บทที่ 363
อีกตำหนักหนึ่ง
อีกตำหนักหนึ่ง
สาวสวยน่ารักกำลังนั่งทำปากจู๋อยู่ เธอรู้สึกไม่พอใจ เธอยังไม่ได้เจอองค์จักรพรรดิผู้เป็นตำนานเลยด้วยซ้ำแล้วจะประกาศตำแหน่งมเหสีออกมาได้ยังไงกัน
ด้วยวัยดอกไม้แรกแย้มทำให้เธอมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ถึงแม้เธอจะน่ารำคาญอยู่นิดหน่อยก็ตาม
“นายหญิงเจ้าค่ะ ทำปากแบบนั้นนี่เอากาน้ำชามาแขวนได้เลยนะเจ้าคะ นี่ท่านกำลังคิดถึงองค์จักรพรรดิอยู่งั้นเหรอเจ้าคะ?” สาวใช้ที่โตมาเคียงข้างกับเธอดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยว่าที่นี่คือพระราชวัง ที่นี่ไม่ใช่บ้านที่พวกเธอโตมาด้วยกัน ถึงได้กล้าที่จะเอาเรื่ององค์จักรพรรดิมาพูดล้อเล่นกันแบบนี้
“ไร้สาระน่า องค์จักรพรรดิจะทำอะไรก็ได้ ข้าก็แค่รู้สึกเสียใจแทนพระองค์” เธอไม่รู้ว่าองค์จักรพรรดิหน้าตาเป็นยังไง อย่างไรก็ตามเขาจะต้องเป็นผู้ชายที่ทรงอำนาจหาที่เปรียบไม่ได้แน่ๆถึงได้สามารถที่จะครองอาณาจักรนี้มาได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สาวน้อยก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีและหัวใจเธอก็เฝ้ารอ
“ตามกฎแล้วนายหญิงควรที่จะได้เป็นพระมเหสี มันควรที่จะเป็นแบบนั้นสิเจ้าค่ะ” แต่เมื่อไม่มีประกาศแจ้ง พวกเธอก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรรีบร้อน
สาวน้อยหันสายตามาและจู่ๆเธอก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่ามเหสีที่ได้อยู่เคียงชายที่ดีที่สุดในโลกจะหน้าตาเป็นยังไง
นางจะสวยหรือเปล่า? นางจะสวยกว่าเธอหรือเปล่า?
องค์จักรพรรดิยังไม่เคยก้าวเข้ามาเหยียบตำหนักด้านหลังเลย ดังนั้นพวกเธอจึงยังไม่เคยเห็นหน้ากัน ถ้าพระองค์ได้เห็นความสวยของเธอ ทุกอย่างก็อาจจะเปลี่ยนไป
แต่เมื่อเธอนึกถึงคำแนะนำของครอบครัวก่อนที่เธอจะเข้ามาในวัง ปากเธอก็มุ่ยขึ้นกว่าเดิมอีก
จักรพรรดิบอกเธอว่าที่ฮาเร็มก็ไม่ได้ดีไปกว่าที่อื่นและในวังไม่มีคำว่ามิตรภาพ และเธอจะต้องปรนนิบัติองค์จักรพรรดิอย่างดี
องค์จักรพรรดิแน่นอนว่าเธอต้องดูแลอย่างดีอยู่แล้ว
ต่อไปองค์จักรพรรดิเป็นทังหมดของเธอ เป็นที่พึ่งเดียวของเธอและเป็นสามีเธอด้วย สามีเธองั้นเหรอ?!
ต่อไปเธอจะเรียกเขาแบบนั้นได้หรือเปล่า น่าอายจริงๆเลย
สาวใช้ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี เธอเพียงแค่รู้ว่าตอนนี้นายหญิงหน้าแดงระเรื่อแล้วดูสวยมาก ท่านหญิงเป็นสาวสวยน่ารักเสมอ และมีลูกชายของเหล่าขุนนางมากมายมาขอแต่งงาน เพียงแค่ว่าท่านหญิงไม่มองพวกคนธรรมดาพวกนั้นต่างหาก
“เสี่ยวชุ่ย เอาหยกสีเหลือดที่เอามาจากบ้านออกมาที เราจะไปเยี่ยมพระมเหสีกัน”
เธอต้องทำทุกอย่างหลังจากที่ถูกทิ้ง แต่เธอจะไม่รีบร้อน นี่ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นพระมเหสีตอนนี้ซะหน่อย อีกอย่างองค์จักรพรรดิคงจะยกตำแหน่งให้นางแค่เพราะนางเคยช่วยพระองค์มาก่อน พระองค์ไม่ได้ชอบนางจริงๆ
“เจ้าค่ะท่านหญิง”
ดูเหมือนจะมีหลายคนที่คิดแบบเดียวกับเด็กสาว ที่ตำหนักของพระมเหสีดูเหมือนจะมีคนนัดเพื่อมาขอเข้าพบมากมาย แม้แต่องค์หญิงแห่งดินแดนสายลมก็ไม่เว้น
เธอไม่เข้าใจเลยว่าหลินหยางเป็นคนยังไง ระหว่างที่เธออยู่ที่ดินแดนดำมืด เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนเลย เห็นก็เพียงแต่พระมเหสีมู่หรงเสวี่ย
เธอไม่รู้เลยว่าท่านเฟิงหายไปไหนอีกแล้ว?! เมื่อได้เห็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย บางทีอาจจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
ยังไงซะเธอก็รู้เรื่องที่ไม่ควรจะรู้ใช่ไหมล่ะ? ถ้าพระมเหสีถูกบังคับก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ พวกเธอจะได้มีศัตรูคนเดียวกัน
เฟิงอู๋ซีคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย เธอเชื่อว่าถ้าผู้หญิงรักใครสักคนอย่างลึกซึ้ง นางก็คงไม่ยอมที่จะขึ้นเป็นพระมเหสีแน่ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้ามีความโลภในตำแหน่งที่สูงศักดิ์ เพียงแค่ว่ามู่หรงเสวี่ยไม่ได้เลือกหลินหยางในช่วงที่นางลำบาก ดังนั้นเธอจึงคิดว่าตอนนี้มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้
จะต้องถูกบังคับแน่ๆ เมื่อคิดได้แบบนี้ เฟิงอู๋ซีก็เผยรอยยิ้มเปล่งประกายปัดเป่าหมอกดำมืดก่อนหน้านี้ไปจนหมด
มู่หรงเสวี่ยกำลังนอนอยู่บนโซฟาท่ามกลางแสงแดด
เธอส่งเฟิงจือหลิงเข้าไปในมิติลับเพื่อช่วยในการฝึก เสี่ยวฉิง ยังไงซะระดับความสำเร็จของเสี่ยวฉิงก็ยังต่ำมาก เป็นเพราะความไม่ทันได้คิดของเธอเองที่ลืมเรื่องช่องว่างระหว่างพวกเธอ โชคดีที่มิติลับไม่มีสิ้นสุด
หนึ่งในสาวใช้ที่อยู่อีกด้านกำลังคอยพัดให้มู่หรง อีกคนก็กำลังปอกเปลือกองุ่นเพื่อให้เธอกิน ส่วนอีกคนก็กำลังถือร่มอยู่ข้างหลังเธอ
นอกจากนี้ยังมีสาวใช้อีกสองสามคนที่ช่วยคอยหยิบโน้นหยิบนี่ให้เธออีก ไม่ต้องพูดเลยว่านี่จะสบายมากแค่ไหน
ตอนแรกเธอเองก็ไม่ค่อยจะชินเท่าไร แต่ทุกครั้งที่เธอปฏิเสธ เหล่าสาวใช้และขันทีก็จะร้องไห้คร่ำครวญราวกับว่าพวกเขาจะตายหรือราวกับว่าเธอจะพาพวกเขาไปขายอย่างงั้นแหละ
ไม่นานหลังจากนั้นกลุ่มของสาวสวยก็เดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
“พระมเหสี ขอทรงอายุยืนเป็นหมื่นๆปี” คนแรกที่พูดคือองค์หญิงจากดินแดนแห่งสายลม
มู่หรงกลืนองุ่นเข้าไปและพูดออกมาอย่างไม่สนใจ “ลุกขึ้น”
หลินหยางนี่โชคดีจริงๆเลย มีผู้หญิงสาวๆสวยๆมากมายขนาดนี้ มู่หรงจ้องไปทั่วๆ มีทั้งสาวทรงเสน่ห์, น่ารัก, นิ่งสงบ, เซ็กซี่ มีสาวสวยหลากหลายรูปแบบเลยจริงๆ
มีคนหนึ่งที่เธอรู้จักและไม่ค่อยจะประทับใจเท่าไรนั่นก็คือ เฟิงอู๋ซี
“มาเถอะ เข้ามานั่งก่อน” เพราะได้รับการฝึกมาอย่างดี เหล่าขันทีจึงรีบจัดเรียงเก้าอี้เป็นแถวให้นั่งฝั่งตรงข้ามกับ มู่หรงเสวี่ย ถึงแม้แสงอาทิตย์จะเปล่งประกายก็ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปในตำหนัก
หน้าตาของพระมเหสีเป็นแบบนี้นี่เอง สิ่งที่พวกเธอจินตนาการไว้ไม่ใช่แบบนี้เลย ไม่ใช่เพราะเรื่องหน้าตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารูปร่างหน้าตาของมู่หรงเสวี่ยสวยอย่างมาก แต่พระมเหสีนั่งกันแบบนี้งั้นเหรอ?!
นางนั่งยกขาขึ้นไปบนอากาศแบบนั้นได้ยังไงกัน ชั่วขณะหนึ่งที่หัวใจของสาวน้อยตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ผู้หญิงแบบนี้จะคู่ควรกับองค์จักรพรรดิได้ยังไงกัน
ถ้าเป็นพวกนางก็คงจะทำได้ดีกว่านี้มาก
องค์หญิงเฟิงอู๋ซีไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ตั้งแต่ที่เธอเห็น มู่หรงเสวี่ยมา นางก็เป็นแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าท่าทางนางดูมีความสุข ไม่ได้ดูเศร้าโศกอะไรเลย ไม่ใช่การบังคับงั้นเหรอ?! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สีหน้าของอู๋ซีก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรและคนอื่นๆก็ไม่กล้าที่จะเริ่มพูดก่อนด้วย ไม่มีใครรู้ว่าอารมณ์ของพระมเหสีเป็นยังไง พวกเธอต่างก็หน้าตาสวยกันหมด แล้วจะมีข้าอ้างอะไรให้ไม่ฆ่าพวกเธอได้ล่ะ?! นี่ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงหรอก พวกเธอยังไม่ทันได้เจอองค์จักรพรรดิเลยด้วยซ้ำ พวกเธอต่างก็กลัวว่าต่อให้พวกเธอต้องตายไปองค์จักรพรรดิก็คงไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ดังนั้นในชั่วขณะนี้จึงเป็นบรรยากาศที่เงียบมาก
มีเพียงเสียงกินของมู่หรงเสวี่ยเท่านั้นที่พอจะได้ยิน เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหูของเหล่าท่านหญิงที่ถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่าไม่ให้เคี้ยวเสียงดัง เรื่องนี้ยิ่งทำให้คิดว่าพระมเหสีไม่สมกับเป็นมเหสีมากเข้าไปใหญ่
สีหน้าของสาวน้อยแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ในใจจนหมด มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มแสยะ อย่างไรก็ตามเธอไม่ชินกับการต้องเริ่มพูดโจมตีใครก่อนด้วย และนี่ก็เป็นฮาเร็วของหลินหยางซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย เธอเพียงแค่ต้องคอยดูแลแทนเขาเท่านั้น
ส่วนเรื่องความริษยาของผู้หญิงพวกนี้ เธอจะทำเป็นมองไม่เห็นและจะจัดการเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเท่านั้น ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เธอก็จะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะ
หลังจากที่เงียบกันอยู่นาน เหล่าสาวๆที่นั่งอยู่ก็เริ่มที่จะทนไม่ไหวแล้ว
แสงอาทิตย์ก็แรงและพวกนางก็ไม่เหมือนกับมู่หรงที่มีร่มคอยบังแดดให้ ปกติแล้วพวกนางจะอยู่แต่ในตำหนักอย่างสบาย
เพียงแค่ไม่นานพวกนางก็เหงื่อออกและใบหน้าก็เริ่มที่จะแสบร้อนเพราะแสงแดด
“พระมเหสี นี่เป็นของที่ข้าเอามาจากที่บ้าน ข้าหวังว่าท่านจะชอบ” หลิวจือหลิงแสดงความเคารพตามธรรมเนียมและเผยรอยยิ้มน่ารัก เธอดูไร้เดียงสาแต่ก็น่ารักมาก
มู่หรงมองไปที่ของ มันคือชิ้นหยกสีเลือด “แหม ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน” แต่ก็ไม่ได้หยิบขึ้นมา สาวใช้ที่อยู่ข้างๆจึงรับมาและเอามาวางที่โต๊ะข้างๆเธอ
ดวงตาของหลิวจือหลิงแวบประกายแล้วจึงยิ้มต่อ “ข้าเกรงว่าพระมเหสีคงจะไม่ชอบ”
“ไม่หรอก มันสวยดี” มู่หรงเสวี่ยกินองุ่นอีกคำ
มันสวยมากแต่กลับไม่มองเลยสักนิด นี่คิดจะดูถูกประสบการณ์ของเธอหรืออำนาจของเธอกันแน่ หรือว่าพอเป็นพระมเหสีแล้วก็เลยชอบแต่ของหายากกัน
แต่ไม่ว่าในใจเธอจะคิดอะไรมากมายแค่ไหน แต่สีหน้าของเธอก็ยังยิ้มแย้ม ก่อนที่จะได้เจอองค์จักรพรรดิ ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องญาติดีกับพระมเหสีก่อน
“พระมเหสีทรงพอพระทัยมาก” หลิวจือหลิงโค้งหัวด้วยความเขิน ทำท่าทางไร้เดียงสา
คนอื่นๆที่เห็นต่างก็เอาสมบัติล้ำค่าจากบ้านเกิดมามอบให้ด้วยเช่นกัน
มู่หรงยิ้มรับทีละคนๆแต่ไม่เคยรับของขวัญชิ้นไหนเลย หลังจากเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็เริ่มที่จะทนไม่ไหวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่มีผู้หญิงมากมายขนาดนี้
“ข้าเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะนะ ช่วงนี้องค์จักรพรรดิงานยุ่งมาก ข้าจะให้ทางวังหลวงดูแลพวกเจ้ามากกว่านี้ ถ้ามีอะไรที่ต้องการก็แจ้งมากับพ่อบ้านใหญ่ได้เลยนะ ช่วงนี้พวกเจ้าก็พักผ่อนกันตามสบายไปก่อนนะ เชิญกลับได้” มู่หรงเสวี่ยโบกมือ
“เจ้าค่ะพระมเหสี” กลุ่มของสาวสวยที่ตอนเข้ามาดูสวยงามยังไง ตอนขากลับเดินออกไปก็ไม่ลืมท่วงท่าที่อ่อนช้อยสวยงามเลย
เหลือเพียงแค่องค์หญิงแห่งดินแดนสายลมที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนและไม่ลืมที่จะมองไปรอบๆเผื่อว่าจะได้เจอองค์จักรพรรดิโดยบังเอิญบ้าง
มู่หรงเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรหรือเปล่า?”
เฟิงอู๋ซีไม่มีท่าทางอะไรหลังจากที่ทำความเคารพ และพูดออกมาเสียงเรียบ “ข้าขอคุยกับพระมเหสีตามลำพังหน่อยได้หรือเปล่า?”
น่าสนใจ อยากจะคุยตามลำพังงั้นเหรอ?! ดีเลย เธอเองก็กำลังเบื่ออยู่พอดี
มู่หรงหันไปพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆเธอ “ทุกคนออกไปก่อน และห้ามเข้ามาจนกว่าจะได้คำสั่ง”
“เจ้าค่ะพระมเหสี” แล้วร่างที่อยู่ในสวนก็เดินออกไปทันที
“เจ้าเองก็ออกไปก่อนด้วย” เฟิงอู๋ซีพูดกับเสี่ยวหงที่อยู่ข้างๆเธอ
สาวใช้ไม่กล้าที่จะพูดอะไรแต่เชื่อฟังและเดินออกไปทันที
“มาเถอะ ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็เข้าไปพูดกันข้างในเถอะ” ตรงนี้ถึงแม้จะลมเย็นสบายแต่เธอก็ไม่สนใจที่จะอยู่ตรงนี้แล้ว
“แล้วท่านเฟิงล่ะ?” เฟิงอู๋ซีไม่ได้มีท่าทางขวยเขินแต่กลับถามออกมาตรงๆ พร้อมทั้งจ้องดูอาการของมู่หรงเสวี่ยด้วย
มู่หรงเงียบไปชั่วขณะแล้วจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มแสยะ “ทำไมเหรอ? เจ้าชอบเขาหรือไง?” เธอยังจำได้ว่าองค์หญิงให้ความสนใจกับเฟิงจือหลิงเป็นพิเศษ
“พระมเหสีเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าก็แค่รู้สึกสงสารเขา ท่านเฟิงคงจะรักท่านมากๆ”
องค์หญิงแห่งดินแดนสายลมทำเป็นแกล้งเช็ดน้ำตาที่ห่างตาทั้งๆที่ไม่มีอะไรให้เช็ด พร้อมทั้งห่างตาที่คอยเช็กอาการของมู่หรงอยู่เรื่อยๆ
มู่หรงมีอาการจริงๆด้วย ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นก็ตาม
อย่างไรก็ตามเธอเองก็คาดเดาจุดประสงค์ของเรื่องนี้ไว้บ้างและตอนนี้ก็ตอบออกไปว่า “ก่อนหน้านี้เขาทำเรื่องที่ผิดพลาดไปหน่อย” ที่สีหน้าของเธอมีร่องรอยของความเศร้า อู๋ซีรู้สึกใจชื้นขึ้นมาแต่ก็ยังไม่แสดงท่าทางอะไร เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆด้วย!
อย่างไรก็ตามเธอก็ยังไม่กล้าที่จะแสดงอะไรออกไปมาก “ท่านเฟิงเป็นคนที่ดีมาก น่าเสียดาย ข้าหวังว่าเขาจะสามารถกลับมาได้ในเร็วๆนี้” เธอเกรงว่าเขาคงจะไม่ได้กลับมาเลยตลอดชีวิต หลินหยางคงจะต้องขังเขาไว้เพื่อเป็นการขู่มู่หรงเสวี่ยแน่ๆ