เหตุการณ์ขโมยภาพเขียนจีน

ซูจิ้งต้องการรู้ว่าถ้าหนอนแดงเข้าไปในร่างกายมนุษย์จะทำให้เกิดอะไรขึ้น ในกรณีนี้เป็นไปได้ว่าเมื่อหนอนแดงชอนไชเข้าไปแล้วจะไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกาย

 

เนื่องจากหนอนแดงได้บอกกับเขาว่ามันไม่ได้พยายามทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเขา และเขาก็เชื่อในคำพูดของมัน อย่างน้อยๆ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายแน่นอน ไม่สิเจ้าหนอนก็ดูไม่ได้รีบเร่งจะต้องฝังเข้าไปในร่าง

 

ปัญหาคือหนอนแดงมันดูน่าขยะแขยงเกินไป และเขาเองก็ไม่ต้องการที่จะใช้ร่างกายตัวเองทดสอบด้วย นอกจากนั้นตัวเขาเองก็ไม่ได้มีเวลามากมายนัก ปล่อยให้มันอยู่ในโหลไปก่อนละกัน เมื่อมีโอกาสค่อยลองหาใครมาทดสอบดู

 

ซูจิ้งเริ่มจัดการกับขยะต่อ ตอนนี้ไม่มีไวน์ในไหไวน์แล้ว ไวน์ทั้งหมดหายไปกับหนอนแดงหมดแล้ว กลิ่นของไวน์ยังลอยหึ่งมาจากหนอนแดงอยู่เลย

หลังจากที่เขาหันหน้าไปอีกทางอื่น เขาก็พบต้นไม้บางอย่างคล้ายกับต้นเบอรีน ซูเจิ้งกำลังที่จะหยิบมันขึ้นมาดู

 

ทันใดนั้นเขาก็เลยต้องหยุดมือในขณะที่จะจับมัน เขาปลดปล่อยพลังจิตแล้วจึงได้ดึงสิ่งที่คิดว่าเป็นตั๊กแตนออกมาจากกองขยะ เมื่อดึงมันออกมากลับกลายเป็นอย่างอื่นที่ยิ่งกว่าตั๊กแตน

 

เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ตอนแรกคิดว่าเป็นตั๊กแตนนั้นมันมีรูปร่างเหมือนแมลงปอ แต่ปีกของมันใหญ่เหมือนปีกของผีเสื้อ มีตัวหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด ตัวของมันแบนราบมีสีเลือดกระจายออกไปรอบตัว รอบๆ นั้น มีแมลงปอตัวอื่น 6-7 ตัวที่เล็กกว่ารายรอบไม่มีท่าทีที่จะถอยห่างออกไป

ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังจิตเข้าไปตรวจสอบมัน เขาพบว่าตัวใหญ่ไม่มีการตอบสนองแสดงว่ามันตายไปแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กๆ รอบตัวมันจะเป็นลูกๆ ของมัน และเป็นลูกๆ ของมันที่ไม่ยอมห่างไปไหน มันเป็นแมลงที่มีจิตสำนึก

 

“วันนี้ฉันเป็นอะไรกับแมลงกันนะ ไปขุดแมลงมาจากไหนเยอะแยะ แมลงพวกนี้ช่างดูมืดมนยกเว้นก็เพียงปีกใหญ่ๆ ของมัน ” ซูจิ้งจิ้มหนึ่งในพวกมันแล้วหยดเลือดของมันลงบนหยกหมื่นอสูรและได้สอบถามเรื่องราวของพวกมัน แต่พวกมันก็ทำได้เพียงแต่ร้องไห้อย่างหนัก พร่ำร้องเรียกหาแม่ของมัน ซูจิ้งพยายามอีกครั้งแต่ก็พบว่าแมลงปอพวกนี้ช่างออนแอและทำอะไรไม่ได้เลย

 

ซูจิ้งทำได้แต่เพียงรู้สึกเซ็งๆ เล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงจับพวกมันใส่โหลแก้วและเตรียมที่จะเลี้ยงพวกมัน ตอนแรกเขาได้โยนศพของเจ้าตัวใหญ่เข้าไปก่อนทำให้พวกลูกๆ หยุดร้องไห้และพยายามที่จะทำลายโหลนั้น จนกระทั่งหัวของมันเริ่มมีเลือดไหล จนกระทั่งเมื่อเข้าไปได้ทั้งตัวพวกมันถึงหยุดวุ่นวาย เขาช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดี มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าใจเรื่องของครอบครัวแมลงนี้

 

ซูจิ้งได้หยิบตั๊กแตนที่เพิ่งออกมาจากกองขยะใส่เข้าไปในโหลเดียวกัน และพวกมันก็เลิกสนใจกันเอง นอกจากเจ้าตั๊กแตนตัวนี้ เขาก็ไม่เจออะไรที่น่าสนใจ แต่ก็ยังมีส่วนที่เป็นแก่นของมันที่พอใช้ได้

 

“ช่วยพักเรื่องแมลงแล้วส่งอย่างอื่นมาแทนทีเถอะนะ” ซูจิ้งอ้อนวอนก่อนที่เขาจะเริ่มจัดการขยะต่อไป ซักพักนึงเขาก็พบว่าสิ่งของในพื้นที่นี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก

เขาพบซากสัตว์ทะเล เปลือกหอย ปะการัง และของอื่นๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าพื้นที่แทบนี้เต็มไปด้วยขยะตามชายหาด เมื่อเขาหยิบม้วนหนังเกาะขาดๆ ขึ้นมา ตาของเขาก็ส่องเป็นประกายเมื่อเห็นตัวอักษรที่อยู่บนหนังแกะ

 

“นี่ พวกนี่มาจากเมืองลั่วลั่วงั้นรึ” ซูจิ้งตื่นเต้นขึ้นมาและใจเต้นเร็วขึ้น ในห้วงเวลาและกาลอวกาศนี้เมืองลั่วลั่วถูกสร้างขึ้นบนเกาะ มันคือพื้นที่ของตระกูลมู่ มีทั้งเหมืองประการังบนทะเลตะวันออก มีทั้งวังคริสตัลมังกร และเจดีย์ขาวคุนหลุน มีกระทั่งกำแพงเมือง ป้อมปราการนี้ถูกออกแบบโดยช่างก่อสร้างอันดับหนึ่ง จุนซูกวงซึ่งมีความแข็งแรงและสง่างาม ในขณะเดียวกันก็ยังมีความงดงามและหรูหรา ประดุจดั่งงานศิลปะชั้นดี

 

ยิ่งกว่านั้น เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือเมืองลั่วลั่วได้มีการพัฒนาจนกลายเป็นเมืองแห่งอิสรภาพ มันเป็นหนึ่งในห้าเมืองใหญ่และยังให้กำเนิดเหล่าฮีโร่จากทั้งห้าเผ่าพันธ์ุ เป็นเมืองที่ทั้งห้าเผ่าพันธุ์อยู่ด้วยกันได้

 

ดังนั้นซูจิ้งจึงรู้สึกว่าขยะที่มาจากเมืองลั่วลั่วก็ไม่เลวเลย

เพียงแต่ต้องเสียเวลาค้นหาอย่างถี่ถ้วนซักหน่อย ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขามองไปที่โทรศัพท์แล้วพบว่าหวังจ้าวโทรเข้ามาเขารีบรับสายทันที “คืนพรุ่งนี้ว่างไหม”

“ว่างอยู่นะ มีอะไรรึครับ”ซูจิ้งถามกลับ

“เยี่ยม พวกเราไปงานเลี้ยงมื้อค่ำกัน หลังจากเรื่องตอนนั้น นายได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ (ชื่อบริษัท ที่หุ้น 3คนหวังจ้าว เฉิงหนาน ซูจิ้ง) มีคนมากมายอยากจะพบเจอนาย ยิ่งกว่านั้นต้องทำให้นายมีความคุ้นเคยกับวิถีแห่งชนชั้นสูงซะบ้าง” หวังจ้าวกล่าว

 

“จำเป็นต้องไปจริงๆ รึ คุณบอกว่าคนอื่นๆ คนอื่นๆ นี่คือใครกัน” ซูจิ้งถามกลับไป ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่นเขาก็อาจจะตอบรับได้ ตามมุมมองของหวังจ้าวพวกชนขั้นสูงเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลยถ้าไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดการขยะของเขาทำให้ไม่มีอารมณ์อยากไปร่วมงานเลย

 

“ซือหยากับเฉิงหนานก็ไปนะ มันเป็นงานเลี้ยงวันเกิดให้ผู้อาวุโส นอกจากนั้นยังเป็นการเชื่อมสัมพันธ์กันระหว่างตระกูลหวังและด้วยเหตุผลว่าในครั้งก่อนที่พ่อถูกลักพาตัวไปนั้น พวกเราได้ขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลี่ทำให้เราควรจะต้องไป” หวังจ้าวหัวเราะร่า

 

“ก็ได้ๆ ผมจะไป“ ซูจิ้งให้คำสัญญา มันมีความรู้สึกว่างานครั้งนี้ค่อนข้างสำคัญเขาก็จะไปลองดูซักหน่อย

“พ่อได้บอกว่าให้เตรียมของขวัญไปด้วย เพื่อที่จะสร้างความพึงพอใจให้ผู้อาวุโส แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเตรียมของขวัญอะไรดี รสนิยมของผู้อาวุโสค่อนข้างจะสูงซะด้วย หรือนายจะเป็นคนเตรียมดีล่ะ ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่เดี๋ยวฉันจ่ายให้ทีหลัง” หวังจ้าวถาม

 

“ตามนั้นก็ได้ ผมจะเตรียมของขวัญไปแต่ก็นะ มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับผมอยู่แล้ว” ซูจิ้งยิ้ม

“โอ้….สำหรับเรื่องนั้น พ่อก็พูดเหมือนกันว่าของขวัญที่เตรียมจะเป็นหน้าตาของตระกูล แล้วนายจะให้ฉันแบกหน้ารับคนเดียวได้รึยังไง นายไม่ได้รับอะไรงั้นรึ ฉันก็ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างฉันได้หรือนายได้เลย อย่าพูดถึงมันดีกว่ามันไม่ได้น่าสนใจไปกว่าเงินหรอกน่า” หวังจ้าวกล่าว

 

“ก็ดี งั้นผมก็สัญญาได้เลยว่าจะเตรียมของขวัญดีๆ ไว้ให้ ” ซูจิ้งยิ้ม เขามีความมั่นใจอย่างมากในของขวัญที่จะเตรียมไป

“อีกเรื่องนึง นายเห็นข่าวรึยังว่า “ภาพเขียนเทพธิดา” ถูกขโมยออกจากพิพิธภัณฑ์แล้วถูกนำไปขายในญี่ปุ่น”

“ว่าไงนะ ภาพเขียนนี้ไม่ได้ถูกคุ้มครองอย่างแน่นหนาด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรอกรึ ใครกันที่ขโมยไป” ซูจิ้งขมวดคิ้ว วันนี้เขาวุ่นๆ อยู่กับการจัดการขยะอยู่ ไม่ได้สนใจข่าวอะไรเลย “ภาพวาดเทพธิดา” ถือเป็นภาพวาดจีนที่ติดอันดับสิบอันดับแรกเลยก็ว่าได้ มีเพียงสี่ภาพเท่านั้น และพวกมันเองก็มีมูลค่ามหาศาลจนเงินเทียบไม่ได้ การที่มันถูกขโมยไปขายที่ญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก

“พอจะบอกได้แค่ว่าโจรกลุ่มนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความกล้าและทักษะเท่านั้น แต่ยังถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก มีข่าวว่านักธุรกิจญี่ปุ่นคนหนึ่งรู้ว่าภาพเขียนอยู่ที่ไหน พวกเราจึงได้เชิญเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย ความจริงฉันก็คิดว่าพอจะคาดคั้นอะไรบางอย่างจากเขาได้แต่ฉันเชื่อว่านายทำได้ดีกว่า” หวังจ้าวกล่าว

“ุคุณไม่ต้องทำอะไรหรอก เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง” ซูจิ้งกล่าว ภาพเขียนจีนถูกนำไปที่ญี่ปุ่นทำให้ใจของเขาสลาย ถ้าทำได้เขาก็จะนำมันกลับมา