แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะปกปิดเอาไว้อย่างดี แต่อวี้เฟยเยียนก็ยังฟังออกถึงความเศร้าสร้อยจากน้ำเสียงเขา
นางไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยื่นมือออกไปโอบกอดซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ มือน้อยๆ ลูบหลังปลุกปลอบเขาแผ่วเบา แสดงความห่วงใยรักใคร่ผ่านการกระทำที่ไร้เสียงนี้
“หนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้ตามหาพวกเราได้รวดเร็วปานนี้ นี่พวกเขาอยากที่จะจัดการซย่าโหวฉิงเทียนให้ถึงที่ตายเพียงนี้เชียวหรือ”
ซึ่งถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่ได้เอ่ยวาจาทวงความยุติธรรมใดๆ ออกมา แต่บัญชีนี้นางได้จดจำเอาไว้แล้ว
อยากจะฆ่าผู้ชายของนางอย่างนั้นหรือ
ข้าไม่ขยี้พวกเจ้าให้แหลกคามือไม่ขอชื่ออวี้เฟยเยียน!
“พี่ไม่เป็นไร…”
เห็นอวี้เฟยเยียนใช้วิธีการราวกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยอยู่ปลอบประโลมเขา ซย่าโหวฉิงเทียนก็หัวเราะออกมา
“จริงนะ มีเรื่องไม่สบายอะไรต้องบอกข้านะ!”
อวี้เฟยเยียนเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาที่แสนอ่อนโยนชุ่มชื่นคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขา มันสุกใสแวววาวราวกับกับกวางน้อยก็ไม่ปาน
คราวนี้ ทำเอาหัวใจซย่าโหวฉิงเทียนอ่อนยวบ ราวกับว่าไม่ว่าในใจเขาจะมีเรื่องอะไรอยู่ก็ตามแต่ ทว่าเมื่อได้เห็นหน้าอวี้เฟยเยียนหัวใจเขาก็จะสงบลง แมวน้อยเขาทำไมถึงทำให้คนหลงรักได้มากถึงเพียงนี้นะ!
“พี่เป็นผู้ชาย!”
ด้วยรู้ว่านางเป็นห่วงเป็นใยเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มนางขึ้นมานั่งบนตักด้วยท่าทีสบายๆ
“ผู้ชายนะ มีเรื่องอะไรก็ต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะไม่ทำให้ผู้หญิงต้องเป็นห่วง!”
“เหลวไหลทั้งเพ!”
เมื่อเห็นท่าทีความเป็นผู้ใหญ่ของซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนั้น ก็ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
“หัวใจคนมีเลือดเนื้อ รู้สึกรักและเจ็บเป็น! หัวใจท่านมิได้ทำจากหินเสียหน่อย!”
“ฉิงเทียน ท่านเป็นที่พึ่งพิงของข้า ขณะเดียวกันข้าก็เป็นที่พึ่งพิงของท่านเช่นเดียวกัน! หากว่าท่านเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า ขอให้ท่านพักเหนื่อยกับข้า! ถึงแม้บ่าของข้าจะไม่กว้างเท่าไร แต่ก็สามารถกำบังลมกำบังฝนให้ท่านได้นะ!”
กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็ใช้มือกุมศีรษะเขาเอาไว้รั้งเข้ามาใกล้ จุมพิตที่พวงแก้มเขาครั้งหนึ่ง
“ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่บอกคนอื่นเด็ดขาด! ต่อหน้าคนอื่น ข้าจะรักษาภาพลักษณ์นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ของท่านเอาไว้!”
ซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมทีจิตใจกำลังเศร้าหมองเมื่อได้ยินคำพูดนั้นเข้าไป ในที่สุดก็ยิ้มออกมา
“แมวน้อย เจ้าเป็นเสียอย่างนี้ แล้วจะให้พี่ตัดใจปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกอดอวี้เฟยเยียนเอาไว้แน่น กลิ่นหอมหวานลอยเข้ามาปะทะจมูกเขา
มีเจ้าอยู่ ช่างดีจริงๆ เลย!
อวี้เฟยเยียนตั้งใจที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้กับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยใจจริง มิใช่เอ่ยไปเรื่อยแต่อย่างใด
เดิมทีนางตั้งใจที่จะออกมาท่องเที่ยวชมทิวทัศน์แห่งฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มที่ นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจ ทำให้อวี้เฟยเยียนตัดสินใจใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกวิชา
เพราะหากว่า เอาแต่มีความคิดอย่างเดียวมิลงมือปฏิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่ากับเปล่าประโยชน์!
ข้ารักท่าน จึงจะต้องใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์!
สกุลหนานกงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปดแห่งอู่โยวได้ ย่อมต้องมีเหตุผล
ในตอนนี้นางเป็นเพียงปรมาจารย์เท่านั้น ถึงแม้ว่าบนแผ่นหลัวอวี่จะเก่งกาจสักเพียงใด แต่หากเป็นที่เมืองอู๋โยวแล้วถือว่ายังอ่อนหัดยิ่งนัก
ต้องการที่กำจัดสกุลหนานกงให้สิ้นซาก จึงจำเป็นจะต้องเพียรพยายามให้มากเสียแล้ว!
อวี้เฟยเยียนราวกับกินดีหมีหัวใจเสือมาอย่างไรอย่างนั้น นางเอาแต่ฝึกซ้อมวรยุทธ์อย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งก็เป็นการกระตุ้นเชียนเยี่ยเสวี่ยอย่างแรงกล้า
นางและอวี้เฟยเยียนเป็นสหายที่สนิทสนมกันยิ่งนัก ซึ่งได้ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะท่องยุทธภพไปด้วยกัน แล้วนางจะเป็นตัวถ่วงของเพื่อนได้อย่างไร!
ดังนั้น การท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิก็เป็นอันต้องแปรเปลี่ยนไป
อวี้เฟยเยียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยมีหนานกงจื่อหลิงที่นั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังมองดูด้วยความอิจฉา ในใจก็ครุ่นคิด
ตัวนางเองสำเร็จเพียงขั้นอ๋อง เทียบกับหญิงสาวสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่แล้วยังห่างไกลกันมากนัก นางมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางเลยด้วยซ้ำ
“พี่ใหญ่ ซ้อใหญ่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ท่านรู้สึกมีความกดดันบ้างไหม”
อวี้เฟยเยียนสำเร็จขั้นปรมาจารย์มาเป็นเวลานานแล้ว ฝ่ายหญิงวรยุทธ์สูงกว่าฝ่ายชายเสียอีก ไม่รู้ว่าพี่ชายที่แสนเย่อหยิ่งทนงตนของนางจะรับไหวหรือไม่!
“ไม่หรอก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนหรี่ตาลงด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในตอนนั้นเองพิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินเข้ามา มันบินวนอยู่บนท้องฟ้าครู่หนึ่ง แล้วจึงบินลงมาเกาะที่บ่าของซย่าโหวฉิงเทียน
“ไปเถอะ ข้ารู้แล้ว!”
พิราบตัวนั้นราวกับฟังเข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ย มันกางปีกบินออกไปทันที
“พิราบสื่อสาร! พี่ใหญ่ท่านเนี่ยอดเยี่ยมชะมัด นี่ท่านสามารถฝึกปรือพิราบสื่อสารได้ด้วยหรือนี่!”
หนานกงจื่อหลิงจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตานับถือเทิดทูน
ได้ยินคำว่า ‘พิราบสื่อสาร’ คำนี้ขึ้นมา ฉับพลันก็ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยคิดถึงช่วงเวลาขณะที่อยู่ที่ฉินจื้อ ตี้อู่เฮ่ออีรบเร้าซย่าโหวฉิงเทียนหลายต่อหลายครั้งให้เขาช่วยฝึกฝนพิราบราบสื่อสารให้เขาสักตัว
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าทึ่มนั่นกำลังทำอะไรอยู่นะในตอนนี้!
เชียนเยี่ยเสวี่ยเหม่อลอย จนถูกอวี้เฟยเยียนเล่นงานจนล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเหม่อลอย!”
ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปดึงเชียนเยี่ยเสวี่ยขึ้นมา จากนั้นอี้เฟยเยียนก็ฉีกยิ้ม
“เสวี่ย เมื่อครู่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
“ไม่มีอะไร!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยมีท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
ให้ตายเถอะ ในเวลาเช่นนี้ไปคิดถึงหมอนั่นทำไมกัน!
“ข้อแก้มืออีกครั้ง!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่ยินยอม
“ไม่ดีกว่า…”
อวี้เฟยเยียนไม่ได้เอ่ยปากกล่าวแบไต๋เชียนเยี่ยเสวี่ยแต่อย่างใด
“ข้ารู้สึกใกล้สำเร็จขึ้นมาทุกที ข้าอยากจะไปทำสมาธิให้ตกผลึกเสียหน่อย”
กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็กลับเข้าห้องของตนเอง ราวกับพระเข้าฌานก็ไม่ปาน
ด้วยรู้ว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาสำคัญ เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงสงบสติอารมณ์ ทว่าในในใจก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา
เพราะอะไรต่างก็เป็นคนเหมือนกัน เหตุใดอวี้เฟยเยียนถึงได้สำเร็จขั้นได้รวดเร็วกว่านางมากมายมหาศาล
มีสหายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก!
ไม่พยายามไม่ได้แล้ว!
การเก็บตัวฝึกวิชาในครั้งนี้ของอวี้เฟยเยียน นั่งอยู่สองวันเต็มๆ
จนกระทั่งนางลืมตาตื่นขึ้น เวลาก็ล่วงเลยไปจนดึกสงัด นางมองเห็นซย่าโหวฉิงเทียนจุดตะเกียง นั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงนางขยับเขยื้อน เขาก็หันมองมา
“หากให้พี่ทายละก็ เจ้าสำเร็จถึงปรมาจารย์ชั้นกลางแล้วใช่ไหม”
ซย่าโหวฉิงเทียนเขยิบมานั่งข้างเตียง กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มขณะที่มองมาที่อวี้เฟยเยียน
อวี้เฟยเยียนพึงพอใจกับการนั่งสมาธิเข้าฌานของตนเองเป็นอย่างมากจึงร้องขึ้น
“ทายผิดแล้ว ข้าสำเร็จถึงขั้นปลายของปรมาจารย์แล้วต่างหาก!”
“ขั้นปลายของปรมาจารย์!”
ซย่าโหวฉิงเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะทำสีหน้าราวกำลังบ่งบอกว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
นึกไม่ถึงว่าอวี้เฟยเยียนจะพัฒนาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!
เห็นทีเขาต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนางเสียแล้ว!