โบยบิน (1) โดย Ink Stone_Fantasy
การบรรลุนิติภาวะของพลังเวทมนตร์มักจะเกิดขึ้นในตอนเที่ยงคืน
ซึ่งนี่ถือเป็นปริศนาที่ยังไม่กระจ่างของแม่มด เห็นๆ อยู่ว่าทั่วทุกที่นั้นมีพลังเวทมนตร์อยู่ แต่ทำไมมันพลังเวทมนตร์ถึงได้สมบูรณ์ที่สุดในเวลานี้ ถึงแม้จะเป็นแม่มดอย่างอันนา หากเธอใช้พลังเวทมนตร์ไปจนเกือบหมดแล้ว หลังผ่านเที่ยงคืนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง พลังเวทมนตร์ของเธอก็จะฟื้นคืนกลับมาได้จนเกือบเต็มอีกครั้ง ถ้าอาศัยเพียงแค่การฟื้นตัวตามธรรมชาติในเวลากลางวัน เกรงว่าอาทิตย์นึงพลังเวทมนตร์ก็คงยังไม่เต็ม
สำหรับเรื่องนี้แม่มดส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจนัก แม้แต่แม่มดทาคิลาเองก็เหมือนกัน ในตอนที่โรแลนด์ถามพวกเธอถึงเรื่องนี้ คำตอบที่เขาได้รับกลับมาก็คือ ‘พออีกวันหนึ่งมันก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ’ ในสายตาของคนส่วนใหญ่ เวลาจะถูกแบ่งออกเป็นวัน พลังเวทมนตร์ของวันไหนก็ใช้วันนั้น ทุกวันจะมีปรากฏการณ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่โรแลนด์รู้ว่าวันนั้นไม่ใช่แนวคิดในธรรมชาติ หากแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อสะดวกต่อการใช้ชีวิต นั่นถึงได้มีปีสุริยคติและการหมุนควงของอิควิน็อกซ์ของโลกขึ้น และเพื่อแก้ความคลาดเคลื่อนตรงนี้ มนุษย์จึงมีเดือนอธิกมาสขึ้นมา และเมื่อวิธีการคำนวนเวลามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ภายหลังจึงได้มีอธิกวินาทีปรากฏขึ้นมา (นั่นคือนาทีสุดท้ายมี 59 วินาทีหรือไม่ก็ 61 วินาที) สะดวกแบบไหนก็ใช้แบบนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องแปลกที่พลังเวทมนตร์ของแม่มดจะรวมตัวในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
เหมือนกับว่าในตัวของผู้ตื่นรู้ทุกคนจะมีนาฬิกาชีวิตอยู่ แถมยังมีจังหวะการเดินที่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าพวกเธอจะเกิดปีไหนเดือนไหน จะเกิดที่ดินแดนทางใต้สุดหรือเกิดที่เฮอร์มีส ทุกคนก็เหมือนมีอะไรเชื่อมโยงกันอยู่
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีเครื่องมือในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาพลังเวทมนตร์ หรือว่าการจับเวลาที่แม่นยำก็ล้วนแต่ทำได้ยาก เขาจึงได้แต่ต้องใช้ปรากฏการณ์นี้มาใช้เป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์
“ฝ่าบาท” เสียงของเวนดี้ดึงโรแลนด์ขึ้นมาจากความคิด “นอกจากมาตรการเบื้องต้นแล้ว พระองค์ทรงอยากให้เสริมอะไรไหมเพคะ?”
มาตรการที่ว่านั้นหลักๆ แล้วเอาไว้ใช้รับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นตอนที่พลังเวทมนตร์รวมตัวกัน หลังจากที่ได้เห็นลูเซียในวันบรรลุนิติภาวะ เรื่องนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่สโมสรแม่มดต้องมานั่งครุ่นคิดกันเพื่อหาทางรับมือ
สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่แม่มดทาคิลาก็ไม่มีคำชี้แนะอะไรมากนัก
“ทำตามที่เจ้าว่ามาแล้วกัน” โรแลนด์คิดๆ “เออใช่ อย่าลืมบอกมาร์จอรีกับแซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดนะ ข้าคิดว่าพวกเขาคงอยากจะเห็นไลต์นิ่งปลอดภัยในวันบรรลุนิติภาวะของนาง”
เวนดี้รู้สึกแปลกใจ “เลดี้มาร์จอรีนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าท่านฟลายอิงเบิร์ดคนนั้น…”
“เขาไม่เป็นไรหรอก” โรแลนด์พูดเสียงนุ่มนวล
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” เมื่อเห็นเขาว่าแบบนี้ เวนดี้จึงไม่ถามอะไรมากอีก
…..
ตกกลางคืน ชั้นบนของตึกแม่มดมีไฟสว่างขึ้นมา
ที่นี่ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นห้องนอนสำหรับใช้ในวันบรรลุนิติภาวะของแม่มดโดยเฉพาะ ห้องที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาจากห้องปกติสองห้องเอามาต่อกันกว้างพอที่จะบรรจุคนได้จำนวนมาก กำแพงด้านหนึ่งถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นประตูแบบเลื่อน เผื่อถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่ต้องการปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ ก็จะได้เปิดเลื่อนบานประตูออกไปได้ทันที กำแพงจะได้ไม่ต้องถูกพลังเวทมนตร์ระเบิดออกไปเหมือนครั้งที่แล้ว
ไลต์นิ่งนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ สีหน้าเธอดูตื่นเต้นอย่างมาก นี่แตกต่างจากลูเซียอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับว่าเธอรอคอยเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
ตรงหัวเตียงมีเสาไม้อยู่แท่งหนึ่ง มือซ้ายของเธอถูกมัดเอาไว้กับแท่งไม้ ส่วนในมือก็ถือรูนแห่งโชคชะตาเอาไว้ จากประสบการณ์ที่ได้มาตอนที่ลูเซียบรรลุนิติภาวะ ขอเพียงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ก็ให้เอาพลังเวทมนตร์ใส่เข้าไปในรูน ที่ต้องมัดมือเอาไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้แม่มดเจ็บปวดจนสูญเสียการควบคุมแล้วเผลอหันรูนในมือมาใส่คนอื่นๆ หลังตัดความเสี่ยงตรงนี้ไปได้ ถึงแม้จะไม่มีสเปียร์อยู่ด้วยก็ไม่เป็นปัญหา
ส่วนรอบๆ ตัวไลต์นิ่งก็มีเพื่อนแม่มดยืนอยู่เต็มไปหมด
“ข้าจะได้พลังย่อยแบบไหนมากันนะ…ถ้าจัดการเรื่องน้ำหนักที่บรรทุกได้ก็คงดี แบบนั้นข้าจะได้พกเอาของกินกับเครื่องมือไปได้เยอะๆ แล้วก็บินให้ทั่วดินแดนรุ่งอรุณเลย!” คำพูดทำนองนี้ดังขึ้นเกือบทั้งคืน เธอยกตัวอย่างความเป็นไปได้ขึ้นมาอันแล้วอันเล่าอย่างมีความหวัง ท่าทางของเธอทำให้โรแลนด์นึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ ที่เดาว่าคนที่บ้านจะให้ของขวัญอะไรกับตัวเอง
แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วจะจบลงด้วยความผิดหวัง
อย่างเช่นเขาเคยอยากได้ตุ๊กตาทรานฟอร์มเมอร์ตัวใหญ่ๆ แต่สุดท้ายสิ่งที่มาถึงมือกลับเป็นหนังสือรวมแบบฝึกหัด
“อาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้” ลูน่าพูดขึ้นมา “ความสามารถย่อยไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ นับไปนับมา ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพรสวรรค์อันนี้”
“หึ…” เมื่อลูน่าพูดประโยคนี้ออกมา โรแลนด์คล้ายจะได้ยินเสียงที่ออกมาจากทางจมูก หางเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกภูมิใจ
“นั่นปากเหรอนั่น!” ลิลลีถลึงตาใส่
“ความจริงลูน่าก็พูดไม่ผิดหรอก” อกาธาพูดยิ้มๆ “สมาพันธ์เคยทำสถิติเอาไว้ จำนวนแม่มดที่สามารถตื่นรู้ความสามารถย่อยได้ในตอนที่บรรลุนิติภาวะนั้นเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งในร้อย แต่นี่ก็ยังไม่อาจเทียบกับการเลื่อนขั้นเป็นแม่มดชั้นสูงได้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับแม่มดคือพวกเรามีความสามารถในการขยายศักยภาพของตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้ไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก รวบรวมสมาธิเอาไว้ที่การรวมตัวของเวทมนตร์ก็พอ”
“เออใช่ พวกเจ้ากำลังทำการวิเคราะห์เรื่องการวิวัฒนาการในวันบรรลุนิติภาวะอยู่ไม่ใช่เหรอ?” บุ๊คพูดแทรกขึ้นมา “ผลเป็นยังไงบ้าง?”
“นั่นมันแค่ใช้อ้างอิงได้เท่านั้น เพราะว่ายังขาดตัวอย่างในการยืนยัน” เวนดี้ดูบันทึกที่ตัวเองจดเอาไว้ “แต่ว่าไลต์นิ่งทำคะแนนได้สูงมากเลยนะ ตั้ง 85.9 คะแนนแหนะ”
“เอ๋? มันคืออะไรเหรอ?” แอนเดรียถามอย่างแปลกใจ
“เป็นวิธีการวัดแบบหนึ่งน่ะ” อกาธาพูดอธิบาย “นี่เป็นสิ่งที่ได้มาจากตอนที่ลูเซียบรรลุนิติภาวะ เพราะว่าพลังเวทมนตร์ในตอนที่บรรลุนิติภาวะนั้นพุ่งพล่านอย่างรุนแรง ซึ่งตามหลักแล้วมันสามารถทำให้เกิดการรวมตัวได้ง่ายขึ้นจริงๆ ดังนั้นพวกเราจึงเอาสภาพของแม่มดระดับสูงในตอนที่บรรลุนิติภาวะมาเป็นตัวอย่างเพื่อทำการประเมินในขั้นแรก โดยเราจะคำนวณจากปริมาณเวทมนตร์ในร่างกาย คะแนนการเรียน การควบคุมพลังแล้วก็ความมุ่งมั่น แต่แน่นอนว่าตอนนี้แค่อยู่ในขั้นการคาดเดาเท่านั้น”
“คะแนนการเรียน…เจ้าหมายถึงคะแนนสอบเหรอ?”
“ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นมันจะมีสัดส่วนที่มากที่สุดในสมการด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนจะมีบางคนที่ชาตินี้ไม่มีทางได้กลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ซะแล้ว” แอนเดรียกวาดตามองดูแอสเชสอย่างเห็นใจ
แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่เหมือนไม่ได้สนใจ
“นี่มัน…บ้าไปแล้ว” จู่ๆ โรแลนด์ก็ได้ยินเสียงอุทานของฟิลลิสดังขึ้นมา
“ทำไมเหรอ?” เขาหันหน้าไปทางอีกฝ่าย
“ในยุคสมัยของทาคิลา สำหรับแม่มดทุกคนแล้ว การเลื่อนขั้นเป็นแม่มดระดับสูงนั้นเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ทุกคนต่างปรารถนาที่จะได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้า แต่กลับไม่มีใครกล้าคุยเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม ถ้าหากมีใครประกาศว่าตัวเองจะต้องได้กลายเป็นแม่มดระดับสูง เกรงว่าคนๆ นั้นคงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะต้องไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแน่ แต่ตอนนี้…” ฟิลลิสที่บ่นอยู่เหมือนจะได้สติขึ้นมา “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ไม่ดี หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกว่ามันแตกต่างกันมากเกินไป จนทำให้หม่อมฉัน….”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” โรแลนด์ยิ้มเล็กน้อย “เหมือนกันพ่อค้านอนตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเงินที่ตัวเองสะสมเอาไว้มันไม่มีค่าอีกต่อไปนั่นแหละ”
“ในจุดนี้หม่อมฉันไม่เหมือนท่านอกาธาเพคะ” ฟิลลิสพูดเสียงเบาๆ “นางมาถึงที่นี่เร็วกว่าหม่อมฉันเพียงแค่ปีเดียว แต่ตอนนี้นางกลับทำให้เกิดการศึกษาการตื่นรู้ระดับสูงขึ้นมาใหม่แล้ว สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะของสมาพันธ์”
“ความจริงมันก็ไม่ได้เข้าใจยากอะไร ถ้าคนรุ่นหลังไม่แข็งแกร่งกว่าคนรุ่นก่อน แล้วพวกเราจะก้าวหน้าต่อไปได้อย่างไร?” เขาพูดอย่างเปิดเผย “ขอเพียงพวกเราก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เรื่องแบบนี้มันก็จะเกิดขึ้นอยู่ตลอด เมื่อได้เห็นพวกนาง พวกเราก็จะรู้สึกว่านั่นคือความหวังไม่ใช่เหรอ”
ฟิลลิสมองตามสายตาของเขาไปยังสาวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง
“แต่ความสามารถมันยิ่งเยอะก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ” ไลต์นิ่งพูดอย่างมั่นใจ “ข้ารู้สึกว่าข้าไม่เพียงแต่จะรวบรวมพลังเวทมนตร์ได้ แต่ข้ายังจะได้พลังย่อยมาอีกหลายอย่างด้วย เพราะนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ต้องได้รับสิ่งตอบแทนที่เยอะที่สุดอยู่แล้ว!”
“จิ๊บ…!” เมซี่ที่ยืนอยู่ข้างเตียงชูมือขึ้นมาเหมือนกำลังสนับสนุนอีกฝ่ายอยู่
“มันมีตรรกะแบบนี้ที่ไหนล่ะ!” ลูน่าพูด
ภายในห้องพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที
โรแลนด์มองดูภาพตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวยิ้มๆ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้อง
“ทำไม เจ้าไม่เข้าไปดูนางหน่อยเหรอ?”
หลังปิดประตู เขาก็พูดกับชายคนหนึ่งที่ยืนพิงกำแพงอยู่ตรงทางเดิน
คนๆ นั้นก็คือธันเดอร์