บทที่ 2238+2239

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2238 ตี้ฝูอีไปไหนกันนะ?

ทำไมยังไม่กลับมาอีก?

ด้วยวรยุทธ์ของเขาสมควรจะกลับมานานแล้วสิ…

เวลาผ่านเลยไปอีกครึ่งชั่วยาม เธอนั่งสมาธิต่อไปไม่ไหวแล้ว ใคร่ครวญเล็กน้อย ตัดสินใจเคลื่อนย้ายไปดูในห้องเขา

บางทีเขาอาจจะกลับมาอย่างเงียบๆ กระมัง? ถึงอย่างวรยุทธ์ของคนผู้นี้ก็สูงส่งยิ่ง อีกทั้งห้องนี้ของเขาก็เก็บเสียงด้วย

ภายในห้องหนาวเย็นยิ่ง เครื่องนอนพับไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่มีใครกลับมา…

หรือว่าเขาจะไม่กลับมาแล้ว?

ตนด่าเขาไปเช่นนั้น ทำร้ายจิตใจเขา จึงไม่กลับมาเสียเลยงั้นหรือ?

หรือเกรงว่าพบเธอแล้วจะกระอักกระอวน จึงไปที่โรงเตี๊ยมอื่นแล้ว?

ถึงอย่างไรเขาก็มีฝีมือมีลู่ทาง มีวิธีการเพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ…

เป็นแบบนี้หรือเปล่า?

คนผู้นี้หยิ่งทะนง จองหองพองขนเสมอมาและไม่ยอมรับความอยุติธรรม…

ในสมองเธอคาดเดาไปสารพัด ทุกอย่างคล้ายจะย่ำอยู่กับที่ ล้วนดูไม่มีปัญหาทั้งสิ้น

แต่ในใจเธอกลับกระสับกระส่าย

นิ่งค้างอยู่พักหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจในทันใด เคลื่อนย้ายออกเมืองไปเลย…

เธอจะไปดูตรงจุดที่แยกทางกันสักหน่อย ดูเขาว่าเขายังอยู่ที่นั่นไหม…

….

พระจันทร์กลมมนใหญ่โตยิ่ง

เพียงแต่ถึงจะเป็นคืนจันทร์เพ็ญ แต่กลับมีฝนห่าใหญ่ตกลงมา!

พายุฝนกระหน่ำลงมาปานสาดเท สาดกระเซ็นไปทั่ว

กู้ซีจิ่วมองพระจันทร์ที่ลอยสูงอยู่บนฟ้า จากนั้นก็มองสายฝนที่หลั่งไหลลงมาปานแส้ ในใจร้องด่าไปถึงมารดาอย่างชิงชังยิ่งนัก!

พระจันทร์โผล่แต่ฝนตกหนัก จะขัดต่อหลักสภาพอากาศเกินไปหรือเปล่า?!

แดนอสุราผุพังแห่งนี้ เกิดเรื่องประหลาดขึ้นไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ!

สถานที่แห่งนั้นอยู่ห่างจากเมืองลั่วฮวาถึงหนึ่งร้อยสิบลี้ เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายก็ยังต้องเคลื่อนย้ายถึงเจ็ดแปดครั้ง และระหว่างที่เคลื่อนย้ายอยู่ ยังพบสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่งเป็นครั้งคราวด้วย ถ้าเลี่ยงได้เธอก็จะเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้เธอก็จะควงกระบี่เข่นฆ่าเสีย…

ฝนตกหนักอยู่ตลอด กู้ซีจิ่วสามารถใช้วิชาสร้างเขตแดนขึ้นมากำบังฝนได้แล้ว แต่วันนี้เธอเหนื่อยล้าเกินไปจริงๆ เรี่ยวแรงและพลังวิญญาณล้วนไม่เพียงพอ หากเธอใช้คาถาสร้างเขตแดนคุ้มกัน ก็ไม่สามารถต่อกรกับสัตว์ร้ายได้…

ดังนั้นภายในเวลาไม่นาน เธอเปียกปอนปานลูกนกตกน้ำ

ในเมื่อเปียกปอนจนเป็นเช่นนี้แล้ว เธอจึงระงับการสร้างเขตแดนคุ้มฝนเสียเลย บุกตะลุยอย่างบ้าระห่ำไปตลอดทาง

ภายใต้การทุ่มเทเช่นนี้ ในที่สุดเธอก็กลับไปถึงสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง

รอบข้างมีต้นไม้หักโค่น มีสะเก็ดหินจากการต่อสู้เกลื่อนกลาด

แต่ตี้ฝูอีหายไปแล้ว…

เธอวนดูในละแวกนี้ถึงสามรอบ ก็ไม่พบเงาร่างของตี้ฝูอีเลย

ฝนโปรยปรายใส่ศีรษะปานสาดเท ไม่เพียงแต่โหมกระหน่ำใส่คนจนลืมตาแทบไม่ขึ้นเท่านั้น ยังทำให้ร่องรอยทั้งหมดหายไปด้วย

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เช็ดหยาดฝนออกจากใบหน้า อดไม่ได้ที่จะก่นด่าตัวเองว่าประสาท!

ฝนตกหนักขนาดนี้ ถ้าเขายังรออยู่ที่เดิมสิถึงจะแปลก!

ต่อให้ฝนไม่ตก แต่เวลาล่วงเลยไปนานปานนี้แล้ว เขาคงจากไปตั้งนานแล้ว!

สมองตนคงพิการไปแล้วถึงได้วิ่งฝ่าพายุฝนโหมกระหน่ำออกมา…

กู้ซีจิ่วคิดมาโดยตลอดว่าตนฉลาดเฉลียวยิ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมา!

โชคดีที่ฝนนี้มิใช่พิรุณโลหิต เป็นเพียงสายฝนธรรมดา แต่หยาดฝนเย็นเฉียบ สาดเทลงบนร่างเช่นนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกว่าไอเย็นแทรกซึมไปทั้งร่าง ไม่สบายตัวยิ่งนัก

วันนี้เธอวิ่งเต้นสารพัดอยู่ทั้งวัน ยังไม่ได้พักผ่อนเลย ถึงขั้นที่ไม่มีเวลากินอะไรเลยด้วยซ้ำ

ร่างกายจึงทนรับไม่ไหวอยู่บ้าง เหนื่อยล้าจนสองขาค่อนข้างสั่นสะท้าน

เธอมองผืนป่ารอบข้าง ป่าทึบถูกบดบังด้วยม่านฝน กว้างไกลไร้ขอบเขต

ตี้ฝูอีไปไหนกันนะ?

เธอค้นหาโดยรอบอย่างละเอียดปานร่อนด้วยตะแกรงดูรอบหนึ่งแล้ว หาไม่พบแม้แต่มุมชุดสักเสี้ยวของเขา คาดว่าคงไม่มีสัตว์ร้ายโจมตีเขา มิเช่นนี้จะอย่างไรก็ต้องมีเศษชุดอันใดตกหล่นอยู่บริวเณนี้บ้าง…

————————————————————————————-

บทที่ 2239 พลัดหลงได้ง่ายดายยิ่ง…

บางทีเขาอาจจะกลับเมืองไปแล้วจริงๆ ป่าผืนนี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พลัดหลงได้ง่ายดายยิ่ง…

เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง หายไปในชั่วพริบตา

หลังเธอจากไปได้ไม่นาน เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนต้นไม้

คนผู้นี้สวมชุดดำ สวมกวานหยกสีม่วง บนหน้าสวมหน้ากากเอาไว้เช่นกัน มองไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เห็นเพียงว่าทั้งร่างของคนผู้นี้คล้ายห่อหุ้มอยู่ในเมฆาดำทมิฬ หลอมรวมเป็นหนึ่งกับรัตติการอันมืดมิด…

ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ แต่ไม่ตกต้องร่างเขาเลยสักหยด อาภรณ์บนร่างพลิ้วไหวโดยไร้สายลม

เขายืนอยู่ตรงนั้น หลุบตามองจุดที่กู้ซีจิ่วเคยยืนอยู่ ใจลอยเล็กน้อย ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่

“นายท่าน!”

เงาดำสายหนึ่งเสมือนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ ค้อมกายทำความเคารพเขา

“ว่าอย่างไร?”

ชายชุดดำผู้นั้นถนอมวาจาดั่งทอง

“ข้าน้อยตรวจค้นโดยรอบแล้ว ไม่มีกลิ่นอายใดๆ ของเขาเลยขอรับ”

รอบกายชายชุดดำผู้นั้นเยียบเย็นลง

“ไอ้โง่! นำผีเสื้อสืบโลหิตจากผู้ทรงศักดิ์อย่างข้าไปแล้วก็ยังหาที่อยู่ของคนเป็นคนหนึ่งไม่พบ แล้วผู้ทรงศักดิ์อย่างข้าจะเอาเจ้าไว้ทำไม?!”

ลูกน้องคนนั้นหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบทันที คุกเข่าลงเสียงดังตึง

“นายท่าน ข้าน้อยทราบความผิดแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย…”

ชายชุดดำผู้นั้นเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา

หน้ากากอัปลักษณ์ดุดัน แววตาเขาเย็นเยียบ กระทำมุทรา แล้วดีดใส่ร่างลูกน้องคนนั้น

ลูกน้องคนนั้นเสมือนถูกไฟฟ้าช็อต ร่างกายสั่นสะท้าน อ้าปากกว้าง ทว่าเปล่งเสียงไม่ออกเลย ชักกระตุกอยู่บนพื้นสองสามครา ขดตัวปานเป็นตะคริว ในที่สุดก็แน่นิ่งไป

เขาตายแล้ว สีหน้าดูเจ็บปวดอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าก่อนตายได้รับความทรมานแสนสาหัส

ชายชุดดำผู้นั้นสีหน้าเฉยชา หลังจากลูกน้องคนนั้นตาย เขากระดิกปลายนิ้วคราหนึ่ง แสงสีแดงส่องวาบ ผีเสื้อโลหิตตัวหนึ่งบินขึ้นมา วนเวียนอยู่รอบตัวเขา สุดท้ายก็เกาะนิ่งอยู่บนปลายนิ้วเขา ปลายปีกโบกกระพือ น่ามองยิ่งนัก

“นายท่าน ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือ?”

เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทำความเคารพเขาก่อน จากนั้นก็เอ่ยถาม

เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้เกล้าผมสวมกวานทอง ใส่เสื้อคลุมตัวยาวสีเขียวอ่อน เครื่องหน้างดงาม ขนตายาวเป็นแพ นัยน์ตาโต ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ดวงหน้าขาวลออ สองข้างแก้มมีลักยิ้มปรากฏรางๆ รูปโฉมน่าพึงใจยิ่งนัก เพียงแต่คิ้วค่อนข้างดกหนาไปหน่อย พาดเฉียงชี้จอนผม ทำให้เขามีเค้าความเป็นบุรุษอยู่บ้าง

เด็กหนุ่มผู้นี้มีดวงตาสีครามเข้ม สายตาที่มองชายชุดดำผู้นั้นลึกล้ำยิ่ง

ชายชุดดำผู้นั้นมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยชา

“เตี๋ยเอ๋อร์ ลูกน้องพวกนี้ของเจ้าต้องอบรมสั่งสอนใหม่แล้ว”

เด็กหนุ่มชุดเขียวก้มหน้า

“ขอรับ เป็นข้าน้อยที่บกพร่องในการควบคุมดูแล”

ชายชุดดำหลุบตามองผีเสื้อโลหิตที่ปลายนิ้ว

“แม้แต่ผีเสื้อสืบโลหิตก็สืบหาร่องรอยของเขาไม่พอ เห็นทีว่าเขาจะซ่อนตัวได้มิดชิดมากพอดู!”

เด็กหนุ่มชุดเขียวกล่าวขึ้นว่า

“อาจมีสาเหตุมาจากฝนตกหนักในครั้งนี้ กลบซ่อนกลิ่นอายของเขาไปจนหมด”

ชายชุดดำปรายตามองเขาแวบหนึ่ง

“เจ้าบอกไว้มิใช่หรือว่าผีเสื้อสืบโลหิตนี้ค้นหาคนจากกลิ่นโลหิต? กลิ่นกายมนุษย์สามารถแปรเปลี่ยนได้ แต่โลหิตก่อเกิดภายในร่างกาย กลิ่นอายไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ และไม่อาจถูกวารีชะล้างได้”

เด็กหนุ่มผู้นั้นก้มหน้า

“เดิมทีก็เป็นเช่นนี้ นี่ก็เป็นจุดที่ข้าน้อยยังฉงนอยู่ ต่อให้คุณชายฝูอีผู้นั้นสามารถชะล้างกลิ่นอายของเขาไปจากละแวกรอบกายได้ แต่ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงกลิ่นโลหิตได้ หรือว่าเขาจะถูกสัตว์ร้ายอันใดเขมือบไปแล้ว?”

ชายชุดดำร้องเฮอะคราหนึ่ง

“ต่อให้ถูกเขมือบแล้ว ขอเพียงเขายังไม่ถูกย่อย ผีเสื้อโลหิตนี้ก็ตามหาสัตว์ร้ายตัวนั้นพบ!”

“นายท่าน เขากลับเมืองไปแล้วหรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะกบดานตามโรงเตี๊ยมสักแห่งภายในเมือง”

เด็กหนุ่มผู้นั้นคาดเดา

————————————