ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 31 ความคะนึงหาจากสองที่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในต้าโจว ถ้าหากม่ออวี่อยากได้อะไรจากใคร ไม่ต้องพูดว่าเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ต่อให้เป็นทรัพย์สินทั้งตระกูล ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนยินยอมพร้อมใจที่จะยกให้ และยังรู้สึกว่าเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด

ถึงแม้สถานะของเฉินฉางเซิงในตอนนี้จะไม่ธรรมดา แต่ถ้าหากสามารถอาศัยโอกาสจากการพูดไม่ดีก่อนหน้า และทำความสัมพันธ์ที่เป็นความลับนี้ให้กลายเป็นมิตรภาพ จะมองอย่างไรก็ล้วนเป็นเรื่องดี

นี่เป็นการไหลไปตามน้ำ สบายๆ และก็ธรรมชาติอย่างมาก ใครก็ล้วนไม่ปฏิเสธ

เฉินฉางเซิงไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้รับปากในทันที เขาลองคิดดูอย่างจริงจัง หลังจากนั้นก็มองตาของม่ออวี่แล้วถามขึ้น “ทำไมหรือ”

ม่ออวี่นิ่งอึ้งไป จะอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่ายากนักที่ตนจะเอ่ยปากของสิ่งใดจากใคร แต่ถึงกับได้รับคำตอบเช่นนี้

แน่นอนว่านางไม่มีทางตอบคำถามของเฉินฉางเซิง นางหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาครั้งหนึ่ง หันกายแล้วก็หายไปในป่าที่นอกหน้าต่าง

เฉินฉางเซิงมองดูเงาร่างที่เหมือนซ่อนอยู่เหมือนปรากฏภายในป่านั้น ค่อนข้างไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงได้เปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างกะทันหัน

ก่อนหน้านี้เขาก็ลองคิดดูเพื่อยืนยันว่ากระบี่สตรีแดนเย่ว์ไม่อยู่ในใบรายชื่อจริงๆ แต่ว่า…นั่นเป็นของของตน เจ้าต้องการจากข้า ข้าถามเหตุผลสักคำไม่ได้หรือ พูดให้ตรงไปตรงมาสักหน่อย ของของข้า ข้าไม่อยากให้เจ้าหรือว่าจะไม่ได้กัน คนในเมืองซีหนิงเรียบง่ายนัก ศิษย์พี่อวี๋เหรินก็เรียบง่ายอย่างมาก ทำไมคนในจิงตูเหล่านี้ถึงได้ทำให้เขาคิดแล้วไม่เข้าใจเช่นนี้นะ

เขาไม่อยากไปคิดถึงเรื่องเหล่านี้ที่ยังซับซ้อนยิ่งกว่าในคัมภีร์ลัทธิเต๋าอีก เขาหลับตาลงและเริ่มทำสมาธิต่อ

บางทีเป็นเพราะม่ออวี่จากไปอย่างรีบร้อน เลยยังไม่ทันได้ทิ้งกลิ่นกายไว้ในห้องมากนัก ในครั้งนี้เขาถึงเข้าถึงสมาธิได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็รับรู้ได้ถึงดาวโชคชะตาของตน เริ่มต้นดึงดูดแสงดวงดาวเข้ามาชำระกระดูก ในเวลาเดียวกันนี้ ในห้วงแห่งจิตของเขาก็ปรากฏดวงจิตที่เล็กละเอียดดวงหนึ่งเข้าไปสู่ฝักกระบี่ ค่อนข้างจะลำบากแต่ก็คุ้นชินกับการข้ามผ่านมหาสมุทรที่เกิดจากการรวมตัวกันของเจตจำนงกระบี่หนาแน่นผืนนั้น มาถึงชายฝั่งอีกครั้ง มองเห็นเงาของป้ายศิลาดำแผ่นนั้น ผ่านความพยายามในการทดลองในช่วงหลายวันมานี้ ดวงจิตของเขาไม่ได้สัมผัสกับป้ายศิลาสีดำก็ถูกทำลายไปแล้ว กระทั่งสามารถแทรกเข้าไปด้านในได้บ้างแล้ว โดยเฉพาะในคืนนี้ ดวงจิตของเขาดวงนั้นเข้าไปในป้ายศิลาลวงตาสีดำสำเร็จแล้ว กระทั่งพอจะมองเห็นหน้าผาแห่งหนึ่ง!

หน้าผาแห่งนั้นทรุดโทรมอย่างมาก แต่ยังพอจะมองออกอยู่บ้าง ที่ยอดสุดของหน้าผาน่าจะเป็นหินสีเทาที่แข็งและมีผิวเรียบ เพียงแต่ในตอนนี้นั้นปรากฏรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมา ต้นไม้ถูกทำลาย มีรากต้นสนมากมายที่ฝังอยู่ในรอยแยกของหน้าผา ยืนยันอยู่อย่างคดเคี้ยว และไกลออกไปบนหน้าผาแห่งนั้น ยังสามารถมองเห็นทะเลสาบเล็กๆ มากมายที่เหมือนกระจกก็ไม่ปาน ยิ่งทำให้เข้ารู้สึกคุ้นตา

นี่คือหุบเขาอัสดงหรือ ทะเลสาบเล็กเหล่านั้นก็คือที่ชุ่มน้ำของชายแดนที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ใช่สถานที่ที่ตนหนีออกมาจากก้นทะเลสาบของภูเขาด้านนั้นหรือเปล่า เช่นนั้นที่นี่ก็คือสวนโจวในตอนนี้จริงๆ หรือ นาง…ยังอยู่ในนี้ไหม ในตอนนี้ดวงจิตของเขาเข้ามาในป้ายศิลาลวงตาสีดำแผ่นนั้นนานเกินไปแล้ว จึงได้รับแรงกดดันจากพลังอันมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงการเข้าสวนโจวไปหาร่องรอย แค่อยากจะอยู่ต่ออีกพริบตาเดียวก็ยังทำไม่ได้ ทำได้เพียงมองจากที่แสนไกลเช่นนี้ หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ก็กลายเป็นหมอกควันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉินฉางเซิงลืมตาตื่นขึ้นมา

ในตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกแล้ว นอกหน้าต่างเต็มไปด้วยดวงดาวเต็มฟ้า ป่าภายในสำนักฝึกหลวงที่อยู่ใต้ดวงดาว มองดูแล้วก็เหมือนต้นหญ้าสีเขียวขจี

ก็เหมือนกับหญ้าป่าเหล่านั้นที่ยังสูงกว่าตัวคนที่อยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล

เฉินฉางเซิงนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่กับนางในทุ่งหญ้าอย่างเป็นธรรมชาติ นึกถึงตอนที่เป็นตายร่วมกันในวัดหิมะ นึกถึงการประสานโลหิตกันในสุสานโจว นึกถึงบทสนทนาที่ปลายทางของถนนเสิ่นนั่น ถ้าหากหนานเค่อไม่ได้ใช้ศูนย์กลางจิตวิญญาณมาควบคุมมหาวิหคปีทองที่เพิ่งเกิด ชี้นำให้คลื่นอสูรเข้าล้อมสุสานโจว บางที เขากับนางคงเริ่มต้น…

ผลัดกันเล่าเรื่องในใจ? ใช่คำพูดนี้ไหม เขาไม่แน่ใจนัก นั่นเป็นความรู้สึกแปลกหน้าที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ความรู้สึกนั้นช่างหอมหวาน แต่กลับทำให้คนหวาดกลัว ไม่สงบ แต่กลับทำให้คนก้าวเดินไป ที่สำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกนั้นนำพามาซึ่งความเศร้าและความสุข มันรุนแรงเช่นนั้น บางครั้งก็ดูสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่ง

ตั้งแต่เด็กเขาอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋า หลังจากสิบขวบก็รู้ว่าอายุของตนไม่ยืนยาว เขาจึงยิ่งควบคุมอารมณ์ของตนอย่างเข้มงวด ไม่สุขไม่เศร้า แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนที่แบกนางในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ตอนที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันที่ประตูหินตรงปลายทางของถนนเสิ่น หรือในตอนนี้ที่คิดถึงนาง เขาล้วนไม่อาจ และก็ไม่อยากจะควบคุมความรู้สึกนี้ เพราะว่าเขาชอบความงดงามในช่วงเวลานั้น ยืนยันความคะนึงหาในเวลานี้…

เช่นนั้นแล้ว เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่

……

……

สวีโหย่วหรงเดินอยู่บนหน้าผา

คิ้วนางดั่งภาพวาด ความเยาว์วัยยังคงมีอยู่ งดงามจับใจ สง่างามศักดิ์สิทธิ์

ใช่ นี่คือบทกวี เพราะเดิมทีนางก็งดงามถึงที่สุด นอกจากท่วงทำนองที่แผ่วเบา ก็ยากจะใช้สิ่งใดที่มีอยู่มาอธิบาย

สายลมยามราตรีพัดผ่านแขนเสื้อ ชุดสีขาวพลิ้วไหวเบาๆ นางค่อยๆ ก้าวเดิน ระหว่างการก้าวเดินมีความสง่างามให้เห็น แต่ถ้าหากมองดูอย่างละเอียดแล้ว บางทีอาจจะเห็นได้ว่าในดวงตาที่ราวกับสายน้ำนั่น ซุกซ่อนความโศกศัลย์อยู่อ่อนจาง

เด็กสาวที่ยังไม่ถึงสิบหกปีดี กำลังอยู่ในช่วงงามสะพรั่ง แต่กลับเศร้าโศกเพราะเรื่องใดกัน

เพราะว่าเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นส่งข่าวมาอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าศิษย์พรรคภูเขาหิมะผู้นั้นเป็นใคร พรรคภูเขาหิมะที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือถึงขนาดไม่ยอมรับว่ามีศิษย์ที่ชื่อสวีเซิงด้วยซ้ำ บางทีเจ้าอาจจะแอบเข้าไปในสวนโจว บางทีเจ้าอาจจะเป็นศิษย์ของพรรคลับ บางทีเจ้าอาจจะมีความลับอะไร แต่นั่นล้วนไม่สำคัญแล้ว เพียงแต่เจ้าชื่อสวีเซิงจริงๆ หรือ เจ้าตายไปเช่นนี้แล้วจริงๆ หรือ

หลังจากที่ออกมาจากสวนโจว เพราะว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงพักรักษาตัวอยู่ที่ด้านหลังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ทุกๆ วันนางไม่ได้ชมหิมะ ฟังเสียงฝน และเก็บยาอีก นางทำเพียงแค่พักผ่อน อ่านหนังสือ และสงบจิต

นางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ประสบมาในสวนโจว ความเป็นตายในทุ่งหญ้าผืนนั้นและชายผู้นั้น

เดิมทีนางก็ตัดสินใจจะทุ่มเทชีวิตให้กับวิถีเต๋าในหนังสือ ไหนเลยจะคาดถึงว่าตนจะเกิดหัวใจเต้นแรงขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ แต่การที่ใจเต้นนั้นก็เป็นเหมือนดั่งสายลมที่พัดผ่าน นั่นเป็นความเศร้าจางๆ ที่ยากจะใช้คำพูดอธิบาย นั่นเป็นความทรงจำที่สลักลงไปและไร้ที่ให้ระบาย นางชัดเจนอย่างมาก บางทีความทรงจำในช่วงนั้นจะอยู่ในช่วงเวลาอันยาวนานของการบำเพ็ญเพียรในภายหลัง จะอยู่เคียงคู่กับตนไปตลอดกาล และก็มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ล่วงรู้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นมุมหนึ่งในโลกแห่งจิตที่ไม่มีผู้ใดสามารถสัมผัสได้

นั่นเป็นโลกที่ในตอนนี้นางยังไม่อยากจะลาจาก แน่นอนว่านางไม่ไปสนใจเรื่องในโลกภายนอกอีก ซูหลี เหลียงหวังซุน ฮว่าเจี่ยเซียวจาง หวังผ้อ จูลั่ว กวนซิงเค่อ…มรสุมในเมืองสวินหยางที่สะเทือนไปทั้งดินแดนต้าลู่นั่น กลับไม่อาจทำให้นางเหลือบตาขึ้นมาได้ มีเพียงชื่อของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นอาจารย์กับเฉินฉางเซิงสองชื่อนี้ ที่ทำให้นางเกิดความสนใจอยู่ครู่หนึ่ง

แต่มีคนผู้หนึ่งที่นางจำเป็นต้องสนใจ อีกทั้งนางยังเป็นห่วงอย่างมากจริงๆ

เขาหลีซานเกิดความวุ่นวายภายใน พวกผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงทั้งสามคนทรยศ ชิวซานจวินบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย ข่าวเหล่านี้กระจายไปทั่วเทียนหนานตั้งนานแล้ว

ตอนที่นางฟื้นตัวแล้ว และในนาทีที่เดินออกมาจากหลังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นั่น หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้แล้ว ก็รู้ว่าตนจำเป็นต้องไปดู

ใช่ นางกำลังเดินอยู่บนหน้าผา

ในตอนนี้นางกำลังเดินอยู่บนภูเขาหลีซาน