บัญชามังกรเดือด บทที่ 870 ฉินหลาน
ฉินเทียนที่ถูกหูเฟยพูดกรอกหูแบบนั้น ก็พลันไม่สบอารมณ์ไปในทันที “เอาสิสัญญาก็สัญญา ฉันไม่กลัวอยู่แล้ว!”
“ทว่า พี่เฟยฉันจะบอกอะไรให้นะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลูก ๆ ของเราโตขึ้น อีกยี่สิบปีให้หลัง ใครจะรู้ว่าตอนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พวกเราก็แค่หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเล็กไปก่อน นี่คือสัญญาของสหายเช่นพวกเรา พวกเราก็แค่รอด้วยความสนุกสนานเท่านั้น”
“แต่เมื่อถึงเวลานั้น อะไรจะเป็นอย่างไร มันจะขึ้นอยู่กับความปรารถนาของพวกเขาเอง”
“เอาสิ!” หูเฟยตบต้นขาของเขา พลางพูดแบบโบราณออกมาว่า “ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงละก็ เช่นนั้นพวกเราไม่ใช่ว่าเป็นผู้เฒ่าแล้วเหรอ !”
“เช่นนั้น พวกเรามาวางรากฐานให้พวกเขากันเถอะ ที่เหลือขึ้นอยู่กับทางเลือกของพวกเขาแล้วกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า วันนี้ฉันมีความสุขมาก เพื่อลูกของเรามาเถอะ ไชโย!”
หลังจากดื่มเหล้าไปอีกสามแก้วนั้น หูเฟยก็ดูมึนเมาได้ที่แล้ว
“ฉันจะบอกความลับอีกอย่างให้—” หูเฟยพลันกระดิกนิ้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยลิ้นพันกันว่า พร้อมกับดวงตาของเขา ที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจว่า
“ฉันคิดชื่อไว้แล้ว ถ้าเป็นผู้ชาย ฉันจะเรียกว่าหูหาน”
“หูหาน?” ฉินเทียนพูดชื่อขึ้นมาอีกครั้งด้วยฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ
“หาน ที่ออกเสียงเหมือนกับนามสกุลของหานหลิง หานที่แปลว่าความเย็นด้วย ฉันคิดว่า ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย มันจะต้องได้รับความลำบากตั้งแต่เด็กเสียบ้าง ฉันจะคอยทรมานเขาเอง!”
เมื่อเห็นท่าทีของหูเฟยนั้นฉินเทียนก็ได้แต่กังวลเล็กน้อยสำหรับเด็กในท้องของหานหลิง
“ถ้าเป็นผู้หญิงล่ะ?”
“ฉันจะให้เธอชื่อว่าหูหลิง”
“เป็นไงบ้าง หูหานกับหูหลิง นายไม่คิดว่ามันมีความหมายงั้นเหรอ ?”
ฉินเทียนได้แต่พยักหน้าลงอย่างยิ้ม ๆ จากชื่อทั้งสองนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า หูเฟยมีความรักลึกซึ้งต่อหานหลิงมากขนาดไหน
“แล้วนายล่ะ?”
“จะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดี?”
“ฉินซูเหรอ?” หูเฟยเอายถามอย่างซุบซิบ
ฉินเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชื่อเล่นนายจะเรียกว่าฉินฝูซูก็ได้”
“ฉินฝูซู? ไม่ผิดเลยที่เป็นนายตั้ง เป็นชื่อที่ดี!”
“แล้วชื่อจริงล่ะ?”
ฉินเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาของเขาจะเริ่มเหม่อลอยออกไปไกล ก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำว่า “ฉินหลาน”
“ฉินหลาน?” หูเฟยคล้ายกับจะไม่เข้าใจในความหมาย
ฉินเทียนพยักหน้าลงเล็กน้อยและพูดยืนยันออกมาว่า “ใช่ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงจะเรียกว่าฉินหลาน”
หูเฟยที่ต้องการจะพูดอย่างอื่นนั้น หานหลิงและซูซูก็เดินเข้ามาในทันที
หานหลิงพลันแย้มยิ้มกล่าวออกมาว่า “พวกคุณจะดื่มจนกลายเป็นพวกขี้เมาเลยหรือ?”
“หูเฟย คุณก็เช่นกัน ในฐานะเจ้าภาพและพี่ใหญ่ยังไม่ไปรับแขกดีๆ เลย ”
“ฉันกับน้องซูซูหิวไปหมดแล้ว คุณไปที่ครัวแล้วทำบะหมี่หยางชุนให้พวกเราสักสองชามได้ไหม”
เมื่อได้ยินว่าพวกเธอกำลังหิวนั้น หูเฟยก็รีบวิ่งออกไปราวกับได้รับคำสั่งราชโองการในทันที
หลังจากนั้นไม่นาน หูเฟยก็นำบะหมี่หยางชุนสองชามกลับมาอย่างระมัดระวัง บะหมี่สีขาวในน้ำซุปใส ผักโขมและถั่วงอกเขียว พร้อมกับไข่ลวกสองฟองที่วางอยู่บนนั้น
ดูเหมือนว่าจะกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี
เมื่อผู้หญิงทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จแล้วนั้นหูเฟยก็เล่าให้พวกเธอฟังเกี่ยวกับข้อตกลงที่เขาเพิ่งทำกับฉินเทียน เมื่อครู่ว่า
และยังตั้งชื่อให้ลูกในอนาคตอีกด้วย
ผู้หญิงทั้งสองคนย่อมไม่มีอะไรจะพูดออกมา เนื่องจากทั้งคู่เองก็เห็นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อซูซูได้ยินว่าฉินเทียนตั้งชื่อให้กับเด็ก ๆ ว่า “ฉินหลาน” นั้น ทำเอาเธออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่เขา ด้วยความรักและความสงสาร
หลานซึ่งเป็นตัวแทนแม่ของเขา
ใจจริงแล้วหูเฟยและหานหลิงอยากจะให้ฉินเทียนกับซูซูอยู่นานมากกว่านี้
ทางที่ดีคืออยู่ที่นี่ตลอดไปเลย
อย่างไรก็ตาม ถึงข้างนอกจะดียังไงแต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะอยู่ตลอดไป ทั้งฉินเทียนและซูซูเองก็มีบ้านเป็นของตัวเองเช่นกัน
หลังจากเรื่องสงบลงแล้วนั้น เหลิ่งหยุนก็ได้บินกลับไปญี่ปุ่นคนเดียวแล้ว
ทางมังกรซ่อนรูปทางตะวันตกนั้น ทุกอย่างเรียบร้อยดีและค่อยๆ พัฒนาไปในทิศทางที่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างฉินชวนและหูรั่วหลันนั้น เสมือนกับเมล็ดพันธุ์ในคืนที่ฝนตกในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน มันค่อย ๆ งอกขึ้นอย่างเงียบ ๆ และกำลังพัฒนาไปในทิศทางของการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ฉินเทียนพลันคิดว่า อีกไม่นานนั้น เขาจะได้กลับมาที่ซีเป่ยอีกครั้ง เพื่อมาเข้าร่วมงานแต่งงานของพวกเขา
ทุกอย่างดูสวยงามมากจริง ๆ
ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางกลับสู่ทางใต้แล้ว
ทางใต้นั้น ไม่เพียงแต่มีพี่น้องที่รอคอยมานาน ทั้งญาติและเพื่อนสนิทก็มีใจรั้งรอเช่นเดียว รวมไปถึงบ้านของพวกเขาที่เฝ้ารอให้กลับไป
ดังนั้น ทุกคนจึงได้เวลากล่าวคำลากันเสียที
ฉินเทียนจึงได้พาซูซูและจี้ซิงไปที่สนามบินหลังจากหายไปนานนั้น และสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ก็คือมีเหตุการณ์มากมายหลายอย่างที่เกิดขึ้น นั่นจึงทำให้จี้ซิงตั้งหน้าตั้งตารอคอยเป็นอย่าง
เมื่อเห็นซูซูและฉินเทียนรักใคร่ทุกวันเช่นนี้ เขาเองก็คิดถึงหลิวชิงเหยาเช่นกัน
ทั้งสามจึงแยกทางกันที่สนามบิน ในขณะที่ฉินเทียนและซูซูขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองหลงเจียงโดยตรง
เมื่อเครื่องบินกำลังบินเข้าเมืองหลงเจียงนั้น ทั้งคู่เสมือนกับเห็นความตื่นเต้นในดวงตาของกันและกันเป็นอย่างดี
หลังจากการทดสอบชีวิตและความตาย ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว!
หลังจากลงจากเครื่องบินและสูดอากาศบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยนั้น ซูซูพลันพรั้งพูดออกมาว่า “ดีจัง”
“ต่อไปนี้ ฉันไม่อยากจะจากไปจากที่นี่อีก”
“พวกเราก็มาอยู่ที่จนแก่เฒ่ากันเลยดีไหม?”
ฉินเทียนแย้มยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่ลึก ๆ ภายในใจของเขานั้นพลันปรากฏความกังวลใจออกมาถึงแม้ว่าเรื่องราวภายในซีเป่ยจะดูจบลงไปแล้วก็ตาม
เขาที่ได้เปิดศึกกับตระกูลตนเองไปแล้วนั้น เกรงว่าช่วงนี้ ทางตระกูลฉินเองคงไม่กล้ามาทำการระรานเขาแน่ ๆ
แต่ทว่า ทุกอย่างมันจบลงแล้วจริง ๆ หรือ?
นอกเหนือจากเรื่องครอบครัวแล้ว
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า การจากไปของฉินเปียว เป็นแผนการที่วางเอาไว้แล้วตั้งแต่แรก ตั้งแต่ที่เริ่มเปิดศึกนั้น ฉินเปียวก็ค่อย ๆ ทิ้งหมากและพยายามถอยทัพของตัวเองกลับไป
ทั้งยังเตรียมตัวที่จะหลบหนีเป็นอย่างดี
และการถอนตัวของฉินเปียวนั้น
จากมุมมองนี้ เสมือนกับทุกอย่าง เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว เมื่อออกมาที่แจ้งและกลับเข้าไปในมืดอีกนั้น จึงเป็นเรื่องยากขึ้นที่จะจัดการกับมันได้
ฉินเทียนอดคิดไม่ได้ว่า นายตั้งใจจะทำอะไรต่อไป?จุดประสงค์เบื้องหลังของวิหารเทพสังหารคืออะไรกันแน่?
ฉินเปียวเพียงเอ่ยคำพูดสี่คำอย่างมีความหมายว่า: แผนการสุนัขป่า
ฉินเทียนไม่รู้ว่าแผนการสุนัขป่าคืออะไรแต่เขาก็ยังรู้ว่าสุนัขป่าคือสิ่งใด ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ สุนัขป่าตัวเดียวย่อมด้อยกว่าสิงโตและเสือ ทั้งยังด้อยกว่าเสือชีตาห์และหมาจิ้งจอกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สุนัขป่ากลับชื่อชอบการต่อสู้แบบกลุ่มเป็นพิเศษ
เมื่อพวกมันมารวมตัวกันแล้วนั้น เหล่าสุนัขป่าจะกลายมาเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในทุ่งหญ้า
สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดฉินเปียวจึงเอ่ยว่าวิหารเทพสังหารจึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
นั่นหมายความว่า พวกเขามีจำนวนคนแกเช่นสุนัขป่าอยู่จำนวนมากและแฝงตัวอยู่ในทุกแห่งของทุ่งหญ้า
ตราบใดที่มีคำสั่งดังขึ้น พวกเขาก็พร้อมจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและรีบออกไปตอบโต้ในทันที
ในเมื่อสิ่งของที่อยู่มือของพวกเขา พวกเขาถือครองยาพิษหมาป่าหอนที่สามารถทำให้คนดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่าได้นั้น
หากมีสุนัขป่าหลายหมื่นตัวถูกอัญเชิญมาเช่นนี้ไม่รู้ว่ามันจะเกิดผลกระทบและหายนะอย่างไรต่อประเทศนี้หรือแม้แต่โลกนี้ยังไงบ้าง?
ฉินเทียนไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?”
“คุณยังคิดถึงตระกูลฉินอยู่หรือ ? อันที่จริงแล้ว ฉันคิดว่านายหญิงใหญ่และพ่อของคุณเป็นคนดีนะ”
“ถ้ามีโอกาสอีก ตราบใดที่คุณยังอยากกลับไป ฉันจะไปกับคุณเอง”
เมื่อเห็นใบหน้าที่จริงจังของฉินเทียนแล้วนั้น ซูซูพลันเอ่ยขึ้นมาอย่างออดอ้อน
ฉินเทียนพลางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรครับ”
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
เขาตัดสินใจอย่างลับ ๆ ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต อย่างน้อยตอนนี้เขาจะไม่ทิ้งซูซูไปแม้แต่ครึ่งก้าว
เขาต้องการที่จะอยู่กับซูซูจนกว่าลูกจะคลอด