาชั้นบางๆ เท่านั้น 

 

 

 

 

 

เพราะว่าอยู่ใกล้ หลี่เย่ย่อมต้องได้กลิ่นน้ำมันหอมและแป้ง รวมไปถึงกลิ่นสบู่ที่หลงเหลืออยู่บนร่างของถาวจวินหลัน กลิ่นหอมหลายประเภทผสมเข้าด้วยกันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกวิงเวียน แต่กลับผสมผสานเข้ากันอย่างไร้ที่ติ จนคนอดลอบสูบดมเข้าลึกๆ ไม่ได้ 

 

 

 

 

 

พอได้สูดหายใจเข้าลึกแล้ว ก็พบว่ากลิ่นหอมกระจายอยู่เพียงจางๆ เท่านั้น จนคนดมแอบคันยุบยิบในใจไม่ได้ 

 

 

 

 

 

หลายปีผ่านไปบางทีถาวจวินหลันอาจจะไม่ได้อ่อนวัยและสดใสเหมือนแต่ก่อน แต่กาลเวลาก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป แต่กลับหลงเหลือความงดงามลึกล้ำเอาไว้ จนคนมองแวบแรกต้องรู้สึกตื่นตะลึง 

 

 

 

 

 

จากที่หลี่เย่ดูแล้วไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ถาวจวินหลันก็ยังเป็นถาวจวินหลันคนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หน้าตาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ความชื่นชอบและใส่ใจที่เขามีก็ยังไม่เคยเปลี่ยน มีเพียงสิ่งเดียวคือความหลงใหลและเคารพที่มีมากขึ้นทุกวัน นางลงเรือลำเดียวกับเขา ยอมลำบากไปด้วยกัน ย่อมสมกับความเคารพของเขา 

 

 

 

 

 

พอถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมา หลี่เย่ก็จับมือของถาวจวินหลันเอาไว้อย่างมั่นคง ไม่ได้แสดงความรู้สึกที่ไหลเวียนอยู่ในใจออกมาแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร เพียงแค่สบตากับหลี่เย่ ยิ้มให้เขาน้อยๆ 

 

 

 

 

 

ตอนที่พวกนางค่อยๆ เดินทางไปยังวังใหญ่ บรรดาขุนนางในชุดตำแหน่งเต็มยศก็รออยู่นานแล้ว ยังดีที่วันนี้อากาศแจ่มใส และตอนนี้พระอาทิตย์ก็เพิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทรมานมากนัก แต่ต่อให้ฝนตกหรือว่าแสงอาทิตย์จัดจ้า พวกเขาก็ไม่กล้าล่าช้าหรือละเลยแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

พระราชพิธีแต่งตั้งนั้นเป็นเรื่องเคร่งครัดมาตั้งแต่โบราณกาล นี่เป็นตัวแทนของการผลัดเปลี่ยนอำนาจฮ่องเต้ ต้นไม้งอกเงยเติบโต ราชสำนักมั่นคง มีคนรับช่วง 

 

 

 

 

 

รอจนเกี้ยวขององค์รัชทายาทมาถึง บรรดาขุนนางก็พากันคุกเข่าทำความเคารพ ปากก็พูดยินดี “องค์รัชทายาททรงพระเจริญ พระชายาองค์รัชทายาททรงพระเจริญ!” 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ก้าวขึ้นไปก่อน มือทั้งสองข้างยกขึ้นทำท่าประคอง เป็นการแสดงออกถึงความเคารพสุภาพต่อบรรดาขุนนาง “ทุกท่านลุกขึ้นเถิด” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันตามมาข้างหลังติดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินตามหลังหลี่เย่ ทีละก้าว ทีละฝีเท้า แสดงถึงสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกัน 

 

 

 

 

 

จากนั้นขุนนางราชพิธีก็ก้าวขึ้นมานำหลี่เย่และถาวจวินหลันเดินไปยังพระที่นั่งฝั่งทิศใต้ และตอนนี้ฮ่องเต้ถึงจะออกมา ค่อยๆ ประทับนั่งลงไปยังราชบัลลังก์เตรียมเริ่มพิธีแต่งตั้ง ในขณะเดียวกันก็เตรียมรับการทำความเคารพจากหลี่เย่