ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 35 เขาอยู่ท่ามกลางดอกไม้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

นักบวชของพระราชวังหลีแซ่หลู่พูดขึ้นอย่างจนใจ “ล้วนมาดูเรื่องสนุกกัน จึงไม่อาจจะไล่ออกไปได้ไกลนัก”

ใต้ศาลาที่อยู่บนถนน นอกจากผู้ดูแลของสี่โรงพนันใหญ่ก็ไม่มีบุคคลสำคัญอะไรอีก ชาวเมืองจิงตูที่มาชมเรื่องสนุกก็มาถึงกันมากมายแล้ว

เพิ่งจะเป็นยามหก อากาศในวันนี้ก็ยังมีฝนตกอีก ถังซานสือลิ่วจนใจอย่างมาก และก็หงุดหงิดอย่างมาก ในใจคิดก็แค่การต่อสู้เอง มีอะไรน่าดูนัก คู่ควรให้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าขนาดนี้เลยหรือ

ฝูงชนค่อยๆ แยกกัน หลังจากนั้นก็เงียบเสียง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมชุดนักบวชสีดำเดินเข้ามาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

ถังซานสือลิ่วแกะสาสน์ท้าประลองดู ยืนยันว่านี่ก็คือผู้ท้าประลองในวันนี้ ถึงกับเป็นอาจารย์คนหนึ่งจากสำนักจวนราชวังหลี

คิ้วเรียวดั่งกระบี่ของเขาทั้งสองข้างพลันขมวดขึ้นมาน้อยๆ ไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจี แต่เป็นเพราะความไม่เข้าใจในใจของเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจ

นอกจากสำนักเด็ดดารา ที่เหลืออีกห้าสำนักไม้เลื้อยล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของนิกายหลวงโดยตรง หรือว่าภายในนิกายหลวงจะมี…คนที่กล้าขัดต่อเจตนารมณ์ของใต้เท้าสังฆราชมากมายขนาดนี้จริงๆ

……

……

 ประตูของหอตำราถูกเปิดออก สายลมพลันพัดเอาละอองฝนเข้ามา ในเวลาเดียวกันที่เดินเข้ามาก็ยังมีถังซานสือลิ่วด้วย

“ข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย” เขาพูดกับเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงส่ายหน้าพูดขึ้น “ในนิกายหลวงในตอนนี้ รวมถึงนักบวชในพระราชวังหลีมากมายล้วนเคยผ่านเหตุการณ์ความวุ่นวายของสำนักฝึกหลวงในตอนนั้น พวกเขาเคยสังหารผู้แข็งแกร่งที่รับใช้ราชวงศ์ไปมาก มือของหลายคนยังมีเลือดสดๆ ของอาจารย์และนักเรียนในสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจยอมรับให้ราชวงศ์กลับมาครองราชย์ใหม่ การที่สำนักฝึกหลวงปรากฏขึ้นมาใหม่ นี่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขัดต่อเจตนารมณ์ของใต้เท้าสังฆราช”

หลังจากที่หยุดชะงักไป เขาก็พูดขึ้นต่อ “ในตอนแรกใต้เท้ามุขนายกพูดไว้อย่างชัดเจน ใต้เท้าสังฆราชเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ต่อให้เป็นคนที่จงรักภักดีกับเขาเหล่านั้น ในช่วงเวลาหนึ่งก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงมาอยู่ข้างเดียวกับเขาได้”

ถังซานสือลิ่วลองคิดดู แล้วพูดขึ้น “มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้องอยู่”

เฉินฉางเซิงสนใจเนื้อเรื่องมากยิ่งกว่า จึงถามขึ้น “อาจารย์จากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นมีระดับเป็นเช่นไร”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ไม่ใช่ขั้นรวบรวมดวงดาว เป็นขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจี อายุมาก มองดูก็รู้แล้วว่ามีพวกไม้ตายก้นหีบเอาไว้ต่อชีวิต”

เฉินฉางเซิงได้ยินก็เงียบไป ในใจคิดว่าคู่ต่อสู้เช่นนี้ดูเหมือนจะเทียบกับโจวจื้อเหิงไม่ได้ แต่เกรงว่าประสบการณ์ในการต่อสู้จะอยู่เหนือกว่าโจวจื้อเหิง จึงรับมือได้ไม่ง่ายนัก

เขาถามขึ้น “เจ้านัดเวลาอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อไหร่”

ถังซานสือลิ่วชะงัก พลางถามขึ้น “เมื่อไหร่อะไร”

เฉินฉางเซิงก็ชะงักไปเช่นกัน และพูดขึ้น “จะสู้กับอาจารย์จากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นเมื่อไหร่”

ถังซานสือลิ่วถึงได้เข้าใจความหมายของเขา และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “สู้เสร็จแล้ว”

เฉินฉางเซิงฟังไม่ค่อยจะชัดเจน จึงถามขึ้น “สู้เสร็จแล้ว?”

“ใช่ สู้เสร็จแล้ว”

“เอ่อ…” เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงเลย ในตอนนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

เซวียนหยวนผ้อไม่สามารถที่จะสงบใจอ่านหนังสือได้อีก และมองมาอย่างตกตะลึง

ถึงจะเป็นเจ๋อซิ่วที่นอนอยู่บนพื้น หูของเขาเองก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อย

“ใครเป็นคนสู้” คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่เฉินฉางเซิงยังไม่ค่อยแน่ใจ

ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าเขาปัญญาอ่อนจนไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จึงพูดขึ้น “แน่นอนว่าต้องเป็นข้าสิ!”

เซวียนหยวนผ้อก็ซื่อตรงยิ่งกว่า เขาคิดจริงๆ ว่าองค์หญิงลั่วลั่วกลับมาแล้ว ในตอนนี้ได้ยินเขายอมรับ จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้ถามขึ้น “เจ้า…สู้ได้หรือ”

ในเมื่ออาจารย์ของสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นอยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจี ถังซานสือลิ่วที่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีได้ในสุสานเทียนซู จะเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้อย่างไร

“หมายความว่าอะไร เฉินฉางเซิงสามารถข้ามขั้นเอาชนะขั้นรวบรวมดวงดาวได้ ข้าแม้แต่ตาเฒ่าคนหนึ่งจะจัดการไม่ได้หรืออย่างไร”

ถังซานสือลิ่วพูดเย้ยหยันขึ้น “ดูข้าในตอนนี้ออกจะองอาจสง่างามดั่งต้นใบเงิน มีท่าทางสง่างาม แม้แต่ใบไม้และสายฝนยังไม่ถูกตัว พวกเจ้าก็น่าจะรู้แล้วว่าใครชนะ”

ในหอตำราเงียบเป็นเป่าสาก

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

ในงานชุมนุมไม้เลื้อยกับการสอบใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นระดับในการบำเพ็ญเพียรหรือวิชากระบี่ เห็นได้ชัดว่าถังซานสือลิ่วนั้นด้อยกว่าพวกชีเจียนกับกวนเฟยไป๋อยู่ขั้นหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องไปเทียบกับโก่วหานสือ ในฐานะทายาทตระกูลใหญ่ที่มีพรสวรรค์เหนือใครตั้งแต่เด็ก ผลคือเขากลับถูกพวกศิษย์พรรคกระบี่หลีซานกดดันเสียจนแทบหายใจไม่ได้ หัวก็ยังเงยไม่ขึ้น…เฉินฉางเซิงรู้ว่าถึงภายนอกของเขาจะไม่มีอะไร ยังคงไม่ใส่ใจ มีเงินเอาแต่ใจ พูดจาหยาบคาย แต่ที่จริงแล้วเขากลับได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างมาก

ดังนั้นในสุสานเทียนซูถังซานสือลิ่วจึงร่ำเรียนอย่างหนัก พยายามอย่างมาก สุดท้ายก็ไล่ตามจนถึงขั้นก้าวข้ามกวนเฟยไป๋ไปได้ และเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง

แต่เฉินฉางเซิงก็ยังคิดไม่ถึง เขาถึงกับมีความก้าวหน้ามากมายถึงเพียงนี้ ถึงกับเอาชนะผู้อาวุโสในขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจีผู้หนึ่งได้

เขามองตาถังซานสือลิ่ว ยืนยันว่าไม่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ แล้วจึงถามขึ้น “สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้น ชุดยังคงชื้นอยู่ ที่ผมตรงขมับก็ยังมีหยดน้ำอยู่บ้าง

เขาไม่ได้ตอบคำถามของเฉินฉางเซิงในทันที หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้พูดขึ้น “ข้าตัดแขนของเขาไปข้างหนึ่ง”

เฉินฉางเซิงเองก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “หนักไปหน่อย”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ก็ต้องให้อีกฝ่ายจ่ายค่าตอบแทนมาบ้าง…ไม่เช่นนั้นการท้าประลองก็จะมีทุกวัน จะทำอย่างไร หรือว่าเจ้าจะสู้ต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ ถ้าหากมีครั้งหนึ่งที่เจ้าพลาดพลั้ง พวกเขาก็กล้าที่จะตัดแขนของเจ้า”

ประโยคนี้เขาพูดอย่างสงบและแน่วแน่อย่างมาก เพราะเขารู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เฉินฉางเซิงกลับสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของเขา หลังจากนั้นก็นึกขึ้นมา ถึงจะพูดว่าหลังจากที่ถังซานสือลิ่วเข้ามาในจิงตูก็ตะโกนว่าจะจัดการกับเทียนไห่หยาเอ๋อร์ แต่ที่จริงแล้ว…ตั้งแต่เด็กเขาก็คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย หลังจากเข้ามาที่จิงตูแล้วก็มีเจ้าสำนักจวงคอยดูแล จนกระทั่งเขาออกจากสำนักเทียนเต้า มายังสำนักฝึกหลวงถึงได้เริ่มเผชิญหน้ากับมรสุมในชีวิตเหล่านั้น ไหนเลยที่เขาจะเคยจัดการกับใคร กระทั่งนอกจากการต่อสู้ในการสอบใหญ่ เขาก็ไม่เคยได้เห็นเลือดอะไรมาก่อน

เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไร ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและส่งไปให้ พลางพูดขึ้น “เช็ดเสีย”

ถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะตกตะลึง เซวียนหยวนผ้อตกตะลึงอย่างมาก แม้แต่เจ๋อซิ่วเองก็ยังลืมตาขึ้นมา

พวกเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเฉินฉางเซิงที่สุดในโลก ตอนนี้ก็ล้วนรู้ว่าเฉินฉางเซิงมีโรครักความสะอาดที่ค่อนข้างรุนแรง แต่ในยามปกติไม่ค่อยได้แสดงออกมา

“เพียงแค่น้ำฝน” เฉินฉางเซิงเน้นเสียงอธิบายขึ้นมา “ถ้าหากเจ้าเอาไปเช็ดเลือดบนกระบี่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาคืนข้าแล้ว”

……

……

ถังซานสือลิ่วลงมือหนักมาก แต่สายฝนในฤดูร้อนนั้นตกหนักยิ่งกว่า จากสายฝนในยามเช้า เมื่อถึงตอนหัวค่ำก็เปลี่ยนเป็นตกหนัก รอยเลือดที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงไม่นานก็ถูกชะล้างจนสะอาด เรื่องนี้นอกจากทำให้เหล่าเด็กสาวในจิงตูรู้สึกว่าเขาเท่ยิ่งขึ้น และยิ่งคลั่งไคล้ในตัวเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลงเหลือผลกระทบใด ไม่ว่าจะเป็นสำนักฝึกหลวงหรือจะเป็นศัตรูของสำนักฝึกหลวงแล้ว ก็ล้วนเป็นเช่นนี้

ยามเช้าในวันที่สอง สำนักฝึกหลวงได้รับสาสน์ท้าประลองอีกครั้งถึงสามฉบับ แต่ต่างกับเมื่อวาน ประตูของสำนักฝึกหลวงไม่ได้ถูกเปิดออกมาโดยตลอด สามารถได้ยินเพียงแค่เสียงถกเถียงกันดังออกมาจากภายใน จนกระทั่งถึงตอนหัวค่ำ ประตูสำนักถึงได้ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง มองดูถังซานสือลิ่วที่เดินออกมาจากประตูสำนัก ชาวเมืองจิงตูกับเหล่าผู้ดูแลที่ใต้ศาลาได้รอมาหนึ่งวันเต็มๆ ยังมีผู้คนในรถที่อยู่บนถนน ต่างพากันตั้งสติ

แตกต่างกับเมื่อวาน ในวันนี้ไม่มีฝนตกหนักลงมา มีเพียงแค่แสงยามตะวันรอนที่ทอแสงเต็มฟ้า

กระบี่เวิ่นสุ่ยถูกชักออกจากฝัก ตัวกระบี่ที่มันวาวสะท้อนแสงตะวันรอน ในเวลาเดียวกันก็ราวกับมีมนตร์อาคมบางอย่าง กวาดเก็บเอาแสงตะวันรอนบนท้องฟ้าทิศตะวันตกทั้งหมดเข้าไป บนถนนพลันมืดไปหมด หลังจากนั้นก็มีแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง

ถังซานสือลิ่วใช้กระบวนท่าที่ทางพลังมากที่สุดของเพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่า!

เก็บเมฆสนธยา เจตจำนงกระบี่พลันพวยพุ่ง

ที่พื้นหน้าประตูสำนักยังมีน้ำฝนขังค้างอยู่จุดแล้วจุดเล่า เหมือนกับทะเลสาบขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน

ปราณแท้ล้นทะลักออกมา ท่วงท่ากระบี่ก็ถูกใช้ออกมา แอ่งน้ำเหล่านั้นพลันสะท้อนแสงสีทอง ไอร้อนเลือนหายไปในทันที

ภายในตรอกเกิดเสียงกระบี่กระทบกันอย่างรุนแรงขึ้นมาติดๆ!

มือกระบี่ที่ฉากหน้ามาจากหอจงซื่อ แต่ที่จริงแล้วเป็นยอดฝีมือของตระกูลเทียนไห่ผู้นั้น พลันกระเด็นถอยหลังไป และร่วงไปบนพื้นถนนอย่างแรง

เสียงโครมดังขึ้น แอ่งน้ำเหล่านั้นถูกร่างบดทำลาย แสงสีทองกลายเป็นสะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วน

บนร่างของมือกระบี่ผู้นั้นมีบาดแผลอยู่นับสิบแห่ง เลือดสดๆ ไหลออกมาจากทุกด้าน และก็ไม่อาจจะยืนขึ้นมาได้อีก

ถังซานสือลิ่วไม่ได้มองคนผู้นี้อีกแม้แต่แวบเดียว

เขาจับกระบี่เวิ่นสุ่ย มองไปที่ฝูงชน แล้วพูดขึ้น “คนถัดไป”

ฝูงชนเงียบเป็นเป่าสาก หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา

โดยเฉพาะพวกเด็กสาวในจิงตูเหล่านั้น ราวกับบ้าคลั่งก็ไม่ปาน ตะโกนเรียกชื่อของเขาอย่างสุดชีวิต และโยนดอกไม้ในมือออกไป

ดอกไม้ถูกโยนมาที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงไม่หยุด ไม่นานบนพื้นก็มีดอกไม้หนาเป็นชั้นขึ้นมา ราวกับทะเลดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น

และเขาก็ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้ผืนนี้