งานเลี้ยงมื้อค่ำ
เย็นวันถัดมา รถลินคอล์นรุ่นพิเศษได้เข้ามาจอดอยู่หน้าประตูบ้านของซูจิ้ง หวังจ้าวและหวังซือหยาออกมาจากรถ หวังจ้าวอยู่ในชุดสูทสีดำและหวังซือหยาอยู่ใจชุดเดรสยาวสีดำซึ่งดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดใจ ทันใดนั้นซูจิ้งก็ออกมาหาพร้อมกับของขวัญที่ห่อไว้บนมือของเขา หวังจ้าวอดใจไม่ได้ที่จะถาม “นายเตรียมของขวัญอะไรไว้น่ะ”
“เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เองน่า” ซูจิ้งยิ้มแล้วก็ไม่บอกอะไรอีก
“เอามาให้ฉันดูหน่อยเถอะน่า” หวังจ้าวพูดด้วยรอยยิ้ม
“ของขวัญเป็นอะไรก็เหมือนๆ กันหล่ะ รีบขึ้นรถเร็ว ไม่งั้นเราจะสายแน่นอน” หวังซือหยาดึงซูจิ้งขึ้นรถ
ซูจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยา นั่งลงบนรถลินคอร์นรุ่นพิเศษ แล้วมุ่งตรงไปยังเมืองเทียนหยาง บ้านเกิดของผู้อาวุโสอยู่ในเมืองเทียนหยาง พลังอำนาจของตระกูลมีอิทธิพลครอบคลุมทั้งเมืองและเขาก็เป็นผู้คุมอำนาจ แต่ผู้อาวุโสก็ยังคงนึกถึงและห่วงใยคนอื่นๆ ในบ้านเกิด งานเลี้ยงในครั้งนี้จึงจัดขึ้นในบ้านของผู้อาวุโส
คืนนี้เป็นวันเกิดครบรอบครั้งที่ 65 ของเขา มันไม่สำคัญเลยว่าจะเป็นงานวันเกิดครบรอบครั้งที่ 60 ปี หรือ 80 ปี ไม่ว่ายังไงงานนี้ก็ยังถือว่าเป็นงานสำคัญ ไม่ใช่มีแต่มีแขกร่วมงานที่มาจากภายในระดับอำเภอเท่านั้น แต่มีแม้กระทั่งแขกที่มาจากเมืองหลวง มีหลายครอบครัวใหญ่ที่มาจากเมืองจงหยุน ถ้าพวกแขกเหล่านี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับหลายตระกูลในเมืองจงหยุน ถ้ายึดเพียงอำนาจของตระกูลของพวกเขาเองนั้นก็แทบไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้อย่างแน่นอน หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง พวกของซูจิ้งก็มาถึง บ้านของอาวุโสนั้นจริงๆ แล้วมันคือแมนชั่นที่เปรียบได้ดั่งปราสาท จากเท่าที่ดูในบ้านมีรถราคาสิบล้านแม้กระทั่งรถราคาร้อยล้านเข้ามาจอดอย่างหนาแน่น ซูจิ้ง หวังจ้าว และ หวังซือหยาก้าวเดินออกจากรถ ชายอ้วนวัยกลางคน “เสี่ยวจ้าวและซือหยาในที่สุดก็มากันแล้ว”
“คุณหลี่หยิง ไม่ได้เจอกันนานนะครับ” หวังจ้าวหัวเราะ
“เข้ามาข้างในกันก่อน ส่วนนี่คือ…” หลี่หยิงถามออกมาเมื่อสังเกตุเห็นซูจิ้ง
“คนๆ นี้คือน้องชายของผมเอง เขาชื่อซูจิ้ง” หวังจ้าวกล่าว
“สวัสดีครับพี่ชายหยิง” ซูจิ้งกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“อ้อน้องซู เชิญๆ ยินดีต้อนรับ” หลี่หยิงยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร ตอนแรกนั้นตระกูลหลี่ได้ให้ความช่วยเหลือซูจิ้งอย่างเต็มที่นั้น เป็นเพราะซูจิ้งเป็นนายน้อยคนที่สี่แห่งตระกูลหวัง หลี่หยิงเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน
หลี่หยิงพูดไปหัวเราะไปพร้อมทั้งนำทั้งสามคนเข้าไปในห้อง เมื่อแขกคนอื่นเห็นหวังจ้าวและหวังซือหยาก็ต่างพากันยิ้มแย้ม พวกเขายังแสดงให้เห็นถึงท่าทีที่เป็นมิตร พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนดีแต่ก็ยังห่างไกลเมื่อเทียบชั้นกับตระกูลหวัง หลายๆ คนก็เริ่มสังเกตุซูจิ้งที่มีหวังซือหยาคล้องแขนอยู่
“นั่นใครน่ะ หรือว่าเป็นเด็กใหม่ของหวังซือหยา“
“ไม่อายุน้อยไปหน่อยรึ”
“ไม่ใช่นั่นคือซูจิ้ง นายน้อยคนที่สี่แห่งตระกูลหวัง ผู้ที่เพิ่งมีชื่อเสียงเมื่อไม่นานมานี้”
“คนๆ นั้น คือวีรบุรุษเปลวเพลิง ฉันเคยเห็นเขาในทีวี”
“เป็นเขานั่นเอง”
“หลี่หยิง แล้วเรื่องชาวญี่ปุ่นหล่ะ” หวังจ้าวถามอย่างค่อยๆในขณะที่ดื่มอยู่
“ก็น่าจะเป็นหมอนั่นนะ” หลี่หยิงทำท่าทางส่งสัญญาณให้ดูตาม
หวังจ้าว ซูจิ้งและหวังซือหยาทั้งหมดมองตามไป ตรงนั้นพวกเขามองจนกระทั่งเจอชาวญี่ปุ่น เขาอายุประมาณสามสิบ ไม่สูง และเขาก็ดูธรรมดาๆ อย่างไรก็ตามเขาแต่งชุดได้ดูดีและมีวาทะศิลป์ในการพูด
“คนที่พูดอยู่กับคนญี่ปุ่นนั่นใช่จ้าวซือเฟิงรึเปล่าน่ะ” หวังจ้าวขมวดคิ้วและซูจิ้งก็นิ่งเงียบไป จ้าวซือเฟิงมีลักษณะรูปร่างเป็นชายวัยกลางคนที่กำลังคุยด้วยท่าทางสนุกสนานกับคนญี่ปุ่นคนนั้น เขาเป็นพี่ชายของจ้าวซือหลงคนที่พลาดท่าฆ่าตัวเองตาย
“จริงด้วย เป็นเขาจริงๆ ฉันได้ยินมาว่าเขาค่อนข้างจะสนิทกับคนญี่ปุ่นคนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องธุรกิจกัน หรือว่าคุยเรื่องภาพเขียนจีนเหมือนกับพวกเรา” หลี่หยิงยิ้มขึ้นมาและพูดว่า”สำหรับเรื่องนั้นนายบอกว่ามีวิธีที่จะตะล่อมเขา วิธีอะไรรึ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ แค่อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งก็พอ” หวังจ้าวพูดพร้อมรอยยิ้มที่เชื่อมั่นในตัวซูจิ้งอย่างเปี่ยมล้น
“ก็ดี งั้นเรื่องนี้ให้นายจัดการ นายเห็นผู้ชายคนที่อยู่ถัดจากจ้าวซือเฟิงนั่นไหม เขาคือจ้าวหยวน คนที่เคยเป็นสามีของเฉิงหนานคนของนาย นายสามารถใช้เขาได้นะ” หลี่หยิงชี้ไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ถัดจากจ้าซือเฟิง เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสูง มีแก้วไวน์อยู่ในมือขวา กระเป๋าตังอยู่ในมือซ้าย และมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า ถึงท่าทางของเขาในขณะนี้ดูเหมือนพูดคุยอย่างอารมณ์ดีเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้มถึงแม้จะดูแข็งๆ ไปบ้างแต่ก็ยังดูเข้มแข็งและสง่างาม ในตระกูลจ้าว จ้าวหยวนเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
“ขอบคุณที่ให้คำแนะนำนะ เรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว” หวังจ้าวพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม เขารู้ว่าหลี่หยิงต้องการให้เขาทำอะไร จ้าวหยวนนั้นจริงๆ แล้วต้องการคืนดีกับเจิ้งหนาน เขากังวลเกี่ยวกับตำแหน่งของเขาภายในกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ เขาจึงเข้าไปกระซิบที่ข้างหูซูจิ้งว่า “อาจิ้ง นายต้องการเข้าไปเจอคนพวกนี้เลยรึเปล่า”
“ไม่ล่ะ มันไม่สำคัญหรอก เราต้องไปอวยพรวันเกิดผู้อาวุโสก่อน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองไปที่คนญี่ปุ่น จ้าวซือเฟิงและจ้าวหยวน
“น้องหยิง ทำไมไม่บอกว่าน้องจ้าวกับซือหยามาแล้วหล่ะ” เสียงที่แสนนุ่มนวลลอยออกมาจากหญิงวัยกลางคนในชุดเดรสสีดำ
“พี่หยิง” เสียงร้องเรียกออกมาจากปากหวังซือหยาและหวังจ้าวอย่างพร้อมเพียง
“พี่หยิง” ซูจิ้งก็ได้พูดตามออกมา
“พวกเขาเพิ่งมาถึงกันเอง และเธอเองก็กำลังคุยกับแขกคนอื่นก็เลยยังไม่ได้บอกน่ะ” หลี่หยิงกล่าว
“ซือหยา ชุดชั้นในของเธอที่ส่งไปให้ใส่สบายจริงๆ” หลี่เหนียนหยิงกุมมือหวังซือหยาไว้พร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องนั้นต้องขอบคุณคนนี้ ต้องให้เครดิตเรื่องทั้งหมดแก่เขาในการออกแบบชั้นในชุดนั้น” หวังซือหยาชี้มาทีซูจิ้งพร้อมรอยยิ้ม
“ คนๆ นี้ที่เธอพูดถึงบ่อยๆ สินะ นายเป็นคนออกแบบชุดชั้นในนั่นจริงๆสินะ อายุเท่านี้แต่มีความเข้าใจในรูปร่างของผู้หญิงเป็นอย่างดีเลยนะ” หลี่เหนียนหยิงจ้องไปที่ซูจิ้งพร้อมหัวเราะเบาๆ
“แค่กๆ อันที่จริง ผมก็แค่ดูเรื่องวัสดุที่ใช้สร้างเท่านั้นเอง การออกแบบต่างๆ เป็นทางดีไซเนอร์จากบริษัทของพี่สาวซือหยาจัดการน่ะ” ซูจิ้งอายนิดๆ
“ฮ่าฮ่า นั่นดีมากเลย ขอบคุณมากนะ” หลี่เหนียนหยิงมองไปที่ซูจิ้งอย่างนุ่มนวล ประหนึ่งดั่งต้องการมองซูจิ้งให้ออกอย่างทะลุปลอดโปร่ง เอาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็นคนที่ทำให้เกิดไอเดียการสร้างชั้นในนี้
ในขณะนั้นทุกอย่างในงานหยุดเงียบลง และทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือขึ้นมา เมื่อซูจิ้งมองไปก็พบว่าผู้อาวุโสตระกูลหลี่ได้ออกมาแล้ว เขาดูเหมือนคนอายุ 60 มีผมสีเทา หลังค่อมเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยพลัง เขามาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนที่ดูดีคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั่นรูปร่างท่าทางเหมือนจะมาจากทางใต้ของแม่น้ำแยงซี
หลี่หยิงและหลี่เหนียนหยิงรีบเดินจากไป และหวังจ้าวและหวังซือหยาได้นำซูจิงไปพบพวกเขา