ลิเวีย โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อเดินผ่านซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งที่บนพื้นมีหิมะทับถมอยู่เต็มไปหมด พร้อมกับได้ยินเสียงฉับๆ ที่ดังมาจากใต้ฝีเท้า ลิเวียพลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ขึ้นมาหน้าอก

ฤดูหนาวของดินแดนทางเหนือมักจะเป็นแบบนี้ ท้องฟ้าอึมครึมเหมือนมีใครเอาแผ่นหินมาบังไว้อยู่เหนือหัว ส่วนบนพื้นก็ถูกหิมะปกคลุมเอาไว้จนหมด สรรพสิ่งล้วนแต่สูญเสียสีสันที่มีอยู่แต่เดิมไป สิ่งที่ตามมาก็คือความหนาวเหน็บและความอดอยาก ภาพแบบนี้มักจะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย

แต่เธอกลับมองเห็นสีสันที่ไม่เคยมีมาก่อนอยู่ท่ามกลางหิมะเหล่านี้

สีสันนี้ดูเจิดจ้ายิ่งกว่าสายรุ้ง ถึงแม้หิมะจะตกโปรยปรายลงมาแบบนี้ มันก็ยังดูเหมือนเปล่งประกายราวกับดวงดาราที่อยู่บนพื้นโลก

ยิ่งเข้าใกล้มัน ลิเวียก็ยิ่งรู้สึกแทบทนไม่ไหวที่จะได้เจอมัน

ปลายลำแสงตรงไปยังห้องเล็กๆ ที่เธอเช่าอยู่

ถ้าไม่เป็นเพราะต้องไปหาอะไรมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เธอก็ไม่คิดที่จะออกจากบ้านไปแม้แต่ก้าวเดียว

นั่นคือลูกของเธอ

โซ่ทองของเธอกับกูลอน วิมเบิลดัน

เมื่อมีเขา เธอก็เหมือนมีโลกทั้งใบ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ฝีเท้าของลิเวียก็ยิ่งก้าวเร็วมากขึ้นกว่าเดิม

แต่ในตอนที่เลี้ยวเข้าไปในซอยสุดท้าย หัวใจเธอพลันรู้สึกเหมือนถูกบีบขึ้นมาอย่างแรง

เธอเห็นบนพื้นหิมะมีรอยเท้าคนอยู่สิบกว่ารอย เมื่อดูจากทิศทางแล้ว หลังพวกมันเลี้ยวมาถึงที่นี่จากอีกซอยหนึ่ง พวกมันก็พุ่งตรงเข้าไปในสวน

ซึ่งก็เธอก็อาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้

เพื่อนบ้านที่นี่ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา อย่าว่าแต่ช่วงเดือนแห่งปีศาจเลย แม้แต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิก็แทบจะไม่มีใครมาหาเธอ แล้วทำไมถึงมีรอยเท้ามากมายขนาดนี้ได้?

ทันใดนั้นเอง ภายในหัวลิเวียพลันรู้สึกงุนงงขึ้นมา จากนั้นความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ยากจะบรรยายได้พลันทะลักออกมาจากในใจของเธอ

ไม่ ใจเย็นก่อน…เธอบอกตัวเองไม่หยุด ไม่แน่อาจจะเป็นแค่พวกโจรที่เข้ามาขโมยของหรือไม่ก็พวกผู้อพยพที่เร่ร่อนมาถึงที่นี่ก็ได้ สำหรับเธอแล้ว สถานการณ์ที่ดูเลวร้ายสำหรับคนอื่นเหล่านี้คือความหวังสุดท้ายของเธอ

แต่ภาพแรกที่เธอเห็นหลังจากเดินสั่นเทาเข้าไปในสวนได้ทำให้ความหวังสุดท้ายของเธอพังทลายลงทันที

หน้าประตูบ้านของเธอมีหน่วยลาดตระเวนสวมเกราะหนังยืนอยู่เต็มไปหมด ในนั้นมีคนหนึ่งแต่งตัวเป็นอัศวิน เมื่อดูจากตราที่อยู่บนหน้าอก พวกเขาเป็นคนของตระกูลเคนท์ที่ปกครองดินแดนทางเหนือ

“ม่ายยยย!”

ลิเวียไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอทิ้งเค้กนมที่หามาอย่างยากลำบาก ก่อนจะก้มหน้าวิ่งทะลุประตูใหญ่เข้าไป

พริบตานั้นเอง เธอได้เตรียมตัวที่จะสู้ตาย

เผลอๆ ศัตรูไม่ต้องลงมือด้วยซ้ำ ขอแค่พวกเขาชักดาบมาขวางหน้าเธอไว้ เธอก็คงจะพุ่งชนมันเข้าไป!

แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือพวกเขาเหมือนไม่ได้สนใจต่อการปรากฏตัวของเธอ หากแต่เอี้ยวตัวหลบ แล้วปล่อยให้เธอวิ่งเข้าไปในบ้าน

ลิเวียที่วิ่งอย่างรีบร้อนสะดุดธรณีประตู กระโปรงของเธอครูดไปกับพื้นที่เย็นเหมือนน้ำแข็งจนฉีกขาด แต่ความเจ็บปวดที่แผ่ขึ้นมาจากหัวเข่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเธอ เธอคลานเข้าไปในห้องนอนเล็กๆ ด้วยน้ำตานองหน้า หวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย แต่ภาพที่เธอคิดเอาไว้นั้นไม่ได้เกิดขึ้น

ผู้หญิงผมสีเขียวครามคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวเตียงพร้อมกับหยอกล้อเล่นกับลูกของตัวเองด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก พี่เลี้ยงเด็กที่ปกติจะคอยช่วยเธอดูแลลูกยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมอยู่อีกด้าน ราวกับว่าอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นเจ้านายของเธอ

จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับกวาดตามองเธอ เพียงแค่การกวาดตามองแวบเดียวก็ทำให้ลิเวียรู้ทันทีว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเธอ ถึงแม้เธอจะมีใบหน้าอันงดงามที่ทำให้คนเห็นแล้วยากจะลืมได้ แต่ลิเวียกลับไม่สามารถเชื่อมโยงเธอเข้าไปผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เธอเคยพบเคยเห็นได้เลย อบอุ่น อ่อนโยน มีเสน่ห์…คำศัพท์ที่ใช้กับเพศหญิงเหล่านั้นไม่เหมาะสมกับเธอเลย ถึงแม้เธอจะอุ้มเด็กน้อยอยู่ แต่ในดวงตาของเธอก็ไม่มีสายตาของความเป็นแม่แม้แต่น้อย

แทนที่จะบอกว่าเธอกำลังเล่นกับเด็กอยู่ ควรจะบอกว่า…เธอกำลังเล่นกับของเล่นอยู่

“สวัสดี” อีกฝ่ายค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นมา “ข้าชื่อเอดิธส์ เคนท์ เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อของข้านะ”

ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ ลิเวียใจสั่นขึ้นมา เธอคือบุตรสาวคนโตของดยุคเคนท์ ผู้หญิงที่ร่ำลือกันว่าพาอัศวินออกไปรบคนนั้นน่ะเหรอ? ฉายาไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก แม้แต่กูลอนเองก็เคยพูดถึงเธออยู่บ่อยครั้ง

บางคนถึงขนาดบอกว่าเธอรับมือได้ยากกว่าดยุคเสียอีก

“สวัสดีเจ้าค่ะ นายหญิง” ลิเวียกลืนน้ำลายพร้อมกับก้มหัวหมอบลงไปกับพื้น “ไม่ทราบว่าที่ท่านมา…..”

เอดิธส์โบกมือ พี่เลี้ยงที่อยู่ข้างๆ รีบทำความเคารพทันที จากนั้นเธอเดินออกไปจากห้องนอนพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้

เมื่อถึงตอนนี้ เธอเข้าใจแล้วว่าพี่เลี้ยงเด็กที่ตัวเองหามาคนนี้ ที่แท้เป็นคนที่ตระกูลเคนท์จัดหามาให้

พวกเขารู้ความลับของเด็กคนนี้อยู่แต่แรกแล้ว

“ข้าจะเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ข้าได้รับคำสั่งมาจากฝ่าบาทว่าให้นำเอาสายเลือดของตระกูลวิมเบิลดันกลับไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์”

“จกานั้น….ก็จะฆ่าเขาอย่างเงียบๆ ใช่ไหมเจ้าคะ?” ลิเวียพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ถ้าแค่ต้องการทำให้เขาหายไป ทำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปถึงเนเวอร์วินเทอร์หรอก” เอดิธส์ดึงหมวกคลุมหัวออก “ฝ่าบาททรงต้องการเหตุผลในการปิดหูปิดตาคนก็เท่านั้น”

ลิเวียงุนงง เธอฟังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร “นายหญิง ข้า…ไม่ค่อยเข้าใจ…”

“เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่เจ้าคิด” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยักไหล่ “เจ้ารู้จักแม่มดไหม?”

……

หลังฟังอีกฝ่ายอธิบายจบ ซิลเวียก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเชื่อมโยงเรื่องทั้งสองเข้าด้วยกันได้ และข้อสรุปที่เธอได้มาก็น่าเหลือเชื่ออย่างมาก! โรแลนด์ วิมเบิลดันตัดสินใจที่จะแต่งงานกับแม่มด เขาก็เลยคิดจะใช้ลูกของกูลอนมากลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน? เธอไม่ค่อยรู้เรื่องพิธีรีตองของพวกขุนนางเท่าไร แต่เธอรู้สึกว่าวิธีนี้มันค่อนข้างแปลกประหลาดไปหน่อย

อีกฝ่ายเป็นถึงราชาของอาณาจักร เขาจำเป็นต้องทำขนาดนี้จริงๆ เหรอ

เธอกัดฟันแล้วรวบรวมความกล้า “นายหญิง ขออภัยที่ข้าไม่อาจเชื่อได้ บางทีตอนนี้ฝ่าบาทอาจจะทรงคิดเช่นนี้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าต่อไปพระองค์จะทรงคิดเช่นนี้อยู่ ถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลง เชลโล่เขา…”

“เชลโล่? นี่คือชื่อของเด็กคนนี้เหรอ?” เอดิธส์เลิกคิ้ว “เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองนะ คำสั่งของฝ่าบาทถือเป็นที่สิ้นสุด เจ้ามีเพียงแค่สองตัวเลือกเท่านั้น นั่นคือรับเงินนี่แล้วหนีไปซะ แล้วก็อย่าได้ถามถึงเรื่องนี้อีก หรือตามข้าไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่จะไม่ใช่ในฐานะแม่ของเขาอีก หากแต่เป็นคนใช้ของตระกูลขุุนนาง”

ลิเวียรู้สึกได้ถึงน้ำตาในดวงตาอีกแล้ว ถูกต้อง สถานะของเธอนั้นต่ำต้อยเกินไป ไม่มีทางที่เธอจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ได้ “แล้วใครจะดูแลเขาแทนข้าเพคะ?”

“ไม่มี”

“เอ๋?” เธอเงยหน้าขึ้นมาทันที น้ำตาไหลลงไปยังมุมปากของเธอ

“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงใจร้ายขนาดนั้น ถ้าเจ้าเลือกทางเลือกที่สอง จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากตอนนี้เลย นอกจากเรื่องฐานะที่เปลี่ยนไปของเจ้า เจ้าจะยังคงได้อยู่ข้างกายเขา ดูเขาเติบใหญ่ ตระกูลขุนนางนั้นได้ถูกศาสนจักรทำลายไปแล้ว ส่วนภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งงานของกูลอนได้ฝากเด็กนี่ไว้กับเจ้าก่อนตาย นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด” เอดิธส์ชะงักไปเล็กน้อย “นอกจากนี้ ข่าวนี้ได้ถูกประกาศได้ยังเมืองต่างๆ แล้ว รวมไปถึงอาณาจักรทางเหนือด้วย อีก 2 – 3 วันเจ้าก็น่าจะได้ยินเรื่องนี้ หากพระองค์ทรงต้องการกำจัดพวกเจ้าจริงๆ ทำไมพระองค์ต้องลำบากทำเช่นนี้ด้วย?”

ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือหมายความว่า…ที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้เธอสบายใจอย่างนั้นเหรอ?”

ลิเวียเอามือกุมหน้าอกไว้ ภายในหัวของเธอมีภาพในคืนนั้นผุดขึ้นมา เธอซึ่งไร้หนทางได้ไปหาโรแลนด์ที่ในตอนนั้นยังเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่อยู่ ส่วนอีกฝ่ายเองก็ยื่นมือมาช่วยเหลือเธอเอาไว้จริงๆ ถึงแม้เขาอาจจะมีเป้าหมายอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่ถ้าไม่ได้เขาช่วยเอาไว้ เกรงว่าเธอคงจะถูกเจ้าของร้านเหล้าตีตายไปแล้ว

เธอสูดหายใจพร้อมกับเช็ดน้ำตา จากนั้นจึงลุกขึ้นมายืน การคุกเข่าเป็นเวลานานทำให้ขาทั้งสองข้างของเธอชา แต่เธอก็ยังพยายามควบคุมร่างกายเอาไว้ “นายหญิง ข้าขอถามหน่อย…เด็กคนนี้มีโอกาสจะได้เป็นราชาหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่มี” เอดิธส์มองอย่างรู้สึกสนใจ “ก่อนออกมาฝ่าบาทส่งรับสั่งเอาไว้ว่าอย่าให้เจ้าคิดเพ้อฝัน ถ้าไม่มีความหวังก็จะไม่ผิดหวัง แต่แน่นอน เรื่องนี้ห้ามไม่ให้เจ้าพูดออกไปด้วย”

“ไม่ นายหญิง ข้าไม่มีทางผิดหวัง ข้าแค่ต้องการให้เขาเติบโตอย่างมีความสุขเท่านั้น” เสียงของลิเวียยิ่งช้าลง เหมือนกับว่าทุกคำพูดของเธอต้องเค้นเรี่ยวแรงจากทั้งร่างกายออกมา “แต่ว่า นี่มันก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องผู้สืบทอดให้กับฝ่าบาทได้ ถ้าเกิดหลังจากนี้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยและแต่งตั้งรัชทายาทตัวจริงขึ้นมา อย่างนั้นอีกฝ่ายก็จะมองเชลโล่กลายเป็นเสี้ยนหนามของเขา เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าเขาคงจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปไม่ได้แน่!” เธอสบตาเอดิธส์แล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ ว่า “ข้ารู้ว่าข้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ถ้าท่านไม่ให้คำตอบที่ฟังดูมีเหตุผลกับข้า อย่างนั้นท่านก็ฆ่าข้าที่นี่เสียเถอะ!”

“โอ้?” เอดิธส์หรี่ตา

นี่มันกลิ่นของความกระหายเลือด

เมื่ออยู่ต่อหน้าเอดิธส์ เธอก็เป็นเหมือนแกะที่อ่อนแอตัวหนึ่ง

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ลิเวียก็ยังไม่ยอมถอย “ถ้าไม่มีคำตอบ ช้าเร็วเรื่องนี้ก็จะต้องกลายเป็นจริงแน่ ถ้าจะให้ข้าส่งลูกของกูลอน วิมเบิลดันไปตาย ข้าทำไม่ได้ นายหญิง!”

แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีคำตอบแน่ แต่ถึงแม้จะมี อีกฝ่ายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาบอกหญิงที่ต่ำต้อยแบบเธอ สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงเท่านี้…ขอโทษด้วนนะกูลอน ลิเวียหลับตาลงเพื่อรอคมดาบที่จะปาดลงมาบนลำคอของเธอ ขอโทษด้วยนะ…ที่รัก เธอเปลี่ยนอะไรไม่ได้ บางทีอีกสิบกว่าปีหลังจากนี้ลูกของเธอจะต้องตายลง แต่อย่างน้อย เธอก็ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจมันออกมาด้วยตัวเอง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทรมานไปจนถึงตอนนั้น

เด็กน้อยเหมือนจะรับรู้ได้ถึงการจากลาที่กำลังจะมาถึง เขาตื่นจากความฝันพร้อมร้องไห้เสียงดัง

เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ลืมตา

เธอกลัวว่าถ้าเธอลืมตาขึ้นมา เธอจะตัดใจไม่ได้อีก

แต่การโจมตีที่ว่าก็ไม่เกิดขึ้น

กระทั่งเอดิธส์พูดยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “ได้สิ”

ลิเวียมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

จากนั้นไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนืออ้าปาก พร้อมพูดคำตอบออกมาโดยไม่มีเสียง นั่นเป็นคำตอบที่น่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เธอกลับเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย มันเหมือนกับเวลาที่เราตกลงไปในน้ำวน แม้แต่เศษหญ้าเส้นหนึ่งก็อาจกลายเป็นความหวังในการเอาชีวิตรอดได้ แล้วนับประสาอะไรกับตัวเธอที่กำลังใกล้ตายล่ะ

แทนที่จะบอกว่าอีกฝ่ายพูดกล่อมเธอ ควรจะบอกว่าเธอพูดกล่อมตัวเธอเองมากกว่า

เอดิธส์เอาเด็กที่กำลังร้องไห้ส่งคืนให้ลิเวีย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางประตู “อีกสามวันออกเดินทาง อย่าลืมเตรียมตัวเก็บของล่ะ”

“นายหญิง…” ในตอนที่เดินสวนกัน เธอพูดพึมพำขึ้นมา “ที่ดีปวัลเลย์มีเจ้าของร้านเหล้าอยู่คนหนึ่ง แล้วก็องครักษ์ของเจ้าชายกูลอนที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน พวกเขาอาจจะรู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ”

“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เอดิธส์ตอบโดนไม่หันหน้ากลับมา

หลังไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือออกไปแล้ว ลิเวียกอดลูกของเธอเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะเสียเขาไป ส่วนลูกของเธอก็หยุดร้องไห้พร้อมกับเอาหัวซุกเข้าไปในหน้าอกของเธอ

ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นแรง เธออดถามตัวเองไม่ได้ว่านั่นมันจะเป็นไปได้ยังไง?

ในการพูดคุยที่ไม่มีเสียง เธอมองเห็นคำตอบที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

มันเป็นคำง่ายๆ แต่กลับมีเวทมนตร์ที่ทำให้คนลุ่มหลง

‘เป็นอมตะ’

นี่คือคำตอบของราชา