ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 34 เรื่องอะไรกัน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สีหน้าของชิวซานจวินซีดขาวเป็นอย่างมาก แต่เทียบกับเมื่อหลายวันก่อนที่เสียเลือดมากเกินไป และบาดเจ็บสาหัสจนใบหน้าซีดขาวแล้วต่างกัน เพราะดูทรุดโทรมขึ้น จึงดูหมดกำลังมากกว่าอยู่บ้าง

เวลาเพียงแค่ครึ่งคืน ไม่รู้ว่าเขาผ่านอะไรมา ถึงได้ย่ำแย่ลงไปอย่างมาก

โก่วหานสือเห็นอย่างชัดเจน และก็รู้ว่าเพราะอะไร ความรู้สึกเองก็ซับซ้อนอย่างมาก เห็นใจ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง

เห็นใจสำหรับศิษย์พี่ใหญ่ ไม่พอใจก็สำหรับสวีโหย่วหรง

เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของสวีโหย่วหรง เพียงแต่ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับห่างไกลมีข้อแตกต่าง อีกทั้งเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องราวถึงได้พัฒนามาถึงขั้นนี้ได้

ต่อให้เขาอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าจนแตกฉานตั้งแต่เด็ก ก็ไม่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ชิวซานจวินก็เอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน “อีกไม่กี่วันศิษย์น้องก็จะกลับจิงตู ถ้าหากเจ้าไม่มีธุระอะไร ก็ไปเป็นเพื่อนนางเถอะ”

โก่วหานสือค่อนข้างจะไม่เข้าใจ จึงถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ชิวซานจวินมองไปยังแสงดาวที่ด้านนอกถ้ำพำนัก แล้วพูดขึ้น “อาจารย์ปู่เล็ก…เป็นไปได้ว่าจะจากไปพร้อมกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในภายหลังเทียนหนานจะเดินไปยังทิศทางใด ก็ต้องดูจากการเคลื่อนไหวของทางด้านจิงตูนั้นแล้ว”

ได้ยินประโยคนี้ โก่วหานสือก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ผ่านไปนานเขาถึงจะสงบลงมาได้ แล้วถามขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์น้องจะกลับจิงตูเมื่อไหร่ หรือว่านางจะกลับไปจัดการกับสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้นด้วยตนเอง”

ชิวซานจวินส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ กลับกัน ที่สำคัญคือข้ากังวลเรื่องการต่อสู้ของนางกับเฉินฉางเซิงมากกว่า”

โก่วหานสือยิ่งไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าทำไมอาจารย์ปู่เล็ก อาจารย์ แล้วก็ศิษย์พี่ถึงล้วนคิดกันว่า หลังจากที่ศิษย์น้องโหย่วหรงกลับจิงตูไปแล้ว จะต้องต่อสู้กับเฉินฉางเซิงอย่างแน่นอน

“การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หรือใต้เท้าสังฆราชก็ล้วนไม่ยอมให้ในตอนนี้เกิดคลื่นลมพายุลูกใหญ่ขึ้นมา พูดอีกอย่างคือ นักปราชญ์ทั้งสองคนจะต้องรักษาความสงบเอาไว้ การชิงตำแหน่งจักรพรรดิยังอยู่ใต้ผิวน้ำ กฎใหม่ของนิกายหลวง การประลองระหว่างสำนัก…เรื่องที่ตระกูลเทียนไห่กับใต้เท้ามุขนายกทั้งสองคนทำ ที่จริงก็เหมือนกับเรื่องที่ใต้เท้าสังฆราชกับใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาทำอย่างมาก นั่นนับเป็นการต่อสู้แบ่งอำนาจครั้งสุดท้าย”

ชิวซานจวินมองไปที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “ตั้งแต่งานชุมนุมไม้เลื้อยจนมาถึงการสอบใหญ่ จนมาถึงสุสานเทียนซูอีก เฉินฉางเซิงเหยียบย่ำแสงดาวออกมา เอาชนะเจ้าก่อนแล้วค่อยชนะโชคชะตา แต่ในครั้งนี้ ถ้าหากเขายังสามารถชนะต่อไปได้ แน่นอนว่าเขาจะมีชื่อเสียงไปจนถึงจุดสูงสุด แต่ถ้าศิษย์น้องโหย่วหรงกลับจากเทียนหนานไปถึงจิงตู และสามารถเอาชนะเขาได้ เช่นนั้นภายหลังยังจะมีใครกล้าท้าทายอำนาจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อีก”

หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “เพียงแต่เช่นนี้โหดร้ายเกินไปหน่อย”

โก่วหานสือเข้าใจว่าที่เขาพูดว่าโหดร้ายหมายถึงอะไร เขาจึงส่ายหัวและพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องพูดอะไรไว้กันแน่”

ชิวซานจวินเล่าเรื่องที่สวีโหย่วหรงพูดไว้ก่อนหน้านี้อย่างสงบ ยกตัวอย่างเช่นนางตกหลุมรักศิษย์ลับของพรรคภูเขาหิมะที่อาจจะตายไปแล้วผู้หนึ่ง

ในใจโก่วหานสือก็คิดว่าเรื่องนี้เองก็เป็นความโหดร้ายอย่างหนึ่ง เขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานานแล้วถึงได้ถามขึ้น “หรือว่าจะปล่อยไปเช่นนี้”

ชิวซานจวินนิ่งเงียบเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “คนตายนั้นไม่อาจจะเอาชนะได้”

โก่วหานสือไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงพึมพำขึ้นมา “เช่นนี้ไม่ถูกต้อง”

“ใครไม่ถูกต้อง ศิษย์น้องหรือ” ชิวซานจวินมองเขาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมดาบของโจวตู๋ฟูถึงไม่อาจจะสกัดกันไว้ได้”

โก่วหานสือพูดขึ้น “เพราะว่าเร็ว”

ชิวซานจวินยิ้มแล้วพูดขึ้น “เพราะว่าหนึ่งดาบตัดขาดสองท่อน บางครั้ง…ถึงจะเป็นความเมตตาที่แท้จริง”

กระบี่คมสามารถตัดสะบั้นความรัก ดาบเองก็สามารถ

เขาแย้มยิ้มพูดจา หลังจากนั้นก็ไอขึ้นมา

เขาไออย่างเจ็บปวดอย่างมาก เจ็บจนค่อนข้างจะปวดใจ บนชุดมีเลือดหยดลงมา

ไม่รู้ว่ารักเกิดขึ้นที่ใด แต่กลับลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ ไหนเลยที่ดาบและกระบี่จะสะบั้นให้ขาดลงได้ง่ายๆ

…..

…..

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่ามรสุมที่จิงตูนี้กำลังก่อตัวขึ้นมา ที่เรียกว่ากฎใหม่ สุดท้ายก็ร่วงลงมาอยู่ระหว่างตนกับสวีโหย่วหรง เช่นเดียวกัน ตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มใหม่ของนิกายหลวง และยังมีพวกตระกูลใหญ่ในแดนใต้ที่ห่างไกล เหล่าพรรคต่างๆ มีความระแวงและความเป็นศัตรูต่อกลุ่มเก่าของนิกายหลวงไปจนถึงราชวงศ์ และทั้งหมดก็มาตกลงอยู่ที่ตัวเขากับสำนักฝึกหลวง

ยามห้าในตอนเช้าตรู่ เขาตื่นขึ้นมาตรงเวลาเหมือนกับหลายปีก่อนนั้น หลังจากสงบจิตครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นสวมชุดล้างหน้าล้างตา

ที่นอกหน้าต่างมีฝนตกอยู่ สายลมในยามเช้าของฤดูร้อนไม่ได้เย็นขึ้นเพราะเหตุนี้ เสียงที่ดังจากด้านนอกประตูเข้ามาก็ไม่ได้เบาลง เขาเคยชินกับการตื่นขึ้นมาในเวลานี้แล้ว และก็ได้ยินเสียงที่วุ่นวายไปจนถึงรับรู้ข้อมูลต่างๆ นานาเหล่านั้น เขาไม่ได้รีบร้อนเหมือนกับในตอนแรก เขาทำเรื่องที่ต้องทำเป็นอันดับแรกอย่างสงบ ไปที่ห้องครัวตรงทะเลสาบเพื่อกินโจ๊กสองชาม กินหมั่นโถวที่ทำจากข้าวฟ่างไปสองก้อนกับเนื้อขาหมูรมควันที่บางมากสองแผ่น แล้วก็ลองหากระบี่มหาสมุทรขุนเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ในกองฟืนอย่างไม่ใส่ใจดู ถึงได้เดินไปทางหอตำรา

เมื่อวานตอนที่กลับมาจากคุกโจว แล้วพบว่าศาลาไม่ได้ถูกรื้อไป เขากับถังซานสือลิ่วก็เดาได้แล้วว่าการประลองระหว่างสำนักไม่ได้จบลงไปตามการบาดเจ็บสาหัสของโจวจื้อเหิง การข้ามขั้นเอาชนะขั้นรวบรวมดวงดาว ที่จริงก็เป็นเรื่องที่เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ แต่เมื่อเทียบกับอำนาจของตระกูลเทียนไห่ที่แสนยิ่งใหญ่แล้ว ก็จะนับว่าเป็นอะไรกัน

โดยเฉพาะพระราชวังหลีจนถึงตอนนี้ยังรักษาความเงียบสงบอยู่

พระราชวังหลีรักษาความเงียบสงบ ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มอำนาจเก่าของนิกายหลวงไปจนถึงใต้เท้าสังฆราชจะไม่สนใจสำนักฝึกหลวงแล้วจริงๆ ตั้งแต่หลายวันก่อนจนถึงตอนนี้ ตลอดมาล้วนมีนักบวชของพระราชวังหลีกับกองทัพของนิกายหลวงคุ้มกันสำนักฝึกหลวงอยู่รอบด้าน ถึงแม้จะไม่อาจห้ามเสียงวุ่นวายไปได้ แต่ก็มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยในบริเวณนี้

นักบวชแซ่หลู่คนหนึ่งจากพระราชวังหลีรีบร้อนเข้ามาในสำนักฝึกหลวง ก่อนที่เฉินฉางเซิงจะเดินเข้าหอตำราก็ถูกเขาหยุดเอาไว้ เขาทำความเคารพก่อน หลังจากนั้นก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาให้ด้วยสองมือ

จดหมายที่ถูกส่งเข้ามาในสำนักฝึกหลวงในเวลานี้ แน่นอนว่าต้องเป็นสาสน์ท้าประลอง

เฉินฉางเซิงคำนับนักบวชแซ่หลู่ผู้นั้นกลับไป กล่าวขอบคุณความลำบากของอีกฝ่ายในช่วงหลายวันมานี้ แต่กลับไม่ได้รับเอาสาสน์ท้าประลองฉบับนั้นมา เขาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายไปหาถังซานสือลิ่วที่อาคารหลังเล็ก และยังฝากให้เขาบอกกับถังซานสือลิ่วว่าให้รีบตื่นไปกินอาหารเช้า โจ๊กเย็นแล้วก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าหากเขาตื่นช้าเกินไป เนื้อหาหมูรมควันถาดใหญ่จะถูกเซวียนหยวนผ้อกินจนหมดด้วยตัวคนเดียวจริงๆ แล้ว

เมื่อเดินเข้าไปในหอตำรา เขาก็ไปตรวจดูสภาพของเจ๋อซิ่วก่อน หลังจากนั้นก็หยิบยารักษาบาดแผลที่เมื่อคืนวานลั่วลั่วขอให้เสนาธิการจินส่งมาให้ออกจากหน้าอก และทำการฝังเข็มทองคำอีกครั้ง โดยการจุ่มลงไปในน้ำยาที่ถังซานสือลิ่วแอบเข้าไปขโมยมาจากสวนร้อยหญ้าแล้วบดออกมา แทงเข้าไปที่หว่างคิ้วของเจ๋อซิ่ว ค่อยๆ ปั่นลงไป ทำการรักษาบาดแผลให้เขาต่อ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ยาล้ำค่าของพระราชวังหลีกับน้ำยาจากสวนร้อยหญ้าทั้งสองตัวก็ถูกเข็มทองทำให้ออกฤทธิ์ ทั้งหมดแล่นเข้าสู่ชีพจรของเจ๋อซิ่ว หลังจากนั้นก็กระจายไปทั่วร่างของเขา

เฉินฉางเซิงทำทั้งหมดเสร็จ ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ร่างกายเองก็ร้อนขึ้นมา เพียงแต่ไม่ได้มีเหงื่อออกเหมือนกับเมื่อวานเช่นนั้นอีก

การจะกำจัดพิษที่อยู่ในร่างของเจ๋อซิ่วเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยาก อันดับแรกที่ทำให้เขากังวลที่สุดก็คือพิษขนนกยูงของหนานเค่อ ไม่รู้เป็นเพราะมีมุขนายกชุดแดงของพระราชวังหลีใช้เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง หรือเป็นเพราะยาพิษที่ถูกใช้ในคุกโจวนั้นเกิดพิษต้านพิษขึ้นมา ในตอนนี้จึงอ่อนแอลงไปมากแล้ว เทียบกับปริมาณพิษที่เจ๋อซิ่วเคยบรรยายให้ฟังแล้วก็แตกต่างกันอย่างมาก

ในตอนนี้ที่เขากังวลที่สุดก็คือปัญหาชีพจรของเจ๋อซิ่ว

ประตูของหอตำราพลันมีเสียงเปิดดังขึ้น เซวียนหยวนผ้อเดินเข้ามา และถามขึ้น “วันนี้ให้ข้าเรียนอะไร”

ในตอนนี้สำนักฝึกหลวงไม่มีอาจารย์ เซวียนหยวนผ้อต้องเรียนอะไร แน่นอนว่าก็ทำได้เพียงมาถามเขาแล้ว เฉินฉางเซิงมีประสบการณ์ทางด้านนี้ เขาเคยสอนนักเรียนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงมาก่อน เขารู้วิชาของเผ่าปีศาจมากมายหลายอย่าง ความเข้าใจที่มีต่อโครงสร้างร่างกายที่พิเศษของเผ่าปีศาจกับเส้นชีพจรก็รู้อย่างชัดเจน อีกทั้งหลังจากการสอบใหญ่ก็ทำการรักษาให้เจ๋อซิ่วอยู่หลายครั้ง ในตอนนี้เขาก็มีความมั่นใจกับเรื่องที่เผ่าปีศาจฝึกฝนวิชาของมนุษย์มากยิ่งขึ้น

เขาหยิบคัมภีร์ที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกส่งไป แล้วพูดขึ้น “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้เจ้าเรียนอัสนีสวรรค์”

อัสนีสวรรค์ไม่ใช่วิชาการบำเพ็ญเพียรที่เห็นได้ตามทั่วไป พูดให้ถูกคือ นี่เป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งของนิกายหลวง พูดว่าหากฝึกคัมภีร์นี้ไปจนถึงขั้นสูงสุด สามารถมีพลังไร้ขีดจำกัด ยกหมัดขึ้นสามารถเรียกลม ยกหมัดลงสามารถเรียกฝน ราวกับว่าเป็นเทพมารก็ไม่ปาน และยังสามารถเรียกสายฟ้าสวรรค์ลงมาสังหารศัตรูที่แข็งแกร่ง

แต่ที่พูดกัน ก็มักจะเป็นตำนาน ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ว่าคัมภีร์นี้ต้องฝึกเช่นไร แน่นอนว่าก็ไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จมาก่อน

เซวียนหยวนผ้อเป็นเด็กหนุ่มเผ่าหมีที่แสนซื่อ ก็ไม่ได้แปลว่าเขานั้นโง่มาก โดยเฉพาะเขาอยู่ในสำนักฝึกหลวงมานานขนาดนี้ ถูกเฉินฉางเซิงบังคับให้อ่านหนังสือมากมายขนาดนั้น สติปัญญาจึงเปิดตั้งแต่แรกแล้ว ความรู้ก็ค่อนข้างกว้างขวาง เขามองดูคัมภีร์เต๋าที่อยู่ในมือ และพูดขึ้นอย่างเสียใจ “นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ หรือเจ้ารู้สึกว่าข้าควรไปเป็นนักบวชซึ่งทำหน้าที่เรียกฝนในอนาคต”

ในตอนนี้คัมภีร์อัสนีสวรรค์ที่ปรากฏออกมาบ่อยที่สุดก็คือตอนที่ขอฝน นักบวชจะเป็นผู้นำให้ชาวประชาอ่านตาม แต่ใครเคยเห็นว่าหลังจากอ่านคัมภีร์นี่จบ ที่แท่นบูชาก็จะมีแสงออกมา ที่ตามมาลมพัดเมฆรวมตัว ฟ้าร้องฟ้าผ่า หลังจากนั้นก็มีฝนตกกระหน่ำลงมาบ้าง ต่อให้คัมภีร์เล่มนี้เป็นของจริง เซวียนหยวนผ้อซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่อยากจะกลายเป็นขุนพลเทพของเผ่าปีศาจจนยอมต่อสู้ไปชั่วชีวิต ไหนเลยจะยอมไปเป็นนักบวชที่คอยเรียกลมเรียกฝน

เฉินฉางเซิงเองก็ไม่อธิบาย เขาใช้สถานะของเจ้าสำนักกับความน่าเกรงขามของอาจารย์ปู่ไปจนถึงคำไหว้วานที่สำคัญที่สุดของลั่วลั่ว และยังมีอำนาจในการทวงคืนกระบี่มหาสมุทรขุนเขา ถึงได้ประสบความสำเร็จในการกดดันให้ความเป็นไปได้ของการโดดเรียนครั้งแรกหลังจากที่สำนักฝึกหลวงเปิดใหม่ไม่เกิดขึ้น

เซวียนหยวนผ้อหายใจกระฟัดกระเฟียด และเดินไปที่ข้างหน้าต่างด้วยความโกรธและไม่เต็มใจอย่างมาก เผชิญหน้ากับแสงแดดแล้วเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญเพียร

ภายนอกสำนักฝึกหลวงค่อยๆ เงียบลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องราวนั้นสงบลงไปแล้ว

การประลองระหว่างสำนักเป็นชื่อที่แสนจะเรียบง่าย แต่เรื่องเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญเพียรที่นิกายหลวงเลี้ยงดูไปจนถึงการต่อสู้ที่สำคัญยิ่งกว่าอย่างการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเผ่ามาร แน่นอนว่ามีกฎทั้งชุดกับระดับขั้นอยู่

เฉินฉางเซิงไม่สนเรื่องเหล่านี้ เมื่อยืนยันว่าเจ๋อซิ่วหลับไปอีกครั้งแล้ว และเซวียนหยวนผ้อเองก็เริ่มศึกษาคัมภีร์เล่มนั้นอย่างตั้งใจจริงๆ แล้ว เขาเองก็เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร เมื่อคืนวานที่เขาอยู่ในป้ายศิลาสีดำลวงตาแผ่นนั้น ได้มองเห็นภาพเหล่านั้นภายในสวนโจวอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้เขามีความหวังขึ้นมา ดังนั้นจึงยิ่งรีบร้อนเข้าไปใหญ่

ส่วนเรื่องที่อยู่นอกประตูสำนัก…แน่นอนว่ามีถังซานสือลิ่วรับหน้าที่จัดการ เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อไม่มีความสามารถเช่นนี้ เจ๋อซิ่วต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ทำได้เพียงต่อสู้ฆ่าคน ดังนั้นในตอนแรกเฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อถึงได้รอคอยให้ถังซานสือลิ่วออกจากสุสานเทียนซูมาโดยตลอด และถังซานสือลิ่วก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ กลับมาวันแรกก็ถีบเทียนไห่หยาเอ๋อร์จนปลิว ด่าจนโจวจื้อเหิงเป็นไอ้โง่

วันนี้เขาจะทำอย่างไรอีก

……

……

ในปากของถังซานสือลิ่วกัดหมั่นโถวที่ทำจากข้าวฟ่างอยู่ครึ่งลูก ในหมั่นโถวยัดไส้เนื้อขาหมูรมควันครึ่งแผ่นสุดท้ายที่เขาสามารถหาได้ในครัว เมื่อรับสาสน์ท้าประลองจากนักบวชแซ่หลู่ของพระราชวังหลีมา ก็ไม่ได้อ่านเลย และเดินตรงออกไปที่ประตูสำนัก

กองทัพของนิกายหลวงทั้งสองกองยืนเหี่ยวเฉาอย่างถึงที่สุดอยู่ท่ามกลางสายฝน ด้านนอกล้อมไปด้วยฝูงชนเต็มไปหมด ในตอนที่เห็นประตูของสำนักฝึกหลวงเปิดออก ในฝูงชนก็ระเบิดเสียงที่ดังมากออกมา เขาถูกทำให้ตกใจ หมั่นโถวที่กัดอยู่ในปากก็เกือบจะตกลงไปในน้ำฝน เขาจึงพูดขึ้นอย่างไม่ชัดเจนว่า “เรื่องอะไรกัน”