ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายในคืนนั้นทำให้หวังเฟยฮู๋ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะได้ยันต์บำบัดช่วยรักษาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่อาการบาดเจ็บภายในก็ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง..
และใช่ว่ายอดฝีมือทุกคนจะมีสมุนไพรล้ำค่าเช่นหลิงหยุน!
หวังเฟยฮู๋เป็นเพียงยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5ธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มาจากตระกูลเก่าแก่ หรือตระกูลร่ำรวย หลายปีมานี้จึงไม่สามารถพัฒนาสู่ขั้นต่อไปได้ และสาเหตุหลักก็คือความยากจนนั่นเอง..
ขั้นเซียงเทียนแบ่งเป็นด่านใหญ่ๆสามด่านและระดับย่อยๆเก้าระดับ ระดับ 1-3 คือด่านแรก ระดับที่ 4-6 คือด่านกลาง และระดับที่ 7-9 คือด่านสุดท้าย!
และสำหรับผู้ฝึกจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้นั้นการจะพัฒนาขึ้นสู่แต่ละระดับนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับพวกเขา แต่ใครจะพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงได้มากเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลา
แต่ที่ยากเย็นแสนเข็ญที่สุดก็คือการที่จะก้าวขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนต่างหาก..
ยกตัวอย่างเช่นฉินตงเฉี่วยเป็นต้นแม้นางจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ และมาจากตระกูลที่นับว่ามีฐานะ แต่ถึงกระนั้นหากไม่ได้พบเจอกับหลิงหยุน ก็ยากนักที่นางจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-3 ได้รวดเร็วเช่นนี้!
และก็ด้วยเหตุผลเดียวกับหวังเฟยฮู๋..นั่นก็คือการขาดแคลนโอสถ และสมุนไพรเพิ่มพลังชีวิตนั่นเอง!
ในเมื่อแม้กระทั่งฉินตงเฉี่วยยังต้องประสบกับปัญหาเช่นนั้นมีหรือที่หวังเฟยฮู๋จะไม่พบเจอ..
ไม่เช่นนั้น..หวังเฟยฮู๋ซึ่งเป็นถึงยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 คงจะไม่ยอมขายตัวรับใช้ตระกูลซันเช่นนั้นแน่!
“คุณชายหลิง..นี่พลังปราณของท่านฟื้นคืนดังเดิมแล้วรึ”
หวังเฟยฮู๋อยู่ในบ้านเลขที่-1มานานหลายวันแล้วเขาไม่ได้หูหนวกตาบอด จึงสามารถคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลิงหยุนบ้าง
“ก็เกือบจะฟื้นคืนกลับมาทั้งหมดแล้วล่ะตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น..”
หลิงหยุนตอบหวังเฟยฮู๋ไปตามตรงโดยไม่คิดที่จะปิดบัง“เข้าไปที่ห้องของท่านกันดีกว่า..”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องของหวังเฟยฮู๋และทันทีที่เข้าไป หลิงหยุนก็สั่งให้หวังเฟยหูขึ้นไปนั่งบนเตียง และจัดการถอดเสื้อผ้าออกให้หมด..
หวังเฟยฮู๋ถึงกับกระแอมออกมาเบาๆพร้อมกับใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง..
“ฮ่า..ฮ่า.. เป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน ท่านยังเขินอายอีกงั้นรึ ข้าให้ท่านถอดเสื้อผ้าออกเพราะจะได้ฝังเข็มสะดวกมากขึ้น..”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า‘ข้าไม่คิดที่จะเชยชมเรือนร่างของเจ้าแน่..’
ระหว่างนั้น..หลิงหยุนก็ได้เรียกตระกร้าสมุนไพรที่สาวงามได้เตรียมเพิ่มไว้ให้กับตนเองออกมาจากแหวนพื้นที่ และจัดการหยิบโสมพันปีออกมาหนึ่งกำมือส่งให้กับหวังเฟยฮู๋ พร้อมกับสั่งว่า
“เคี้ยวก่อนแล้วค่อยกลืน..”
“นี่..นี่มันคือ..”
“โสมพันปี!”
หวังเฟยฮู๋ถึงกับตกใจจนแทบเสียสติเขาร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “ห๊ะ โสมพันปีงั้นรึ?”
หวังเฟยฮู๋ทำงานให้ตระกูลซันมานานหลายปีอย่าว่าแต่โสมพันปีเลย แม้แต่โสมร้อยปีเขายังไม่เคยได้รับ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะใช้โสมพันปีนี้รักษาอาการบาดเจ็บให้กับตนเอง..
หลิงหยุนถือเข็มทองไว้ในมือพร้อมกับหัวเราะออกมา“ท่านหวัง.. เหตุใดจึงต้องตื่นเต้นเช่นนี้ด้วยเล่า ความจริงข้าพูดผิดไปหน่อย.. นี่ไม่ใช่โสมพันปี แต่มันคือโสมอายุมากกว่าสองพันปีต่างหาก ท่านรีบๆกินเข้าไปเร็วเข้า ข้าจะได้รีบรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้..
“พรุ่งนี้ข้ายังมีธุระต้องทำอีกมากมาย..”
“ขอบคุณคุณชายหลิง!”
หวังเฟยฮู๋รีบหยิบโสมพันปีสองสามชิ้นเข้าปากเคี้ยวและกลืนลงท้องไปทันที
“เอาล่ะ..จัดการเดินลมปราณด้วยวิชาที่ท่านเคยฝึก บังคับพลังชีวิตจากโสมพันปีนี้ให้ไหลเข้าสู่จุดตันเถียน ส่วนข้าก็จะใช้วิชาเก้าเข็มปลุกชีพช่วยท่านฟื้นฟูกำลังภายใน!”
หลิงหยุนลุกขึ้นจากเตียงและจัดการฝังเข็มลงไปตามจุดต่างๆ บนร่างกายของหวังเฟยฮู๋อย่างรวดเร็ว..
และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่การฝังเข็มธรรมดาๆหลิงหยุนฟื้นฟูพลังปราณในร่างกายของตนเองได้แล้ว เข็มทองทุกเล่มที่ฝังลงไปตามจุดฝังเข็มต่างๆนั้น เขาได้ถ่ายเทพลังชีวิตเข้าไปช่วยซ่อมแซมเส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มที่เสียหายให้กับหวังเฟยฮู๋ด้วย..
สิบนาทีต่อมา..
หลิงหยุนยืนมองหวังเฟยฮู๋ที่มีเข็มทองปกคลุมอยู่ทั่วร่างแล้วจึงถามขึ้นว่า “ท่านหวัง.. ท่านรู้สึกเช่นใดบ้าง”
“อืมม..”
หวังเฟยฮู๋รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างที่สุดจนถึงกับพึมพำออกมาก่อนจะร้องบอกหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“คุณชายหลิง..ฉายาหมออมตะของท่านช่างสมคำร่ำลือมากจริงๆ ข้ารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บตามเส้นลมปราณต่างๆ เริ่มดีขึ้นมากแล้ว..”
ลักษณะอาการบาดเจ็บของเส้นลมปราณนั้นก็จะคล้ายๆกับท่อที่มีรอยแตกหัก หรือท่อที่ลีบเล็กจนเกิดการตีบตัน หรือไม่ก็คล้ายกับท่อที่มีของเสียออุดตันอยู่ อะไรทำนองนี้นั่นเอง..
และวิธีรักษาเส้นลมปราณที่มีปัญหาเช่นนี้ก็คือการใช้พลังปราณขับของเสียที่อุดตัน หรือใช้พลังปราณขยายท่อที่ตีบตันนี้ให้ใหญ่ขึ้น จนกระทั่งลมปราณสามารถไหลเวียนได้สะดวกดังเดิม..
และด้วยพลังชีวิตจากสมุนไพรล้ำค่าอย่างโสมพันปีประกอบกับวิชาเก้าเข็มปลุกชีพของหลิงหยุน อาการบาดเจ็บภายในของหวังเฟยฮู๋จึงสามารถฟื้นคืนสภาพได้อย่างรวดเร็ว..
หลังจากเดินลมปราณภายในร่างกายไปครู่หนึ่งแล้วพลังปราณภายในร่างกายของหวังเฟยฮู๋ก็เริ่มหมุนเวียนได้เร็วยิ่งขึ้น..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโสมพันปีอีกสองสามชิ้นใส่เข้าไปในปากของหวังเฟยฮู๋พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ..เคี้ยวและกลืนโสมนี้ลงไปอีก จากนั้นนั่งทำสมาธิ และเดินลมปราณไปเรื่อยๆ เดี๋ยวข้าจะกลับมาเอาเข็มออกให้..” ไอลีนโนเวล
หลิงหยุนไม่รอให้หวังเฟยฮู๋ได้เอ่ยขอบคุณและรีบเดินออกไปจากห้องของเขาทันที
…………
“เจ้านายที่เคารพ..”
ในเวลานั้น..แวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งสองตน – พอลกับเจสเตอร์ ก็ได้มารอที่ห้องรับแขกอยู่นานแล้ว
ส่วนถังเมิ่งนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง..เขาแอบไปที่ห้องเก็บของหลังบ้าน และจัดการกับนักบวชเลี่ยยื่อ และซือกงวู่จี๋ผู้โชคร้าย..
หลิงหยุนมองบริวารแวมไพร์ผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองทำความเคารพตามแบบธรรมเนียมตะวันตกและได้แต่คิดอยู่ในใจว่าจะถามเรื่องพลังแปลกประหลาดนั่นกับแวมไพร์ทั้งสองตนดีหรือไม่
แต่แล้วหลิงหยุนก็ตัดสินใจที่ไม่ถามและสั่งว่า “เอาล่ะ.. เริ่มทำงานกันด้าแล้ว!”
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจไปรอบๆจากนั้นจึงร้องตะโกนสั่งแวมไพร์ทั้งสองตน
“เจสเตอร์..เจ้าย้ายหินตรงนั้นมาวางไว้ตรงที่ข้ายืน!”
หลิงหยุนกำลังวางค่ายกลหลุมพลังภายในบ้านเลขที่-1ใหม่อีกครั้ง!
หลิงหยุนไม่อธิบายอะไรมากมายเขาย้ายตำแหน่งที่ยืนไปเรื่อยๆ และสั่งให้พอลกับเจสเตอร์นำก้อนหินมาวางตรงตำแหน่งเท้าของตนเอง
ความจริงแล้วหากรอให้พลังปราณของเขาฟื้นฟูถึงจุดสมบูรณ์สูงสุดเช่นเดิมการวางค่ายกลหลุมพลังก็เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว แต่เขาไม่ต้องการรอต่อไปอีกถึงสิบกว่าวัน..
การมีค่ายกลหลุมพลังและไม่มีนั้นแตกต่างกันอย่างมาก..
หากไม่มีค่ายกลหลุมพลังพลังชีวิตที่ถูกปลดปล่อยมาจากตลาดค้าของเก่าก็จะเสียเปล่า อีกทั้งภายในบ้านของหลิงหยุนเองก็ยังปลูกสมุนไพรที่มีพลังชีวิตล้ำค่าไว้ถึงสามต้น ที่ผ่านมาหลิงหยุนต้องปล่อยให้พลังชีวิตระเหยไปอย่างเสียเปล่านั้น เขาก็รู้สึกเสียดายมากแล้ว..
และด้วยพลังจิตหยั่งรู้ที่มีรัศมีการรับรู้เพียงแค่สิบเมตรของหลิงหยุนเวลานี้เขาจึงสามารถคำนวนตำแหน่งระยะของค่ายกลหลุมพลังได้ไม่กว้างนัก และอีกยี่สิบนาทีต่อมา.. หลิงหยุนก็จัดการวางค่ายกลหลุมพลังได้สำเร็จ
ในขั้นตอนสุดท้ายคือการวางหินในตำแหน่งของดวงตาค่ายกลและก่อนหน้านี้หลิงหยุนใช้ก้อนหินธรรมดาวางในตำแหน่งดวงตา แต่ในครั้งนี้หลิงหยุนได้เรียกหยกซึ่งมีขนาดเท่าลูกฟุตบอลออกมาจากแหวนพื้นที่..
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้เรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาก่อนจะทำการปักปลายกระบี่ลงดิน และจัดการขุดหลุมที่มีความลึกราวครึ่งเมตร แล้วจึงจัดการวางก้อนหยกกลมนี้ลงไปในหลุม ก่อนจะกลบด้วยดินด้านบน..
และทันทีที่จัดการฝังหยกก้อนกลมลงไปที่ดวงตาค่ายกลพลังชีวิตจากตลาดค้าของเก่า จากทะเลสาบจิงฉู และจากต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่บนภูเขา ต่างก็ถูกดูดเข้าไปไว้ในบ้านเลขที่-1 อย่างรวดเร็ว..
“สำเร็จ..ยอดเยี่ยมทีเดียว!”
หลิงหยุนยืนชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตนเองอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว เขาก็กระโดดไปยังสมุนไพรล้ำค่าทั้งสามต้น เพื่อสังเกตดูความเจริญเติบโตของมันอย่างละเอียด
“หากในคืนนั้นไม่มีค่ายกลลวงตาพวกเจ้าคงจะได้รับความเสียหายอย่างมากมายสินะ..” หลิงหยุนได้แต่นึกขอบใจไป๋เซียนเอ๋ออยู่เงียบๆ
ส่วนสมุนไพรที่ย้ายจากบ้านท่านหมอเสี่ยวมาปลูกที่สวนด้านตะวันตกของบ้านเลขที่-1นั้น เสียหายไปกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่นั่นไม่ใช่สมุนไพรล้ำค่ามากมายอะไรนัก หลิงหยุนจึงไม่รู้สึกเสียดายมากมาย..
“อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะโตเต็มวัยพร้อมรับการปรุงเป็นโอสถแล้วสินะ..”
ในบรรดาสมุนไพรทั้งสามต้นนั้นหญ้าน้ำลายมังกรดูเหมือนจะโตช้าที่สุด แต่ตอนนนี้ลำต้นของมันก็เริ่มมีลักษณะคล้ายกับมังกรบ้างแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเติบโตขึ้นมากทีเดียว..
“พวกเจ้าจะมีประโยชน์กับข้ามากเลยทีเดียว..”
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างอารมณ์ดีจากนั้นจึงหันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์ว่า “พวกเจ้าสองคนต้องปกป้องบริเวณนี้ให้ดีเท่าชีวิต! พวกเจ้าสองคนต้องสลับสับเปลี่ยนกัน ห้ามทิ้งพวกมันไว้ตามลำพังโดยเด็ดขาด หากคนใดคนหนึ่งต้องออกไปนอกบ้าน อีกคนต้องอยู่เฝ้า..”
พอลกับเจสเตอร์พยักหน้ารับคำสั่งพร้อมกันทันทีจากนั้นหลิงหยุนจึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของหวังเฟยฮู๋
หวังเฟยฮู๋เดินลมปราณอย่างต่อเนื่องและด้วยฤทธิ์ของโสมพันปี พลังความร้อนรอบๆตัวของหวังเฟยฮู๋ จึงได้ลอยขึ้นไปรวมกันอยู่เหนือศรีษะของเขา และเปล่งประกายสว่างไสว
แต่แสงสว่างที่ว่านี้ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่หลิงหยุนเห็นด้วยจิตหยั่งรู้ของตนเอง!
การเดินทำสมาธิเดินลมปราณจนพลังปราณในร่างกายบริสุทธิ์เช่นนี้นั้นเป็นการบ่งบอกว่าเส้นลมปราณวิสามัญทั้งแปดแข็งแกร่งไม่เบาทีเดียว และนั่นทำให้หลิงหยุนรู้ว่าอาการบาดเจ็บภายในของหวังเฟยฮู๋นั้น ฟื้นคืนเป็นปกติถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว..
“ท่านหวัง..ข้าไม่ใช่คนขี้เหนียวเช่นนั้น! ท่านหยิบโสมพันปีกินเข้าไปอีก”
เมื่อเห็นว่าหวังเฟยฮู๋ยังต้องการที่จะเดินลมปราณต่อหลิงหยุนจึงรีบร้องบอกทันที และได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่าที่
‘ผ่านมาท่านหวังคงยากจนมากสินะ..’
หวังเฟยฮู๋หยุดเดินลมปราณและรีบลืมตาขึ้นทันที เขาจ้องมองหลิงหยุนด้วยดวงตาเป็นประกาย และรีบลุกจากเตียงทั้งที่เข็มทองยังปักอยู่ทั่วร่าง..
“ขอบคุณคุณชายหลิงยิ่งนัก!”
หลิงหยุนยืนรับการคาราวะจากหวังเฟยฮู๋ด้วยท่าทีสงบนิ่งจากนั้นจึงร้องตอบไปว่า
“ดูเหมือนอาการบาดเจ็บภายในของท่านจะดีขึ้นมากแล้วแต่ถึงอย่างไรก็ยังคงต้องพักต่ออีกสักสองสามวัน หลังจากนั้นข้าจะช่วยให้พัฒนาสู่ขั้นต่อไป..”