บทที่ 699 ไม่รู้ล้มไปกี่คราแล้ว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 699 ไม่รู้ล้มไปกี่คราแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเอาลูกๆให้อวิ๋นจิ่น จากนั้นกล่าวพูดกับแม่ทัพฉีไม่กี่คำก็ออกไป

คืนนั้นแม่ทัพฉีไม่ได้กลับไป อวิ๋นจิ่นเลยพักอยู่ด้านนอก

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกลับมาเลยอดไม่ได้ที่จะแวะไปดูห้องนั้น ดูเสร็จแล้วถึงได้กลับไปพักผ่อน

นอนลงแล้ว หนานกงเย่จึงได้ถามเรื่องของบาดแผล พยายามที่จะเปิดดู พอดูแล้วไม่ได้นอนกันทั้งคืนเลย

ช่วงเช้าตื่นมาหนานกงเย่ออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ถาม เขาไปจัดการเรื่องของจวนเสนาบดี

ไต่สวนจวนเสนาบดีก่อน หลังจากนั้นไปถามจวนอ๋องตวน สุดท้ายถึงได้เข้าพระราชวัง ราชครูจวินได้รออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว มองเห็นหนานกงเย่ที่สาวเท้ามาที่หน้าประตูวัง ใบหน้าอึมครืมเป็นอย่างมาก

“ท่านอ๋องเย่”พอเห็นหนานกงเย่ราชครูจวินเลยรีบเอ่ยปากเรียก

“อืม”ตอบเพียงเท่านี้โดยไม่สนใจเขา จากนั้นเดินเข้าวังไปเลย

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นหนานกงเย่มาเข้าเฝ้าที่ราชสำนักวันนี้เวลานี้รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ จนจะเลิกเข้าเฝ้าแล้ว เขาดันมานะหรือ?

“พระชายาเย่ไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่?”ได้ยินเรื่องของพระชายาเย่แล้ว แต่ในสายตาขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ฉีเฟยอวิ๋นสามารถกลับมาเกิดได้อีก เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้กังวลใจมาก

หนานกงเย่กล่าวว่า“มิเป็นไรแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม อ๋องเย่มีเรื่องอันใด?”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้ว่าที่มานี่เรื่องไม่ดีแน่ แต่พระองค์ไม่ได้คิดจะประนีประนอมยอม

หนานกงเย่ชำเลืองมองราชครูจวิน ราชครูจวินกล่าวว่า“กราบทูลฝ่าบาท เรื่องที่ญาติพี่น้องของจวนเสนาบดีทำร้ายพระชายาเย่ได้ตรวจสอบอย่างแน่ชัดแล้ว เป็นการกระทำของจวนเสนาบดีจริง หลักฐานได้มีแน่นอนแล้ว นี่เป็นสมุดเล่มเล็กของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

ราชครูจวินยื่นสมุดเล็กไป เสี่ยวสวีจื่อจึงรีบนำสมุดส่งให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เปิดดูเล็กน้อย จากนั้นทิ้งโยนไปอีกด้าน

“เวลานี้จวนเสนาบดีไม่ได้มีการยอมรับ เรื่องญาติพี่น้องนั้นเป็นเรื่องจริง เมื่อก่อนข้าก็เคยได้ยินราชครูจวินกล่าว ในเมื่อตรวจสอบชัดเจนแล้ว ญาติพี่น้องที่เกี่ยวพัวพันกับเสนาบดีเฉินทุกคนจะต้องถูกปราบปราม เรื่องนี้มอบให้ราชครูจัดการ ออกไปได้แล้ว”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นเดินไป หนานกงเย่หลุบตามองส่งองค์จักรพรรดิอวี้ตี้

ราชครูจวินมองไปทางหนานกงเย่ ได้ยืดตัวขึ้น เคลื่อนไหวแขนเสื้อ

หนานกงเย่หมุนตัวเดินไป

ราชครูตามหลังออกไป ทั้งสองคนเดินตามกัน เดินไปเดินมาเลยเดินด้วยกันเสียเลย

“ท่านอ๋องเย่คิดจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ราชครูจวินถามด้วยความแปลกใจ

หนานกงเย่ถามว่า“เรื่องนี้ไม่ใช่มอบหมายให้ราชครูจวินแล้วหรือ?”

“สกุลเฉินพ้นผิด เช่นนั้นเสนาบดีเฉินจะต้องไร้มลทิน”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”หนานกงเย่กล่าวจบจึงเดินไป

ราชครูจวินหยุดฝีเท้ามองหนานกงเย่ที่เดินจากไป มือทั้งสองข้างในแขนเสื้อเคลื่อนไหวเล็กน้อย ท่านอ๋องมีเรื่องในใจหรือ?

ราชครูจวินหันกลับไปมองพระราชวังที่อยู่แสนไกล แล้วเดินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

หนานกงเย่ออกจากเมือง อาอวี่ได้มาถึงประตูแล้ว แล้วมีรถมาอีกหนึ่งคันจอดอยู่ด้วย หวังฮวายอันเปิดม่านรถม้าขึ้นมองไปทางด้านของหนานกงเย่ พอเจอหนานกงเย่จึงได้เรียกเขาขึ้นรถ

หนานกงเย่ถามว่า“มีเรื่องอันใด?”

“เจอฮูหยินเสนาบดีแล้ว”หวังฮวายอันกล่าวแจ้งหนานกงเย่ เมื่อก่อนหาจนเมื่อยยังหาไม่เจอ บทจะเจอก็เจออย่างคาดไม่ถึง

หนานกงเย่มองไปกล่าวว่า“นั่นคืออวิ๋นอวิ๋นปล่อย ไม่สามารถไปจับได้ เรื่องนี้ข้ามีอีกหนึ่งแผน จะเกิดเรื่องกับเสนาบดีเฉินไม่ได้ เขายังปกติดี ยังสามารถเอาชนะเฉินอวิ๋นเจี๋ยได้”

ราชครูจวินออกมา บังเอิญได้ยินเรื่องเหล่านี้ ราชครูจวินหยุดลงสีหน้าเต็มไปด้วยความเรียบเฉย

“ท่านอ๋องเย่ ท่านคิดวางแผนจะลงมือในพระราชวังหรือ?”

“ราชครูจวิน เด็กนั่นคือเหลนของท่านหรือ?”

หนานกงเย่กล่าวถาม ราชครูจวินมองหนานกงเย่ แล้วกล่าวว่า“กษัตริย์บอกให้ข้าไปตาย ข้าก็ต้องไปตาย กระหม่อมไม่มีสิทธิไปร้องทุกข์”

“เพราะฉะนั้นนางไม่สามารถที่จะอยู่ในมือของฮองเฮาได้”

ราชครูจวินชะงักงัน กล่าวว่า“แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีวิธีอื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“พระสนมเอกเซียวบ้าคลั่ง พระสนมมู่ถึงส่งเข้าพระตำหนักเย็น ฮองเฮาสนใจแต่ประโยชน์ของตนเอง คนอื่นเป็นอย่างไรไม่สนใจ แสดงออกมาได้ดี!”

ราชครูจวินไม่เข้าใจ

“ความหมายของท่านอ๋องเย่คือ?”

“ข้ามีแผนการของตนเอง”หนานกงเย่ชำเลืองมองหวังฮวายอันแล้วกลับไปก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่รู้ว่าเรื่องหายนะมาอีกแล้ว!

“อวิ๋นอวิ๋น……”ฉีเฟยอวิ๋นกำลังเอาลูกๆนอนพัก หนานกงเย่เดินเข้ามา พอเจอฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ยกชุดขึ้นจากนั้นนั่งลง

แม่ทัพฉีก็อยู่ อีกด้านมีอวิ๋นจิ่นยืน ร่างกายของอวิ๋นจิ่นยังไม่หายดี และไม่มีชีวิตชีวา

เด็กน้อยล้อมรอบฉีเฟยอวิ๋น อามู่ชอบอยู่กับลูกคนโตสุดไม่รู้ว่าทำไม

“ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือเพคะ?”วันนี้มักรู้สึกว่าค่อนข้างแปลกประหลาดใจ

“สุขภาพดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?”หนานกงเย่นั่งลงแล้วถาม

“ดีขึ้นมากแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันน่าจะไม่เป็นไรแล้วเพคะ”

บอกว่าไม่เป็นไร แต่ความจริงกินยาไปหลายหนแล้ว ร่างกายไม่มีพัฒนาการเลยแม้แต่น้อย บาดแผลไม่เพียงแต่ไม่หายดี กลับกันยิ่งใหญ่มากขึ้น เป็นอย่างนี้ต่อไป มีเพียงแค่เส้นทางความตายแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่า วิญญาณของเธอตายดับสูญไปไม่อะไรหรอก ทิ้งร่างกายนี้ไว้ถึงอย่างไรชายผู้นี้ยังมีความหวัง ไม่เอาศีรษะไปโขกชนตาย

แต่วันนี้พูดยากจริงๆ

แววตาของหนานกงเย่ลึกซึ้ง จ้องมองสบตาของเธอ มองอย่างเฉยชา ทันใดนั้นได้จับแก้มของเธอมาจูบสัมผัส จูบอย่างแปลกประหลาดมาก

แต่ใจของฉีเฟยอวิ๋นเต้นแรงสั่นไหว ความรู้สึกที่ให้ฉีเฟยอวิ๋นคล้ายดั่ง เขารู้อย่างชัดเจนแล้วว่าเธอคิดอะไร แต่สุดท้ายทำเป็นดูไม่ออก เพราะฉะนั้นเลยไม่ไปเปิดโปง

ฉีเฟยอวิ๋นถูกปล่อยออก ดวงตากลมจ้องมองหนานกงเย่

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าไปทำ”หนานกงเย่อุ้มลูกชายไปให้อามู่ จากนั้นลุกขึ้นยืนลากจูงฉีเฟยอวิ๋นไปทางด้านนอก

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกดดัน ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องดีสบายๆอย่างแน่นอน

ออกมาแล้ว หนานกงเย่หาสถานที่ที่ไม่มีคนบอกกล่าวฉีเฟยอวิ๋นว่าต้องทำอะไรบ้าง

ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า“เพราะฉะนั้นท่านอ๋องคิดวางแผนการที่จะให้หม่อมฉันและพระชายาตวนไปจัดการเรื่องนี้ หากว่าเกิดเรื่อง พระมเหสีโวยวายขึ้นมา แล้วตระกูลหวาจะออกหน้าใช่หรือไม่?”

“อืม”

“ท่านอ๋อง ที่จริงสถานที่แห่งนี้จะสังหารคนคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้นับว่าอะไรมากมาย วันนี้หม่อมฉันไม่เข้าใจ ท่านอ๋องสังหารเฉินอวิ๋นชูเลยก็ไม่ใช่ว่าจบแล้วหรือ เหตุใดจะต้องยุ่งยากเช่นนี้เพคะ?”

“สังหารคนคนหนึ่งไม่นับว่าอะไรมากมาย แต่สังหารฮองเฮาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นข้าต้องการให้ฮองเฮาอยู่เฉยๆที่ตำหนักหลัง ไม่ใช่ตายอยู่ที่ตำหนักหลัง ฮองเฮาใครเป็นก็เหมือนกัน เฉินอวิ๋นชูนางทำก็เหมือนกัน เพียงแต่วันนี้นางก้าวก่ายถึงฝ่าบาท สังหารนาง ฝ่าบาทก็ไม่มีทางสงบ”

“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็มองฝ่าบาทด้วยความเคารพเกินไปแล้ว ฝ่าบาทพระองค์เป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึก……..”

“หุบปาก!”หนานกงเย่กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม ใช้สายตาที่ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจกลัวมอง ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนหายใจออกมาโดยไม่เอ่ยอะไรแล้ว

“ไปเถอะ ข้าจะตามไปทันทีหลังจากนั้น”หนานกงเย่กล่าวชี้แจง ฉีเฟยอวิ๋นเลยออกจากจวนไปก่อน

พอถึงจวนอ๋องตวน ได้เจอกับอวิ๋นหลัวฉวนที่กำลังจะออกไปจากจวนอ๋องตวนพอดี

“ท่านพี่เสียนเฟย”อวิ๋นหลัวฉวนเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงสาวเท้าเดินมาหา

“ข้าจะเข้าวัง ท่านช่วยข้าหน่อย”

เดิมอวิ๋นหลัวเตรียมตัวจะไปจากจวน เสื้อผ้ากระเป๋าและรถม้านางเตรียมพร้อมหมดแล้ว พอได้ยินว่ามีธุระเลยจะเข้าวัง นางก็เลยตามไปด้วยเลย

“ไปเถอะ”

ขึ้นรถม้าแล้วฉีเฟยอวิ๋นถามว่า”ท่านอ๋องตวนล่ะ?ไม่รู้ว่าท่านจะไปหรือ?”

“เมื่อคืนดื่มจนเมามายอยู่ห้องตำรา คาดว่าไม่ถึงวันคงนอนไม่ตื่น เขาไม่อยู่เวลาข้าไปจะได้สงบจิตสงบใจขึ้นมาบ้าง”อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวออกมาคล้ายดั่งว่าไม่สนใจ

“เจ้ามีความสุขก็ดี”

“อืม”

ทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูวัง กล่าวแล้วเดินไปถวายบังคมพระพันปีและพระมเหสี มาด้วยกันเลยเข้าวังมาพร้อมกันเสียเลย

แต่ทั้งสองเข้าวังกลับไปที่พระตำหนักเฟิ่งอี๋ ผลสรุปก็เกิดเรื่อง

หนานกงเย่ถูกเรียกเข้าวังด่วน และมีท่านอ๋องตวนมาด้วย

ทั้งสองคนมาถึงพระตำหนักเฉาเฟิ่ง ได้มีไห่กงกงรออยู่แล้ว พอเจอทั้งสองคนไห่กงกงเลยรีบทำความเคารพ กล่าวว่า“กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋องทั้งสองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“ฉวนเอ๋อร์ล่ะ?”ท่านอ๋องตวนดื่มเมามายยังไม่ได้สติ เดินโซซัดโซเซยืนไม่มั่นคงหากว่าไม่ใช่หนานกงเย่ประคองไว้ ไม่รู้ว่าเขาล้มไปกี่คราแล้ว