ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 33 เจ้าช่วยข้าคืนร่มคันนี้ให้เขาที

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงพบสระกระบี่ และได้นำกระบี่ออกมามากมาย เรื่องนี้ยังไม่ได้กระจายออกไปเป็นการชั่วคราว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นความลับอีกต่อไปแล้ว

เพียงแต่สวีโหย่วหรงพักรักษาตัวอย่างสงบมาโดยตลอด จึงไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ แต่ทุกคนล้วนคิดว่า นางรู้เรื่องนี้แล้วอย่างแน่นอน

ถ้าหากในตอนนี้โก่วหานสือพูดออกมา เช่นนั้นนางก็น่าจะเดาได้ถึงเรื่องบางอย่าง แต่ในความจริงแล้ว…จะรู้เมื่อไหร่ก็ไม่ได้สำคัญ

คำพูดนี้แสนจะตะกุกตะกักอย่างมาก ที่จริงเหตุผลที่พูดก็แสนจะเรียบง่ายอย่างมาก

เรื่องราวที่มีทั้งหมดก็เหมือนกับความจริงในชีวิต ผู้คนมักจะพบกับปัญหาแบบนี้หรือแบบนั้น บางปัญหาจะทำให้เจ้าต้องดื่มยาพิษและจบลงที่สุสาน บางปัญหากลับทำให้เจ้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับพรหมลิขิตอันงดงาม สรุปแล้ว จุดจบของเรื่องราวหรือชีวิตคนกับปัญหาเหล่านั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องมากนัก ที่สำคัญคือเจ้าจะไปจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างไร

ตอนที่สวีโหย่วหรงเดินไปถึงหลังเขาหลีซาน อาจารย์ของนางก็กำลังทดลองแก้ปัญหาข้อหนึ่งอยู่ ในฐานะผู้นำนิกายทางตอนใต้ที่มีสถานะเทียบเท่ากับใต้เท้าสังฆราช ปัญหาที่นางจะแก้ไขแน่นอนว่าต้องเป็นปัญหาใหญ่

ปัญหานี้ถูกเรียกว่าการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้

ถ้าหากมนุษย์คิดจะเอาชนะเผ่ามารให้ได้อย่างสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยก็สามารถจัดการกับภัยคุกคามของเผ่ามารให้ได้อย่างสมบูรณ์ ก็จำเป็นที่จะต้องรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง หรือใช้วิธีพูดที่สืบต่อกันมากว่าสองร้อยปี เรียกมันว่าการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้

ราชวงศ์ต้าโจวไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่ไม่คิดว่าจะสามารถสยบแดนใต้ได้อย่างแท้จริง แต่ต่อให้เป็นจักรพรรดิไท่จงที่ชาญฉลาดและห้าวหาญ ก็ทำได้เพียงแค่ให้สำนักและพรรคต่างๆ ในแดนใต้ยอมรับให้จิงตูเป็นศูนย์กลางการปกครองอยู่ในนาม หลังจากที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ครองราชย์อย่างแท้จริง ที่นางอยากจะทำให้ได้มากที่สุดก็คือเรื่องนี้ แต่นางเองก็ไม่ได้ทำสำเร็จ สิบกว่าปีก่อน จวนเหลียงอ๋องกับพรรคฉางเซิงร่วมมือกัน วางแผนจะบุกยึดฝั่งเหนือ ในภายหลังถึงจะมองดูแล้วเหมือนเรื่องตลก แต่ก็เห็นได้ชัดว่า การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้เป็นที่นิยมโดยทั่วกัน

ก่อนหน้าหลายร้อยปีนั้น ที่เหนือใต้ไม่อาจจะเชื่อมสัมพันธ์ได้สำเร็จ เป็นเพราะมีเหตุผลที่ซับซ้อนมากมาย แต่ในช่วงสองร้อยปีมานี้ ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่รวมไปถึงเผ่ามารล้วนรู้กัน การที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ใต้เท้าสังฆราช ไปจนถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ซึ่งเป็นนักปราชญ์ ทั้งสามคนนี้มีเจตนาที่จะผลักดัน แต่กลับไม่ทำให้การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้คืบหน้าเลยสักนิด ก็เป็นเพราะการดำรงอยู่ของคนผู้หนึ่ง

เพราะว่าซูหลีไม่เห็นด้วย

ทำไมหลังจากที่ซูหลีต่อสู้อย่างดุเดือดกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่พื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามารแล้ว ที่ตามมาถึงได้ถูกคนในโลกไล่ฆ่าอย่างหน้าไม่อาย ทำไมนักปราชญ์กับแปดมรสุมถึงไม่เสียดายที่ชื่อเสียงจะต้องมัวหมอง ก็จะต้องฆ่าเขาให้ตายในเมืองสวินหยางให้ได้ ก็เพราะว่าเขาเคยฆ่าคนมามากมายหรือ แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะขอเพียงแค่ซูหลีตายไปแล้ว เรื่องยิ่งใหญ่อย่างการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้ก็จะสำเร็จอย่างแท้จริงเสียที

“ข้าไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นโจวตู๋ฟูคนที่สอง” เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองซูหลีแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าใบหน้าของชาวโจวมันไร้ยางอายจริงๆ ไม่มองให้หงุดหงิดก็ได้แล้ว”

ซูหลีส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าก็ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมข้าถึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

“ตอนไหนกันที่เจ้าเคยเผยความในใจกับข้าอย่างแท้จริง” เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองตาของเขาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

สวีโหย่วหรงรู้ว่าอาจารย์กับซูหลีรู้ว่าตนมาถึงแล้ว เพียงแต่เหล่าผู้อาวุโสกับกระทำเหมือนนางเป็นสายลมเย็นและดวงดาวมากมาย นางไม่อาจทนฟังต่อไปได้ จึงเดินขึ้นไปทำความเคารพ

ซูหลีชี้มาที่นางแล้วพูดขึ้นกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ “เจ้ามีเวลา ก็จัดการกับปัญหาของศิษย์ของเจ้าไปก่อน”

สวีโหย่วหรงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ในใจคิดว่าตนมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีก

ซูหลีพูดขึ้นต่อ “ปัญหานั้นของนางยังวุ่นวายกว่าการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้มากนัก ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “ปัญหาอะไร”

ซูหลีพูดขึ้น “แน่นอนว่าเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ชิวซานจวินกับเจ้าปัญญาอ่อนเฉินฉางเซิงนั่น ต่อให้เป็นข้าก็ยังแยกไม่ได้ว่าใครดีกว่า สรุปแล้วนางจะแต่งกับใคร”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “อยู่ต่อหน้าเด็ก พูดบ้าอะไรกัน”

สวีโหย่วหรงไม่อาจจะรับได้จริงๆ…กับภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ในใจถอนหายใจไปแล้ว และก็รู้สึกว่าคำพูดของผู้อาวุโสซูหลีประโยคนี้ดูเหมือนจะมีความสนิทสนมกับเฉินฉางเซิงมากกว่าอยู่บ้าง

“ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น” นางพูดขึ้น “หลังจากกลับจิงตูข้าจะไปถอนหมั้น”

ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นมา ดุจกระบี่ที่อยากจะโผบินเข้าไปในม่านหมอกยามราตรีของเขาหลีซาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองไปที่นางด้วยแววตาเห็นใจ สวีโหย่วหรงพบเจอกับเรื่องอะไรภายในสวนโจว นางล้วนไม่ได้พูดกับใคร รวมถึงตัวนางด้วย แต่นางเป็นบุคคลในระดับไหน ไม่กี่วันก่อนมองเพียงแวบเดียว ก็รู้แล้วว่าศิษย์หญิงของตนได้เจอเข้ากับอุปสรรครัก ดังนั้นจึงไม่พูดถึงเรื่องการหมั้นหมายอีก และพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้น “ตอนที่ไปที่จิงตู เจ้าเป็นตัวแทนอาจารย์ไปเอาของอย่างหนึ่งจากพระราชวังหลี”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “สระกระบี่ของสวนโจวปรากฏขึ้นอีกครั้ง เฉินฉางเซิงยินยอมที่จะนำกระบี่เก่าเหล่านั้นคืนให้กับสำนักพรรคต่างๆ กระบี่จำศีลก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแค่ในตอนนี้เก็บรักษาอยู่ที่พระราชวังหลีเป็นการชั่วคราว”

กระบี่จำศีลเป็นกระบี่คู่กายของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ หลายปีก่อนได้ถูกโจวตู๋ฟูชิงไปจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อได้ยินข่าวนี้แล้ว สวีโหย่วหรงก็ตกตะลึงอย่างมาก หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก

ใช่ ไม่ถูกต้องอย่างมาก…

ซูหลีถามขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้าจะไปที่จิงตูเมื่อไหร่”

สวีโหย่วหรงได้สติมา และตอบกลับไป “น่าจะเป็นช่วงหลังฤดูหนาว”

ซูหลีพูดขึ้น “ในเมื่อเจ้าจะไปที่จิงตู ช่วยข้าคืนของอย่างหนึ่งให้กับเฉินฉางเซิงที พอดีกับที่พวกเจ้ารู้จักกัน”

ในจิตใต้สำนึกของสวีโหย่วหรงยังมีการต่อต้านอยู่ นางจึงพูดขึ้น “ข้าไม่ได้รู้จักกับเขา”

“ยายหนูนี่พอดื้อขึ้นมาก็เหมือนกับอาจารย์ของเจ้าไม่มีผิด!”

ซูหลีพูดขึ้น “เทียนไห่กับอาจารย์ของเจ้าก็สั่งสอนเจ้าออกมาเพียงคนเดียว ตาเฒ่าอิ๋นก็มีเขาเป็นคนรุ่นหลังเพียงคนเดียว พวกเจ้าจะต้องสู้กันสักวันหนึ่ง ถอนหมั้นไม่เจอกันได้ แต่ต่อสู้กันจะไม่เจอกันได้หรือ”

สวีโหย่วหรงรู้ว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ หลังจากกลับไปที่จิงตู แม้ไม่สนใจเรื่องพวกงานชุมนุมไม้เลื้อยหรือการสอบใหญ่เหล่านั้น เพียงดูจากขั้วอำนาจในตอนนี้ การต่อสู้ของตนกับเฉินฉางเซิงก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง

“ของอะไร”

“ร่มคันหนึ่ง”

ซูหลีไม่รู้ว่าหยิบร่มกระดาษทองคันหนึ่งมาจากไหน และโยนไปให้สวีโหย่วหรง

นี่เป็นร่มคันที่เขาให้ความสำคัญที่สุด ในนั้นมีกระบี่ที่เขาอยากได้กลับมามากที่สุด และยังแสดงถึงช่วงเวลาช่วงหนึ่งด้วย

ดังนั้นในพื้นที่ราบหิมะ ต่อให้ต้องถกเถียงกับเฉินฉางเซิงราวกับเด็ก เขาก็ยังตัดใจคืนกลับไปไม่ได้

แต่ว่าในตอนนี้ เขาก็โยนออกไปอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้แล้ว

สีหน้าของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไป นางพูดขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะสั่นเทา “เจ้า…เห็นด้วยจริงๆ หรือ”

ซูหลีพูดขึ้น “ยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ แต่ว่า…ถ้าหากมีโอกาสได้ไปดูโลกอื่นจริงๆ ก็ดีกว่าอยู่ในบึงโคลนที่เหม็นเน่านี่”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดขึ้นอีก นางมองเขาอย่างเงียบๆ เต็มไปด้วยความปลื้มใจและคะนึงหา

ถ้าหากสวีโหย่วหรงได้เห็นภาพฉากนี้ จะต้องรู้สึกจนใจอย่างมากแน่ แต่นางกลับไม่

เพราะว่านางกำลังมองร่มที่อยู่ในมือคันนั้น ร่มคันเก่าคันนั้น

แน่นอนว่านางรู้จักร่มคันนี้

นางเคยจับร่มคันนี้มาก่อน

นางเคยยกร่มคันนี้มาก่อน

จากทุ่งหญ้าไปจนถึงสุสานโจว

ตลอดทางไหนเลยจะมีแค่พันลี้ ที่เคยผ่านฤดูทั้งสี่มาก็หลายครั้ง

ในตอนนั้นนางอยู่บนหลังของเขา ร่มก็อยู่ในมือของนาง

ร่มคันนี้คอยช่วยกันฝนและหิมะให้กับนางและเขา ต้านทานลมและเกล็ดหิมะ เคยกันเศษฝุ่น และชี้นำเส้นทาง

คืนให้กับ…เฉินฉางเซิง…สระกระบี่…กระบี่จำศีล…เขา

ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดขาวราวหิมะในชั่วพริบตา

นางค่อนข้างจะเหม่อลอย

นางสับสนอย่างมาก

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่