โบยบิน (2) โดย Ink Stone_Fantasy

นักสำรวจยังคงแต่งตัวอลังการเหมือนเดิม มีทั้งขนนกที่ปักเต็มตัวและผ้าปิดตาที่ปักลายกุหลาบ เพียงแค่การแต่งตัวนี้ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่มีทางคิดเชื่อมโยงไปถึงธันเดอร์ได้แน่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม โรแลนด์กลับรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายนั้นแตกต่างไปจากตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง

“ในการจะปลอมเป็นใครซักคนต้องทุ่มทั้งตัวและหัวใจเข้าไปในนั้น และคิดว่าตัวเองคือคนๆ นั้น ถึงจะหลอกสายตาของคนอื่นได้ นี่คือประโยคแรกที่กระหม่อมได้เรียนรู้มาจากครูที่สอนการปลอมตัวให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์สูบไปป์ แสงสีแดงจางๆ ดูแล้วเหมือนกับหิ่งห้อยที่อยู่ท่ามกลางความมืด “กระหม่อมเกรงว่าตอนนี้กระหม่อมคงไม่สามารถปลอมตัวเป็นแซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดได้…นางจะต้องดูออกแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ที่แท้ความรู้สึกแปลกๆ นั้นมาจากเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ โรแลนด์คิดในใจ เพราะว่าการบรรลุนิติภาวะนั้นมีอันตรายอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำแสร้งทำเป็นคนอื่นที่ไม่เป็นห่วงลูกสาวของตัวเองได้

ถ้ามีความเป็นห่วง อย่างนั้นก็ไม่ใช่แซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ด

“หรือเจ้าคิดจะปกปิดไปแบบนี้เรื่อยๆ?” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “คำพูดของไลต์นิ่งเมื่อกี้นี้ เจ้าน่าจะได้ยินแล้วใช่ไหม นางตั้งมั่นแล้วว่าจะเดินไปบนเส้นทางของนักสำรวจ”

คำถามนี้ทำเอาธันเดอร์นิ่งไปนาน

นานจนโรแลนด์คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบ แต่จากนั้นเขาก็เอ่ยปากออกมาว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเชื่อในเรื่องโชคชะตาไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

มีชั่วแวบหนึ่งที่โรแลนด์เกิดความสงสัยในความเป็นนักสำรวจของธันเดอร์ขึ้นมา

นี่มันคำพูดสุดคลาสสิคก่อนจะเริ่มเทศนาไม่ใช่เหรอ?

แน่นอน คำถามประเภทนี้ัมักจะเจออยู่ในจดหมายรักของเด็กมัธยมด้วย

แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบ “เคยมีคนบอกกระหม่อมว่าคนที่ยอดเยี่ยมมักจะตายเพราะสิ่งที่ตัวเองถนัด และพระเจ้าก็จะประทานพรสวรรค์มาให้คนเหล่านี้เพื่อเป็นการชดเชย ซึ่งนี่ก็คือโชคชะตา มันคือเส้นทางที่เหมือนทุกกำหนดเอาไว้แต่แรกแล้ว เป็นเพราะว่าถูกดึงดูดจากพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนอื่น สุดท้ายก็ต้องตายเพราะมัน กลายเป็นว่าคนที่มีความสามารถธรรมดาๆ เสียอีกที่มีอายุยืนกว่า”

“ใครเป็นคนพูด?” โรแลนด์อดถามขึ้นมาไม่ได้

“แซนเดอร์ หรือก็คือคนที่นำกระหม่อมมาสู่เส้นทางของนักสำรวจพ่ะน่ะค่ะ” ธันเดอร์พ่นควันออกมา

“เดี๋ยวๆ ที่ฟยอร์ดมีคนนี้จริงๆ เหรอ? เจ้าไม่กลัวว่าไลต์นิ่งจะเคยได้ยินชื่อของเขาเหรอ?”

“เขาตายไปหลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียง พอตายไปก็ไม่มีใครจำได้…ตามมาตรฐานของฟยอร์ดแล้ว เขาไม่อาจเรียกว่าเป็นนักสำรวจได้ด้วยซ้ำ” ควันจากไปป์ล้อมตัวธันเดอร์เอาไว้ ร่างกายของธันเดอร์เหมือนรวมเข้าไปเป็นหนึ่งกับเงามืดของกำแพง “ตอนที่เขาตาย เขายังหาเกาะหรือเส้นทางเดินเรือใหม่ๆ ไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ แต่แซนเดอร์ก็ไม่ได้สนใจชื่อเสียงของเขา เขาบอกว่าการได้สำรวจนั้นคือความสนุก ถึงจะไม่มีพรสวรรค์ก็ไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะอายุสั้น”

โรแลนด์เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “อย่างนั้นเขาตายเพราะอะไร?”

“เพราะช่วยกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์ค่อยๆ พูดออกมา “เรือของพวกเราบังเอิญถูกผีทะเลโจมตี ตอนที่แซนเดอร์ลากกระหม่อมกลับขึ้นเรือ เขาดันถูกเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นตะปบเข้า บาดแผลนั้นไม่ได้สาหัส แต่สมุนไพรกลับช่วยเขาไม่ได้ เนื้อเขาเน่าลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสามวันเขาก็ตาย ในตอนนั้นเขาพูดกับกระหม่อมว่าสุดท้ายเขาก็ตายเพราะสิ่งที่ตัวเองถนัด ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีที่โดดเด่นเลย สิ่งเดียวที่เขาถนัดก็คือเขาคิดว่าตัวเองใจดีเท่านั้น”

“….” โรแลนด์พบว่าตัวเองไม่รู้ควรจะพูดอะไรดี

“หลังไลต์นิ่งเกิดมา นางก็มีแสดงพรสวรรค์ในด้านการสำรวจออกมาได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการแยกแยะเส้นทางเดินเรือหรือว่าการวาดแผนที่ นางก็สามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป” ในตอนที่ธันเดอร์พูดเรื่องพวกนี้ สีหน้าเขาดูค่อนข้างสับสน “หลังจากกระหม่อมรู้ว่านางตื่นรู้กลายเป็นแม่มด ความกังวลตรงนี้มันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก พระองค์ก็คงจะรู้ว่าสำหรับนักสำรวจแล้ว ความสามารถตรงนี้มันหมายถึงอะไร”

ถูกต้อง ถ้าพูดถึงความกล้า ความอยากรู้อยากเห็นและความกระหายที่จะเรียนรู้นั้นเป็นสัญชาตญาณธรรมชาติที่แอบซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ ไม่ว่าใครก็มีโอกาสที่จะแสดงมันออกมาได้ อย่างนั้นการที่มีพลังเวทมนตร์ก็เรียกได้ว่ามันเป็นความเมตตาจากพระเจ้า

“กระหม่อมก็เลยตัดสินใจ” ธันเดอร์เงยหน้าขึ้นมา แสงไฟจากไปป์สะท้อนผ่านออกมาจากดวงตาของเขา “ถ้าบอกว่าเป็นไปได้ยากที่เราจะหลีกหนีชะตาชีวิต อย่างนั้นหม่อมฉันอาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งมาตัดมันได้ ถ้าหากหม่อมฉันสามารถเปิดเผยปริศนาต่างๆ ที่ยังเป็นความลับเหล่านั้นได้ก่อนที่ไลต์นิ่งจะก้าวเข้ามาสู่เส้นทางนักสำรวจเต็มตัว อันตรายที่นางจะเจอก็ลดลงไปมาก ถ้าตัดพื้นที่ที่ปีศาจยึดครองออกไปแล้ว ตอนนี้สถานที่ที่ยังไม่มีคนไปเหยียบก็จะเหลือเพียงแค่ทางตะวันออกของเส้นทะเลกับทวีปที่มองเห็นจากซากโบราณสถานในน่านน้ำทะเลชาโดว์ เอาไว้พระองค์จัดการปีศาจเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมก็น่าจะวาดแผนที่ของสองที่นี้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น กระหม่อมขอออกไปสำรวจคนเดียวจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ถ้าไม่มีสถานที่ืั้ต้องสำรวจ มันก็จะไม่มีอันตราย คำตอบนี้ทำเอาโรแลนด์รู้สึกสะอึกขึ้นมา

ถึงแม้โลกนี้อาจจะใหญ่กว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ แต่การที่สามารถเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ในยุคสมัยนี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

แรงโน้มถ่วงนั้นมัดคนเราเอาไว้บนพื้นโลก แต่มันกลับไม่สามารถควบคุมความคิดที่บ้าคลั่งของคนเราได้

และธันเดอร์ก็ถือเป็นหนึ่งในยอดคนเหล่านั้น

การโบยบินไม่ใช่อภิสิทธิ์ของแม่มดเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา “วางใจได้ ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้ไลต์นิ่งของเจ้าคืนอย่างปลอดภัยหลังจบสงครามแห่งโชคชะตา”

“งั้นกระหม่อมขอฝากพระองค์ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ธันเดอร์พูดพร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก

ทันใดนั้นเอง ภายในห้องพลันมีเสียงอุทานตกใจดังออกมา

โรแลนด์พยักหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องนอน

กำแพงถูกเลื่อนเปิดออก แต่เขาไม่ได้ยินเสียงกระตุ้นของรูนแห่งโชคชะตา

“ฝ่าบาท” เวนดี้พูดอย่างตื่นเต้น “พลัง…พลังเวทมนตร์ของไลต์นิ่งรวมตัวกันแล้วเพคะ!”

เป็นแม่มดที่ยกระดับขึ้นในวันบรรลุนิติภาวะอีกคนแล้ว เขามองเห็นความตื่นเต้นอยู่ในแววตาของอกาธากับเวนดี้ นี่หมายความว่างานวิจัยของพวกเธอนั้นสามารถใช้งานได้

“จริงเหรอ?” โรแลนด์เดินไปที่เตียงพร้อมมองดูสาวน้อยที่ทำหน้าเหมือนอยากจะลองพลังใหม่ของตัวเอง “ไม่รู้สึกเจ็บเลยเหรอ?”

“ไม่เลยเพคะ” ไลต์นิ่งตบหน้าอกตัวเอง “หม่อมฉันรู้สึกว่าร่างกายของหม่อมฉันมันเต็มไปด้วยพละกำลังเพคะ! แต่เสียดายที่ไม่สามารถปล่อยพลังผ่านรูนแห่งโชคชะตาออกไปได้ หม่อมฉันทำให้หินเวทมนตร์สว่างได้ถึงก้อนที่สี่เท่านั้นเพคะ”

“อย่างนั้นก็ดี” โรแลนด์ถอนหายใจ “วันนี้เจ้าพักผ่อนก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อย…”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะลองดูตอนนี้เลยได้ไหมเพคะ!” ไลต์นิ่งกระโดดลงจากเตียง “หม่อมฉันรู้สึกเหมือนมันกำลังเรียกหม่อมฉันอยู่ ทำให้หม่อมฉันรู้สึกอยากจะบินออกไปตอนนี้เลยเพคะ!”

มันที่ว่านี่หมายถึงพลังเวทมนตร์เหรอ? โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา สมแล้วที่เป็นคนฮึกเหิมที่สุดในสโมสรแม่มด เธอพูดมาขนาดนี้แล้ว เขายังจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ “พาเมซี่ไปด้วย อย่าบินไปไกลนักล่ะ”

“เพคะ!”

“จิ๊บ!”

กำแพงด้านหนึ่งยังคงเปิดออกครึ่งหนึ่ง เมซี่แปลงเป็นนกพิราบก่อนจะบินไปเกาะบนหัวไลต์นิ่ง จากนั้นเธอใช้สองมือจับนกพิราบเอาไว้ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปจากห้อง ไม่นานเธอก็หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

“ไม่รู้ว่าความสามารถของนางหลังจากที่พลังเวทมนตร์รวมตัวแล้วจะเป็นยังไงบ้าง…” เวนดี้มองออกไปด้านนอก “พรุ่งนี้คงต้องยุ่งอีกแล้ว”

“ตอนที่ทดสอบให้ข้าใช้หินเวทมนตร์หลากสีในการสำรวจด้วยนะ” ฟิลลิสพูดเสริมขึ้นมา

“เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน รอพรุ่งนี้….”

ในขณะที่โรแลนด์พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ บนท้องฟ้าพลันมีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา!

เสียงนั้นฟังดูรุนแรงอย่างมาก! หิมะถูกสั่นสะเทือนจนฟุ้งกระจายขึ้นมา เศษน้ำแข็งร่วงกราวลงมาเหมือนฝน ส่วนหน้าต่างกระจกของปราสาทก็ร้าวขึ้นมา เหมือนกับถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นฟาดใส่

ในขณะที่เหล่าแม่มดกำลังสบตากันอย่างตกตะลึง เสียงระเบิดอันดังสนั่นนั้นทำให้เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วทั้งเทือกเขาสิ้นวิถีอย่างต่อเนื่องอยู่นาน