ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 32 เรื่องพวกนั้นที่เจ้าไม่รู้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทุกคนบนโลกล้วนรู้กัน ชิวซานจวินนั้นรักปักใจในตัวสวีโหย่วหรง ผู้คนเองก็เคยคิดว่าสวีโหย่วหรงเองก็รักปักใจในตัวชิวซานจวินเช่นกัน มังกรกับหงส์ฟ้า มาจากพรรคหลักเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน คนหนึ่งเป็นไปได้อย่างมากว่าจะรับตำแหน่งนักปราชญ์ของพรรคฉางเซิงที่ขาดช่วงไปหลายสิบปีอีกครั้ง อีกคนหนึ่งก็คือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ในอนาคต จะมองอย่างไรก็เป็นคู่สวรรค์สร้าง

จนกระทั่ง…งานชุมนุมไม้เลื้อยที่จิงตูเมื่อปีก่อน

ในงานชุมนุมไม้เลื้อยนั้น เฉินฉางเซิงได้หยิบเอาสัญญาหมั้นออกมา เช่นเดียวกันที่งานชุมนุมไม้เลื้อยนั่น สวีโหย่วหรงให้นกกระเรียนขาวเอาจดหมายมาส่ง ในจดหมายฉบับนั้นนางแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด จนกระทั่งถึงนาทีนี้ ทั่วทั้งโลกถึงได้รู้ ที่แท้ที่เรียกว่าคู่สวรรค์สร้าง สมเหตุสมผล เป็นเพียงแค่จินตนาการและความหวังอันสวยงามในใจของผู้คนเท่านั้น

ถ้าหากเป็นเด็กสาวธรรมดา สวีโหย่วหรงในตอนนี้ไม่น่าจะอยากมาพบกับชิวซานจวิน เพราะว่าน่าอึดอัดและไม่สะดวกใจ หากเป็นเด็กสาวที่ชาญฉลาดตัดสินใจเด็ดขาดและไม่ธรรมดา ก็ไม่มีทางมาพบกับชิวซานจวิน เพราะว่ามีเพียงการทำเช่นนี้ถึงจะทำให้อีกฝ่ายฟื้นฟูสภาพจิตใจได้รวดเร็วที่สุด

แต่สวีโหย่วหรงไม่ได้ทำเช่นนี้ นางไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ราวกับสายลมเย็นสบายผู้นั้น จิตใจก็ไม่แปดเปื้อน ไม่คิดคำนวณ และก็ไม่จงใจเปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำพำนักบนยอดเขาหลีซาน นางวางกล่องใส่อาหารที่ว่างเปล่าไว้บนโต๊ะ และพูดกับชิวซานจวินที่อยู่บนเตียง “ศิษย์น้องชีเจียนยังอ่อนแออย่างมาก แต่กลับคิดจะไปหาเจ๋อซิ่วที่จิงตูอยู่เรื่อย”

ชิวซานจวินพิงอยู่ที่หัวเตียง ใบหน้าที่ซีดขาวมีแต่ความกังวล “หลังจากที่อาจารย์ปู่เล็กกลับมาแล้วรู้เรื่องนี้เข้าก็ไม่พอใจอย่างมาก ด่าทอศิษย์น้องเล็กไปเสียนาน”

สวีโหย่วหรงไม่ค่อยเข้าใจ พลางพูดขึ้น “ผู้อาวุโสซูหลีสง่างามไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ เหตุใดในเรื่องนี้ถึงได้ไม่เห็นใจคนเช่นนี้”

ชิวซานจวินแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ว่าผู้ชายคนไหน ตอนที่เป็นพ่อคนก็มักจะเปลี่ยนเป็นพ่อตาในแบบที่ตัวเขาเองในตอนหนุ่มเกลียดที่สุด”

สวีโหย่วหรงพูดขึ้น “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดเขาถึงได้ต่อต้านอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้”

ชิวซานจวินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ในตอนนั้นอาจารย์ปู่เล็กเคยเจอเจ้าเด็กหมาป่านั่นที่พื้นที่ราบหิมะ เขาพูดว่า…เจ้าเด็กหมาป่านั่นป่วย อยู่ได้อีกไม่นาน”

เป็นครั้งแรกที่สวีโหย่งหรงได้ยินเรื่องนี้ คิดถึงเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าที่เคยกดดันนางมากที่สุดในประกาศชิงอวิ๋น นอกจากชาติกำเนิดที่ย่ำแย่ โชคชะตาก็ยังอาภัพถึงเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะปลงอนิจจัง

ชิวซานจวินมองนางแล้วพูดขึ้น “ไม่มีพ่อคนไหนที่ยอมให้ลูกสาวของตนแต่งกับคนอายุสั้น…พูดขึ้นมาแล้ว เพราะเรื่องนี้อาจารย์ปู่เล็กยังด่าเฉินฉางเซิงไปถึงสามวัน”

สวีโหย่วหรงแย้มยิ้ม โดยไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่มาถึงเขาหลีซาน นางถึงได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลังจากเรื่องสวนโจว ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เฉินฉางเซิงเดินทางร่วมกับซูหลีจากพื้นที่ราบหิมะไปจนถึงเทียนเหลียง ไม่อาจไม่ยอมรับ เรื่องพวกนี้ทำให้นางเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคนที่ชื่อเฉินฉางเซิงผู้นั้นขึ้นมา แต่อย่างไรเสียเจ้าคนที่ชื่อเฉินฉางเซิงนั้น นางไม่มีทางพูดจาว่าร้ายใส่เขา และก็ไม่คิดจะพูดชื่นชมอีกฝ่าย

ชิวซานจวินเองก็ไม่ได้พูดขึ้นมาอีก เขาอาศัยแสงสว่างจากไข่มุกเรืองแสงที่อยู่กำแพงหิน อ่านคัมภีร์กระบี่ที่อยู่ในมือต่อ

สวีโหย่วหรงหยิบคัมภีร์ฉางเซิงเล่มหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ และเริ่มต้นอ่านอย่างเงียบๆ

ภายในถ้ำพำนักเงียบสงบอย่างมาก แต่ไม่ได้ไม่อบอุ่น เพียงแต่มีความเป็นธรรมชาติอย่างมาก ก็เหมือนที่สวีโหย่วหรงเดินเข้ามาก่อนหน้านี้ ทั้งสองเริ่มต้นพูดคุยกัน หลังจากนั้นก็จบบทสนทนา ไม่จำเป็นต้องจงใจทำสิ่งใด

หลายปีก่อน ในตอนที่สวีโหย่วหรงยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก นางจากจิงตูมาถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เริ่มร่ำเรียนการบำเพ็ญเพียรที่สถานศึกษาหนานซี ศึกษาคัมภีร์สวรรค์ ทั้งสองคนก็ได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว และมักจะนั่งด้วยกันเหมือนกับในตอนนี้ อ่านหนังสือกันอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดจา

คนบนโลกล้วนคิดว่าที่ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันอย่างไม่คิดอะไรก็เพราะทั้งสองเล่นกันอย่างไร้เดียงสา ที่จริงพวกเขาชัดเจนอย่างมากว่านั่นไม่ถูกต้อง ที่ไม่สงสัยกัน เป็นเพราะทั้งสองต่างชัดเจนดี ว่าในใจของอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ สวีโหย่วหรงได้ลุกแล้วพูดขึ้น “ศิษย์พี่ ข้าไปก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยมาหาท่านใหม่”

ชิวซานจวินย้ายสายตาออกมาจากหนังสือ ทอดมองไปยังนาง แต่กลับไม่ได้พูดคำว่า ‘เดินทางอย่างระมัดระวัง’ เหมือนกับหลายคืนก่อนหน้า เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมาเหล่านั้น

นี่เป็นหลายคืนที่เขาผ่านพ้นไปอย่างมีความสุขและสงบที่สุดในตลอดหลายปีมานี้

เพราะว่าเขาสามารถมองนางอย่างเงียบๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นขนตาที่ขยับเบาๆ นิ้วมือที่พลิกหน้าหนังสือ ริมฝีปากที่ยกขึ้นบางๆ

ไม่ต้องมองตลอดเวลา เพียงแค่ตอนที่เหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือ เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างไม่ใส่ใจ นางก็นั่งอยู่ตรงนั้น เขาก็จะรู้สึกสงบใจ หลังจากนั้นก็เป็นสุขใจ

เขาอยากให้ค่ำคืนเช่นนี้สามารถมีมากขึ้นไปอีก ดังนั้นเขาจึงอยากพูดให้มากขึ้นอีกสักสองสามประโยค

“เพราะเรื่องของอาจารย์ปู่เล็ก พรรคกระบี่เขาหลีซานของข้าจึงติดหนี้บุญคุณของเขาครั้งใหญ่ ไม่ว่าก่อนหน้าทั้งสองฝ่ายจะเคยมีความแค้นอะไร ในตอนนี้ก็มีเพียงพวกข้าที่ติดค้างเขา” ชิวซานจวินมองนางแล้วพูดขึ้น “แต่เรื่องเช่นนี้กับบุญคุณแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ที่ข้าอยากพูดก็คือ เขายอดเยี่ยมอย่างมาก คู่ควรกับเจ้า ไม่มีทางซุกซนเหมือนกับที่เจ้าเคยพูดสมัยเด็ก และยิ่งไม่มีทางใช้ไม่ได้เหมือนที่เจ้าเคยพูดในจดหมายเมื่อปีก่อนนั่น เช่นนั้นแล้วในตอนนี้เจ้าคิดเช่นไรกับการหมั้นหมายในครั้งนี้”

คนที่พูดถึงในบทสนทนานี้แน่นอนว่าก็คือเฉินฉางเซิง

น้ำเสียงของชิวซานจวินสงบ เปิดเผย และจริงใจอย่างมาก

สวีโหย่งหรงคิดดู แล้วพูดขึ้น “ผ่านช่วงนี้ไป ข้าก็จะกลับจิงตูไปถอนหมั้น”

“ถอนหมั้นตรงๆ…” ชิวซานจวินพูดขึ้นอย่างจริงจัง “สำหรับเฉินฉางเซิงแล้วก็ออกจะไม่ค่อยเป็นธรรมอยู่บ้าง คำพูดของคนนั้นน่ากลัว ที่จิงตูเมื่อปีก่อน เรื่องที่ตระกูลของเจ้าทำก็เกือบจะเป็นการเหยียดหยามแล้ว”

สวีโหย่วหรงมองตาของเขา แล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “แต่ถ้าหากทำตามสัญญาหมั้น ก็ไม่เป็นธรรมต่อข้า”

การหมั้นหมายกับเฉินฉางเซิงนี้เป็นสิ่งที่ท่านปู่ของนางเป็นผู้กำหนด ซึ่งไม่เคยมีใครถามความเห็นของนางมาก่อน

ชิวซานจวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ขอโทษด้วย”

คำขอโทษในทีนี้ หมายถึงเรื่องที่คณะทูตทางใต้ไปสู่ขอที่จิงตูเมื่อปีก่อน ในตอนนั้นก็ไม่มีใครถามความเห็นของสวีโหย่วหรง

สวีโหย่วหรงยิ้มขึ้นมา ไม่ได้พูดอะไร นางรู้ถึงนิสัยของชิวซานจวิน และเชื่อว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา ในตอนนั้นนางถูกผู้อาวุโสในสำนักส่งไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หนานไห่ ชิวซานจวินกำลังต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ของเผ่ามารเพื่อแย่งชิงกุญแจของสวนโจว…

คิดถึงสวนโจว ดวงตาที่เป็นดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงของนางพลันมีความเศร้าขึ้นมาให้เห็นจางๆ อย่างกะทันหัน

ในสุสานโจว เขาเคยพูดว่าเขามีคู่หมั้น แต่เขาจะจัดการกับสัญญาหมั้นนี้

นางเองก็พูดกับเขา ว่านางมีคู่หมั้น แต่นางไม่มีทางแต่งงานกับคนผู้นั้น

ทำไมถึงมีบทสนทนานี้ขึ้นมา แน่นอนเพราะว่าเขาอยากแต่งงานกับนาง นางเองก็อยากแต่งงานกับเขา ถึงแม้จะไม่ได้พูดถึงแม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว แต่จะปฏิเสธได้อย่างไร จะลืมเลือนไปได้อย่างไร

ใช่ ดังนั้นนางถึงจะกลับจิงตูไปปฏิเสธการแต่งงาน ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะดีหรือร้าย นั่นล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะว่าเขาไม่มีทางเป็นเขา

“ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไรไป”

ชิวซานจวินสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจอันละเอียดอ่อนที่สุดของนาง เพราะว่าหลายปีมานี้ ความคิดของเขาล้วนอยู่ที่ตัวนางมาโดยตลอด เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเศร้าของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะกังวล

“ไม่มีอะไร…” สวีโหย่วหรงมองตาชิวซานจวิน และรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรปิดบังเขาอย่างกะทันหัน หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “ศิษย์พี่ มีเรื่องที่ท่านยังไม่รู้ ที่ข้ายืนยันจะถอนหมั้น เป็นเพราะว่าข้ามีคนที่ชอบแล้ว”

ภายในถ้ำพำนักพลันเงียบกริบอย่างมากในทันที เงียบเสียยิ่งกว่าตอนที่ทั้งสองนั่งอ่านหนังสือกันเสียอีก

ชิวซานจวินยิ้มและพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “คิดว่าคนผู้นั้นไม่มีทางเป็นข้า”

สวีโหย่วหรงแย้มยิ้ม หลังจากนั้นก็เล่าเรื่องที่ตนพบเจอสวนโจวให้ฟังอย่างละเอียด ที่พูดเป็นหลักคือเรื่องของศิษย์พรรคภูเขาหิมะที่ชื่อสวีเซิงผู้นั้น

ชิวซานจวินเก็บรอยยิ้มลง หลังจากนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานถึงได้พูดขึ้น “ศิษย์น้อง เขาน่าจะตายไปแล้ว”

สวีโหย่วหรงพูดขึ้นอย่างสงบ “ข้ารู้”

ชิวซานจวินมองนาง มีความกังวลอยู่บ้าง

……

……

นางเดินออกมาจากถ้ำพำนัก มาถึงข้างหน้าผา กิ่งสนที่ถูกสายลมในยามราตรีพัดผ่าน ภายใต้แสงของดวงดาวที่ราวกับเป็นทะเลสีเงินผืนหนึ่ง

สวีโหย่วหรงมองไปยังชายหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตผู้นั้นที่ข้างหน้าผา แล้วพูดขึ้น “ศิษย์พี่รอง”

โก่วหานสือออกจากสุสานเทียนซูก่อนเวลา ก็เพราะได้รู้ข่าวของเขาหลีซาน และยังมาถึงก่อนนางเสียอีก

เขาหันกายมามองสวีโหย่วหรง คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำเพียงแค่ทอดถอนใจ

สำหรับเขาแล้ว สวีโหย่วหรงเป็นศิษย์น้อง ชิวซานจวินเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เขารู้เรื่องระหว่างทั้งสองคนชัดเจนที่สุด อีกทั้งเขายังรู้เรื่องมากมายทางจิงตูอย่างชัดเจน

ใต้กิ่งสนที่เหมือนทะเลสีเงิน มีหน้าผาแห่งหนึ่งที่ลาดชันอย่างมาก ทางฝั่งหน้าผานั่นมีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาอย่างกะทันหัน

เสี่ยวซงกงกับผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติทั้งสองคน ในตอนนี้ก็ถูกขังเอาไว้อยู่ภายในหน้าผาของเขาหลีซานนี้ ผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติสองคนนั้นบาดเจ็บสาหัสยังไม่หาย จุดจบของเสี่ยวซงกงก็ยิ่งน่าอนาถ เขาถูกซูหลีสั่งให้ตัดแขนทั้งสองข้างทิ้ง

ส่วนผู้อาวุโสพรรคฉางเซิงผู้นั้นที่คิดจะอาศัยตอนที่ซูหลีไม่อยู่ฟื้นคืนอำนาจขึ้นมาใหม่ ก็ถูกซูหลีทำลายการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด อาจารย์ปู่เล็กลงมือ ก็โหดเหี้ยมเลือดเย็นจริงๆ

ซูหลีในตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่หลังเขา สวีโหย่วหรงเองก็จะไปหาที่นั่น เพราะว่าอาจารย์ของนางเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ก็อยู่ที่นั่น หลังจากมรสุมที่เมืองสวินหยางนั้นผ่านไป ทั่วทั้งเขาหลีซาน ทั่วทั้งเทียนหนาน ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ถึงได้รู้ว่า ที่แท้ระหว่างเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับซูหลีก็มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นสวีโหย่วหรง ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินข่าวนี้

“เรื่องอื่นไม่พูดแล้ว เพียงแต่ถ้าหากเจ้ายืนยันจะกลับจิงตูไปถอนหมั้น หวังว่าเจ้าจะพยายามรักษาหน้าเฉินฉางเซิงสักหน่อย” โก่วหานสือมองนางแล้วพูดขึ้น

สวีโหย่วหรงแปลกใจ ผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่การกลับใต้ของเฉินฉางเซิงกับซูหลีที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ นางเกิดคำถามมากมายกับเรื่องที่ซวงเอ๋อร์กับม่ออวี่พูดมาในจดหมาย นางไม่ได้ดูถูกเฉินฉางเซิงอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่นางก็ยังคิดไม่ถึงว่าโก่วหานสือจะพูดแทนเฉินฉางเซิง

“เฉินฉางเซิง…เป็นคนแบบไหนกันแน่”

เมื่อได้ยินคำถามของนาง โก่วหานสือก็ครุ่นคิดอย่างจริงจังเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็ได้บทสรุปออกมาอย่างหนึ่ง “เขาเป็นคนจริงคนหนึ่ง”

เขากับสวีโหย่วหรงล้วนไม่รู้ ระหว่างทางกลับใต้ ซูหลีเองก็เคยประเมินเฉินฉางเซิงไว้เช่นนี้

“ใช่หรือ”

สวีโหย่งหรงเชื่อการตัดสินคนของโก่วหานสืออย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะมึนงง เรื่องราวในตอนเด็กเดิมทีนางก็ลืมไปมากแล้ว หลังจากที่เฉินฉางเซิงมาที่จิงตูก็นึกขึ้นมาได้บ้าง แต่…

ช่างเถอะ บางทีอาจจะเป็นการเข้าใจผิดอะไรจริงๆ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว

นางกล่าวลาโก่วหานสือ และเดินไปตามทางข้างต้นสน มุ่งหน้าไปทางหลังเขา

อยู่ๆ โก่วหานสือก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงพูดขึ้น “ศิษย์น้อง เฉินฉางเซิงเขา…”

สวีโหย่วหรงหันกลับไปมองเขา

เดิมทีโก่วหานสืออยากจะบอกกับนาง ว่าเฉินฉางเซิงพบสระกระบี่ในสวนโจว พระราชวังหลีกำลังเตรียมจะส่งกระบี่พวกนี้คืนในกับสำนักพรรคต่างๆ ในนั้นก็มีกระบี่จำศีลของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหายไป แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าที่เฉยเมยของนาง จึงรู้ว่านางไม่อยากฟัง และคิดได้ว่านางคงจะรู้เรื่องนี้แต่แรกแล้ว จึงส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไร”