อนาคตของดินแดนทางเหนือ โดย Ink Stone_Fantasy
เอดิธส์กลับมาถึงปราสาท ดยุคคาลวินกำลังรอเธออยู่ในห้องโถง
“เจ้าอยู่ที่เมืองอีเทอร์นอลไนท์แค่สามวันเหรอ? ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ภารกิจนี้มันจำเป็นต้องใช้เวลา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารีบกลับไปไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่อยู่ต่ออีกหน่อยล่ะ?”
เธอขมวดคิ้วขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านให้คนไปแอบฟังข้าคุยกันอีกแล้วเหรอ?”
“ถ้าข้าถามเจ้าตรงๆ เจ้าจะยอมบอกข้าไหมล่ะ?” ดยุคถลึงตาใส่ “ลูกไม้นี้ข้าก็เรียนรู้มาจากเจ้านั่นแหละ แทนที่จะนั่งรอคำตอบ สู้ไปหามันเองดีกว่า”
“คิกคิก” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือหลุดขำออกมาเบาๆ “ยินดีด้วย ในที่สุดท่านก็ก้าวหน้าแล้ว แบบนี้เวลาที่อยู่ที่เนเวอร์วินเทอร์ ข้าก็จะได้ไม่ต้องห่วงท่านอีก”
ดยุคพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย ถ้าเจ้าไปคนเดียวก็ว่าไปอย่าง นี่ยังจะพาแลนซ์ไปด้วย วิมเบิลดันคนนั้นมันดึงดูดเจ้าได้ขนาดนี้เลยเหรอ? แต่เขายอมแต่งกับแม่มดแทนที่จะแต่งกับเจ้า ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลูกของกูลอนจะเอาไปทำอะไรได้!”
“ดูเหมือนท่านจะยังโมโหเรื่องที่ข้าไม่สามารถกลายเป็นราชินีได้อยู่นะ” เอดิธส์เหลือบมองเขา “หรือว่าความจริงแล้วท่านแค่กังวลว่าลูกที่ยังไม่เกิดมาของข้าคนนั้นจะได้สวมมงกุฎหรือเปล่า? ข้ายังไม่ลืมนะว่าตอนนั้นที่ทอว์ฟิคมาที่ดินแดนทางเหนือ ท่านพูดกับข้าว่ายังไง แล้วก็อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าท่านเคยเสนอแนะอะไรฝ่าบาทไป”
เสียงของคาลวินอ่อนลงทันที “ข้า…ข้าก็แค่หวังดีกับเจ้าเท่านั้น หรือว่าเจ้าทนเห็นลูกของหญิงต่ำต้อยแบบนั้นมีอำนาจได้…”
เอดิธส์แอบถอนใจ พ่อของเธอนั้นไม่ได้พูดโกหก อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกหกที่บอกว่าหวังดีกับเธอ แต่สำหรับผลที่ออกมา นั่นไม่ถือว่าเป็นความคิดที่ดีเท่าไร บางทีคาลวิน เคนท์อาจจะเป็นพ่อที่ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมืองการปกครอง จุดอ่อนเขาถือว่ายังมีอีกมาก
โชคดีที่ขุนนางในยุคสมัยนี้นั้นล้วนแต่ไร้ความสามารถ หรือพูดอีกอย่างก็คือระดับของขุนนางส่วนใหญ่นั้นล้วนแต่อยู่ในระดับต่ำ นี่จึงไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะไม่อยากให้มีระบบขุนนางสืบต่อไป หากเธอเป็นราชาของอาณาจักร เกรงว่าเธอก็คงจะรับไม่ได้เหมือนกันที่จะให้ขุนนางโง่เง่ามาผลาญทรัพย์สมบัติของตัวเอง
และก็เป็นเพราะว่าระดับของทุกคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน ตามหลักแล้วเธอจึงควรจะปลอบประโลมพ่อของเธอ แต่เอดิธส์กลับไม่ทำแบบนั้น เธอชอบเปลี่ยนคำพูดให้กลายเป็นมีดดาบมากกว่า ถ้าสามารถสร้างความเจ็บปวดหรือความทรมานได้ก็ยิ่งดี ไม่ว่าจะใช้กับคนอื่นหรือว่าตัวเธอเองก็ตาม
“หญิงชั้นต่ำ? ไม่ ท่านผิดแล้วท่านพ่อ ที่กูลอน วิมเบิลดันให้ความสำคัญกับนางนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เอดิธส์พูดอย่างรู้สึกสนุก “สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นขาดอยู่มีเพียงแค่สถานะเท่านั้น ถ้านางเกิดอยู่ในตระกูลขุนนางทางเหนือล่ะก็ นางอาจจะเหนือกว่าท่านก็ได้ ส่วนน้องชายของข้าสองคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ความจริงแล้วคนที่ท่านต้องขอบคุณมากที่สุดก็คือบรรพบุรุษของตระกูลเคนท์ ถ้าไม่มียศดยุคล่ะก็ อย่าว่าแต่จะตำแหน่งของท่านในตอนนี้เลย เผลอๆ ท่านอาจจะสู้คนธรรมดาที่อยู่ข้างถนนไม่ได้ด้วยซ้ำ”
แล้วก็เป็นไปอย่างที่เธอคาดเอาไว้ สีหน้าพ่อของเธอดูแย่ขึ้นมาทันที
“ถึงแม้ตอนแรกดูเหมือนนางจะไม่ยอม แต่หลังจากตัดสินใจได้ นางก็บอกข้อมูลของคนที่อาจจะเป็นอันตรายต่อนางออกมาทันที ในจุดนี้จะเห็นได้ว่านางค่อนข้างเด็ดขาดทีเดียว สมมติว่าหลังจากนี้ลูกของกูลอนได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ ท่านคิดว่านางจะลงมือกับข้าซึ่งเมื่อก่อนเคยบีบบังคับนางไหม? ข้าคิดว่ามีโอกาสสูงมากทีเดียว” เอดิธส์พูดยิ้มๆ “ส่วนเรื่องวิธีการนั้น ก็ต้องเป็นวิธีที่ทำให้นางหายแค้นได้ เพราะคนที่จะเข้าใจผู้หญิงได้ดีที่สุด ก็มีแต่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?”
“พอแล้ว…ข้าผิดเอง” สุดท้ายคาลวินก็ยกมือยอมแพ้ “เจ้าอย่าพูดแล้วได้ไหม?”
“ฟู่ว” เอดิธส์ถอนใจออกมาอย่างพึงพอใจ “ดังนั้นเขาไม่มีทางได้ครองบัลลังก์แน่นอน ต่อให้ฝ่าบาทไม่ได้ทรงคิดเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางยอมแน่นอน” เธอสางผม ก่อนจะเดินเข้าไปหาพ่อของตัวเอง “มาเข้าประเด็นดีกว่า ที่ข้าพยายามจะกลับไปให้เร็วที่สุดก็เพราะข้าไม่อยากจะพลาดอะไรไป เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน เวลาครึ่งเดือนที่ไปๆ มาๆ นี้ก็ถือว่าข้าจากศูนย์กลางแห่งอำนาจมานานมากแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะฝ่าบาททรงมอบหมายมา ข้าก็ไม่อยากมาที่นี่หรอก ส่วนเรื่องน้องชาย…ข้าเหมือนจะเคยเขียนบอกเอาไว้ในจดหมายแล้วนี่นา ว่าให้ส่งเขาไปที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หลังจากที่เขาบรรุนิติภาวะ แต่เหมือนท่านจะความจำไม่ค่อยดี”
“แต่ถ้าส่งแลนด์ไปอีกคน ดินแดนทางเหนือก็จะไม่มี….”
“ไม่มีผู้สืบทอดเหรอ?” เอดิธส์พูดแทรกขึ้นมา “ตอนนี้ตำแหน่งดยุคมันก็เป็นแค่หัวโขนธรรมดาๆ เท่านั้น ถ้าคนรุ่นหลังเป็นพวกโง่เง่า ท่านคิดหรือว่าพวกเขาจะยืนอยู่ในสำนักงานเมืองได้? ที่ข้าพาเขาไปก็เพื่ออนาคตของตระกูลเคนท์ ที่นั่นมีอะไรให้เขาเรียนรู้อีกมาก ถ้าไม่อยากถูกกำจัดออกไป ก็มีแต่ต้องรวมเข้าเป็นหนึ่งกับมัน”
ดยุคยังคงลังเล “แต่ฝ่าบาทเคยตรัสเอาไว้ไม่ใช่เหรอว่าที่ดินแดนรกร้างมันมีศัตรูที่น่ากลัวอยู่? หรือเจ้าไม่เคยคิดถึงบ้างว่าถ้าหากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกโจมตีจะทำยังไง?”
“ง่ายมาก ถึงตอนนั้นต่อให้ท่านมีผู้สืบทอดเป็นโหลมันก็ไม่มีประโยชน์” เธอพูดอย่างสบายๆ “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราควรจะขอบคุณปีศาจถึงจะถูก”
“อะไร..นะ?” คาลวินตกใจ
“ข้าแอบรู้สึกว่าถ้าไม่มีปีศาจละก็ ฝ่าบาทคงจะถล่มสี่อาณาจักรจนราบไปนานแล้ว…” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มมุมปากขึ้นมา “ที่ตอนนี้สถานการณ์ยังสงบสุขอยู่ก็เพราะพระองค์ต้องทำสงครามกับพวกปีศาจ แต่สุดท้ายยังไงการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นก็ต้องมาถึงซักวัน ดังนั้นสรุปแล้วก็คือปีศาจนั้นช่วยซื้อเวลาให้พวกเราเอาไว้ โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียวท่านพ่อ ท่านน่าจะรู้นะว่าควรทำยังไง?”
ดยุคนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ต้อนรับพวกครูที่ส่งมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ให้ดี เปิดชั้นเรียนขั้นพื้นฐานให้เยอะๆ ส่งคนไปเรียนรู้ที่ดินแดนตะวันตก แล้วก็ฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สำนักงานเมือง….เจ้าพูดถึงเรื่องพวกนี้ในจดหมายมาหลายครั้ง ความจำข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้นซักหน่อย”
“ท่านจำได้ก็ดี” เอดิธส์ตบไหล่พ่อของเธอ จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นไป “ข้าไปงีบหน่อยนะ คืนนี้ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก
“เดี๋ยวๆ..” คาลวินหมุนตัวมาเรียกเธอเอาไว้ “คำถามที่หญิงชั้น…เอ่อ ลิเวียถามตอนสุดท้าย ข้าอยากรู้ว่าเจ้าตอบนางไปว่ายังไง?”
“แทนที่จะรอคำตอบ สู้ไปหามันเองดีกว่า” เอดิธส์พูดยิ้ม “เมื่อกี้ท่านก้าวหน้าขึ้นแล้ว ตอนนี้ท่านควรจะพยายามทำแบบนั้นต่อไปนะ”
“เฮ้ นั่นข้าก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น เดี๋ยวก่อน..หรือว่าจงใจไม่พูดออกเสียง?” ดยุคอ้าปากค้างเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “จงใจหลอกให้ข้าพูดแบบนั้นเพื่อที่จะให้ข้าหุบปากเหรอ? ก็ได้ก็ได้ ต่อไปข้าไม่ส่งคนไปแอบฟังเจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้หรือยัง? ลูกสาวที่รักของข้า!”
“อย่าไปใส่ใจนักเลยท่านพ่อ เพราะว่านั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ข้าก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นนะ แต่เสียดาย…”
“เสียดายอะไร?” คาลวินถาม
แต่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่โบกมือ ก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบน