ตอนที่ 690 รุ้งเจ็ดสีของระดับสวรรค์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

กำลังของหุบเขาโอสถเองนั้นก็มิไม่ได้อ่อนด้อย ถึงแม้ว่าจะถูกพวกนั้นหาหอโอสถจนพบแล้ว แต่หากพวกหุบเขาหมอเทวดาคิดที่จะรีบเผด็จศึกเพื่อที่จะรีบเอาหอโอสถไป เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

และในตอนนี้เอง ยาของทางมู่เฉียนซีก็ได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างช้า ๆ

เรื่องทั้งหมดกำลังดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น และมู่เฉียนซีก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่เต็มเปี่ยมของยาสวรรค์ว่านหลิงได้แล้ว

พลังจิตของมู่เฉียนซีในเวลานี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นางรอให้พลังแห่งยาทั้งหมดหลอมรวมเข้าด้วยกันและให้มันสำเร็จออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ

และในตอนที่ยานี้ได้ทำสำเร็จออกมาอย่างสมบูรณ์ ที่ส่วนกลางของยาที่มีสีเขียวอ่อนนี้ก็ได้พลันปรากฏแสงพุ่งขึ้นไปบนเส้นขอบฟ้าเป็นสีของรุ้งเจ็ดสี

ทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอย่างพัวพันอยู่ในเวลานี้ก็ล้วนแต่ตะลึงงัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“รุ้งเจ็ดสี! รุ้งเจ็ดสี! หรือว่ามียาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าขั้นสูงสุดบังเกิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้ว”

“ในตำนานได้กล่าวไว้ว่า มีเพียงแค่การกำเนิดขึ้นมาของยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าขั้นสูงสุดเท่านั้นที่จะทำให้เกิดแสงที่เหมือนดั่งรุ้งเจ็ดสีเช่นนี้ได้”

“……”

ท่ามกลางแสงทั้งเจ็ดสีนั้น เต็มไปด้วยพลังของยาที่ทำให้หอโอสถนั้นมีความสุขอย่างที่สุด

ในตอนนี้เอง หอโอสถได้พุ่งเข้าไปที่กลางลำแสงสีรุ้งเจ็ดสีนั้น และได้ดูดเอาพลังที่พลุ่งพล่านของยาที่อยู่ในรุ้งเจ็ดสีนั้นออกมา

“สบายยิ่งนัก ช่างสบายตัวยิ่งนัก! ข้ามิได้รู้สึกสบายเช่นนี้มานานมากแล้ว” เสี่ยวเย่าที่กำลังอาบแสงสีรุ้งเจ็ดสีอยู่นั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก สุขเสียจนมันลืมไปเลยว่าตัวมันกำลังถูกคนเลวกลุ่มหนึ่งต่อสู้แย่งชิงตัวมันอยู่ มันนั้นกำลังจมอยู่ในการดื่มด่ำกับพลังของยา

ในหลายพันปีมานี้มันนั้นไม่ได้ดูดซับพลังแห่งยาเลย ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นเวลานับพันปี ดังนั้นแล้วมันจึงไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการกินให้อิ่มดื่มให้พอ

“ยอดเยี่ยมนัก! สาวน้อยข้ารักเจ้า!” เสี่ยวเย่าตะโกนบอกรักออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น แต่ทว่ามู่เฉียนซีกลับไม่ได้ยิน

“ไม่!” พวกหัวหน้าหุบเขาเวินเหรินตกตะลึง

“นางทำสำเร็จแล้ว นางทำสำเร็จแล้วจริงๆ ทำยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าขั้นสูงสุดออกมาได้สำเร็จแล้ว เหลือเชื่อยิ่งนัก!”

พวกเขานั้นเอาแต่กล่าวกันเสมอมาว่ามู่เฉียนซีนั้นสามารถสร้างเรื่องอัศจรรย์ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่การที่นางสามารถสกัดยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าออกมาได้นั้น มันมิใช่เรื่องอัศจรรย์อีกต่อไปแล้ว แต่มันคือปาฏิหาริย์แห่งเทพ

ต้องรู้เอาไว้ก่อนว่านางนั้นเป็นเพียงจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สองผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย

“นั่นมันคืออะไรกันแน่ ส่งคนไปสำรวจดูว่ามันคือยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าหรือไม่!” ผู้เฒ่าไป๋เหลือบมองไปยังแสงสีรุ้งเจ็ดสีและกล่าวด้วยเสียงต่ำ

สีหน้าของหัวหน้าหุบเขาเวินเหรินเองก็เปลี่ยนไปในทันที “แย่แล้ว รีบส่งคนไปคุ้มกันเสี่ยวซีเร็วเข้า เกรงว่านางจะมีอันตรายเสียแล้ว”

หากให้พวกหุบเขาหมอเทวดาพบเข้าว่ามู่เฉียนซีเป็นผู้ที่สกัดยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าออกมาละก็ พวกมันจะต้องไม่ปล่อยนางไปเป็นแน่

“ขอรับ!”

คนของหุบเขาหมอเทวดาต้องการที่จะบุกเข้าไป ส่วนคนของหุบเขาโอสถนั้นก็รั้งอยู่ ป้องกันอย่างเต็มกำลัง

มู่เฉียนซีเองก็กำลังจ้องมองที่แสงสีรุ้งเจ็ดสีอย่างตะลึงงัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

การปรุงยาของนางที่ผ่าน ๆ มาไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ถ้าหากว่านางถูกพบว่าทำออกมาเป็นเช่นนี้ได้ ไม่แน่นางอาจจะถูกจับตัวไปเป็นหนูทดลองทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อยู่ที่โลกปัจจุบันก็เป็นได้

มู่เฉียนซีกล่าว “หรือว่าเรื่องนี้เป็นผลมาจากยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าขั้นสูงสุด เมื่อสกัดยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าออกมาก็จะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น”

มู่เฉียนซีรีบบรรจุยานั้นอย่างรวดเร็ว นางกล่าวขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะต้องเอายาไปมอบให้แก่หอโอสถ”

“ให้ตายสิ! มู่เฉียนซีไปไหนแล้วนี่?” พื้นที่ของหุบเขาโอสถนั้นมิใช่พื้นที่เล็ก ๆ อีกทั้งยังมีกลไกหลากชนิดต่าง ๆ มากมาย

อวี้เหลียนชิงที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันของยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิถึงสามคน นั่นจึงทำให้เขาสามารถฝ่ากลไกและค่ายกลต่าง ๆ มาได้อย่างปลอดภัยเป็นจำนวนไม่น้อย แต่หากคิดที่จะหาตัวมู่เฉียนซีให้พบ มันกลับมิได้ง่ายดายเช่นนั้น

และในตอนที่เขากำลังหามู่เฉียนซีไม่พบอยู่นี่เอง เขาก็พลันเห็นแสงสายรุ้งเจ็ดสีนั่นเข้า

“ท่านอาจารย์เคยกล่าวเอาไว้ การปรากฏขึ้นของสายรุ้งเจ็ดสีนั้นก็คือปรากฏการณ์การบังเกิดขึ้นของเม็ดยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้า แต่หุบเขาโอสถนั้นจะไปมียอดปรมาจารย์นักปรุงยาขั้นสูงเช่นนั้นได้อย่างไร ถ้าหากว่ามีจริง เช่นนั้นพวกหุบเขาโอสถก็คงจะล้ำหน้าพวกเราหุบเขาหมอเทวดาไปนานแล้ว ที่นี่มีอะไรแปลกประหลาด พวกเราไปดูกันเถอะ!”

“ขอรับ นายน้อย!”

เมื่ออวี้เหลียนชิงเข้าไปใกล้ห้องที่มู่เฉียนซีใช้ปรุงยานั้น มู่เฉียนซีก็ได้เดินออกมาจากห้องนั้นพอดี

“มู่เฉียนซี!”

“ในที่สุดข้าก็หาตัวเจ้าพบแล้ว!” สีหน้าของอวี้เหลียนชิงเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา

มู่เฉียนซีมองไปที่อวี้เหลียนชิงแล้วกล่าว “เจ้านี่มันไม่เลิกราจริง ๆ เลยนะ! ถูกไล่ออกจากหุบเขาโอสถไปแล้วตั้งสองครั้ง เจ้ายังมีหน้ากลับมาอีก!”

อวี้เหลียนชิงกล่าว “ครานี้ข้าฆ่าฟันบุกเข้ามา! อีกไม่นานก็จะนำเอาหอโอสถจากไปด้วย เมื่อถึงตอนนั้นหุบเขาโอสถที่ไร้ซึ่งหอโอสถก็ไม่มีค่าอันใดแล้ว ดูสิว่าพวกนั้นยังจะกล้ามาแข็งข้อกับพวกเราหุบเขาหมอเทวดาอีกหรือไม่!”

เมื่อเกิดเรื่องอึกทึกครึกโครมเช่นนั้นขึ้น มู่เฉียนซีนั้นได้เดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกหุบเขาหมอเทวดาได้ลงมือแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าว “คิดที่จะนำเอาหอโอสถไป พวกเจ้าฝันไปเถอะ!”

“มู่เฉียนซี ความตายมาเยือนเจ้าแล้วยังจะกล้ามาปากดีอีก! วันนี้ข้าจะต้องทำให้เจ้าได้รู้ว่าจุดจบของการเป็นปฏิปักษ์กับข้าเป็นเช่นไร!” อวี้เหลียนชิงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา

เมื่อกล่าวจบ เขาก็พุ่งเข้าไปในทันที

เพราะพลังความสามารถของมู่เฉียนซีนั้นเป็นเพียงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สองเท่านั้น เช่นนั้นการที่เขาจะสู้กับนางจึงไม่จำเป็นต้องให้องครักษ์ข้างกายเขาลงมือเลย

นางผู้หญิงบ้านี่ทำให้เขาขายหน้าไปแล้วถึงสองครั้ง เขาจะต้องจัดการนางด้วยมือของตัวเองและให้นางตายทั้งเป็นถึงจะสะใจ

มู่เฉียนซีเห็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิทั้งสามที่เจ้าโง่อวี้เหลียนชิงพามาด้วย นั่นทำให้นางรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าโง่ผู้นั้นจะพุ่งเข้ามาก่อนใคร

เช่นนี้แล้วนางคิดที่จะหลบหนีออกไปอย่างไร้รอยขีดข่วนคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

“นิ้วเพลิง!”

เมื่อนิ้วของอวี้เหลียนชิงเริ่มขยับ มือทั้งสองข้างนั้นก็ได้มีไฟลุกท่วมขึ้นมา และนิ้วมือนั้นก็ได้เปลี่ยนไปเป็นดั่งกระบี่เพลิงก็มิปาน มันได้ฟาดฟันกวาดผ่านไปทั่ว!

มู่เฉียนซีขยับตัวหลบหลีกอย่างรวดเร็ว!

ความเร็วของนางนั้นเร็วมาก! แม้แต่นิ้วเพลิงก็ยังสามารถหลบหลีกได้ สีหน้าของอวี้เหลียนชิงหม่นคล้ำลงและจากนั้นเขาก็ได้ตามติดโจมตีมู่เฉียนซีต่อ

“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะหลบไปได้ตลอด!”

“เจ็บปวด!”

“โศกา!”

“สิ้นหวัง!”

ฟึบ ฟึบ ฟึบ!

ต้องยอมรับเลยว่านิ้วเพลิงนั่นรับมือได้ยากมาก มู่เฉียนซีที่ถูกตามติดโจมตีนั้นลำบากยิ่งนัก ส่วนอวี้เหลียนชิงนั้นก็เริ่มยิ้มอย่างบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “อวี้เหลียนชิง มีใครบอกเรื่องนี้แก่เจ้าหรือไม่?”

“เรื่องอะไร?” อวี้เหลียนชิงตะลึงงัน!

“เจ้านั้นโง่จริง ๆ โง่เขลาที่สุดเลย!”

เมื่อกระบี่มังกรเพลิงออกจาฝัก มู่เฉียนซีก็ได้กวัดแกว่งกระบี่ออกไป!

“มังกรเพลิงสังหาร!”

มังกรเพลิงได้เข้าไปรัดลูกไฟที่ออกจากมือเพลิงของอวี้เหลียนชิงเอาไว้ จากนั้นก็ได้พุ่งเข้าไปทางตัวอวี้เหลียนชิง

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

“……”

เมื่อเห็นอวี้เหลียนชิงตกอยู่ในอันตราย เหล่าองครักษ์ก็ได้รีบร้องตะโกนขึ้นพร้อมเตรียมที่จะลงมือ!

อวี้เหลียนชิงกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้าทั้งหมดอยู่นิ่งๆ ข้าต่อสู้กับสตรีที่เป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สองเพียงคนเดียว จะต้องให้พวกเจ้าลงมือด้วยหรืออย่างไร ?”

ว่าแล้วเขาก็ได้รีบโคจรพลังวิญญาณขึ้นมาและป้องกันมังกรเพลิงตัวนั้นเอาไว้ แต่ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถที่จะป้องกันเอาไว้ได้และได้ถูกมังกรเพลิงงับมือเข้า

“อ๊าก!”

“ข้าร้อนมือนัก!”

“เจ็บปวดนัก!”

ในเปลวเพลิงนั้นได้มีเสียงร้องโหยหวนของอวี้เหลียนชิงลอยออกมาเป็นระยะ ๆ

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “โง่ที่สุดอย่างที่คิดไว้จริง ๆ”

แกร๊ก! กระบี่มังกรเพลิงหักลงอีกครั้งและตัวกระบี่นั้นก็ได้อับแสงลงแต่ปลายกระบี่นั้นยังคงส่องแสงแทงตาคนอยู่เช่นเดิม และมันยังคงเต็มไปด้วยเจตนารมณ์แห่งการต่อสู้ที่ลุกโชน

แม้ว่าอวี้เหลียนชิงที่ได้รับการช่วยเหลือจะอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช แต่การโจมตีของนางในครั้งนั้น นอกจากการที่ได้เผามือของเขาไปก็มิได้ทำให้ส่วนอื่นของร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บหนักแต่อย่างใด

เพราะว่าเขานั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟ เขาจึงรับรู้ได้ถึงพลังแห่งธาตุไฟได้อย่างรวดเร็ว เขามองไปยังมู่เฉียนซีที่กำลังเก็บปลายกระบี่ขึ้นมาพร้อมกล่าว “เป็นพลังธาตุไฟที่แข็งแกร่งนัก”

“ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเจ้าไม่สามารถที่จะใช้พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้เลย แล้วอีกอย่างเจ้าเองก็มิใช่ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟ!”

“ปลายกระบี่เล็ก ๆ นั่นจะต้องไม่ใช่สิ่งของอะไรที่ธรรมดาแน่ และในชั้นที่สี่ของหอโอสถเจ้าคงจะใช้มันเพื่อผ่านด่านการทดสอบมาอย่างแน่นอน”

อวี้เหลียนชิงมองไปที่ปลายกระบี่ที่ส่องแสงอยู่ ถึงแม้ว่าในเวลาปกติแล้วเขาจะเป็นผู้ที่โง่เขลา แต่เมื่อเขาโลภมากขึ้นมา หัวสมองของเขาก็เริ่มความคิดขึ้นมาทันที