ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 36 น้ำเริ่มท่วม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

วันหนึ่งในฤดูร้อน ถังซานสือลิ่วตัดแขนของอาจารย์จากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้น ครั้งที่สอง***เขาใช้เพียงเพลงกระบี่เดียวทำให้ยอดฝีมือของตระกูลเทียนไห่ผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส เป็นการชนะสองครั้งติดอีกครั้ง ครั้งที่สาม***ก็เอาชนะได้อย่างเด็ดขาดเป็นการชนะสองครั้งติด ครั้งที่สี่***เขาก็เอาชนะได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง ครั้งที่ห้า***ก็เอาชนะติดกันเป็นครั้งที่สี่ด้วยความน่าเกรงขามดั่งพยัคฆ์ จนถึงตอนนี้ เขาเป็นตัวแทนสำนักฝึกหลวงออกสู้สิบสองครั้ง โดยที่ชนะติดกันมาโดยตลอด

หน้าประตูสำนักฝึกหลวงพลันกลายมาเป็นทะเลดอกไม้ และมีชื่อตรงกับตรอกไป่ฮวา (ร้อยบุปผา) เป็นครั้งแรก ที่ยิ่งยินดีก็คือพวกที่ขายดอกไม้นอกตรอกกับสี่โรงพนันใหญ่ที่ตั้งศาลารับเดิมพันอยู่รอบด้าน รายละเอียดการเดิมพันจะจัดการอย่างไร ขอเพียงแค่ผู้คนเข้ามาเดิมพัน เช่นนั้นพวกพ่อค้าก็สามารถอาศัยเรื่องนี้หาผลกำไรสูงสุดได้

ผู้คนล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน สรุปแล้วการที่ถังซานสือลิ่วชนะต่อเนื่องจะสามารถยื้อไปได้ถึงเมื่อไหร่ ในเวลาเดียวกันก็ยืนยันได้จริงๆ ว่าคุณชายตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยที่ได้รับชื่อว่าอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก ก็สมกับที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ประเมินเอาไว้ในตอนที่เปลี่ยนอันดับในประกาศชิงอวิ๋นนั่น ของเพียงแค่หมั่นบำเพ็ญเพียร ความแข็งแกร่งของระดับขั้นการบำเพ็ญก็สามารถบรรลุขึ้นได้อย่างรวดเร็วจริงๆ วันเดียวก็ไปไกลนับพันลี้ มีคนเริ่มที่จะครุ่นคิดแล้ว ถ้าหากประกาศเตี่ยนจินในปีนี้มีการเปลี่ยนอันดับ ตัวเขาที่อายุสิบเจ็ดปีจะสามารถก้าวไปถึงไหน

เหมือนกับเมื่อหลายวันก่อน ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่เกิดจากกลีบดอกไม้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่ได้หวั่นไหวกับทิวทัศน์ที่งดงามกับเสียงร้องตะโกนของเด็กสาวบนถนนเหล่านั้นเลย ในใจกลับคิดเรื่องบางอย่างที่ไม่ได้สำคัญ…ช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน ดอกไม้สดที่พวกหาบเร่ขายอยู่ที่นอกตรอกซึ่งขนมาจากเมืองชิงชิวก็เขียวชอุ่มนัก เขาที่ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้ ก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางกองหมูสามชั้นเนื้อนุ่ม

“ยอดเยี่ยมจริงๆ” อยู่ๆ ในฝูงชนก็มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมา “ข้าประหลาดใจอย่างมาก ถ้าหากในตอนนี้มีการเปลี่ยนอันดับในประกาศเตี่ยนจิน เจ้าจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่กัน”

ตามเสียงที่ดังขึ้นมานี้ ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีดำ และทั่วร่างเต็มไปด้วยไอเย็นก็ย่างเดินมาถึงหน้าประตูสำนักฝึกหลวง

ปัญหานี้นับเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ในจิงตูในตอนนี้ล้วนอยากรู้กันอย่างมาก แต่ไม่มีใครจะเหมาะสมที่จะถามคำถามนี้ออกมามากยิ่งกว่าชายผู้นี้ ทั้งยังดูมีความสามารถมากพอ เพราะว่าชายในชุดสีดำผู้นี้คือผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในประกาศเตี่ยนจิน อยู่ในอันดับที่ยี่สิบเจ็ด ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้น แซ่มู่ นามว่าเหล่าป่าน เรียกกันว่ามู่เหล่าป่าน (เถ้าแก่สุสาน) ที่จริงแล้วเขาก็เป็นเถ้าแก่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสุสานเหมือนกับชื่อจริงๆ

ตั้งแต่เด็กมู่เหล่าป่านอาศัยอยู่ที่ภูเขาลึกในแดนใต้ วิธีการบำเพ็ญเพียรก็ค่อนข้างไปทางโหดเหี้ยม วิธีการต่อสู้ก็แปลกประหลาดยากจะคาดเดา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ก็ยากที่จะเอาชนะเขาตามลำพัง เขาเป็นแขกของตระกูลเทียนไห่ เป็นเหมือนกับโจวจื้อเหิง และก็มีสถานะเป็นอาจารย์ของหอจงซื่อ ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง

ตามการมาของมู่เหล่าป่าน อุณหภูมิที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงพลันลดต่ำลงไปไม่น้อย มีไอเย็นลอยขึ้นมาหลายสายท่ามกลางฤดูร้อน

จิตใต้สำนึกสั่งให้ทุกคนถอยหลังออกไป เสียงตะโกนของเหล่าเด็กสาวก็กลายเป็นเสียงพูดคุยกันเองอย่างเป็นกังวล

คนที่เข้ามาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงในวันนี้ ล้วนส่งสาสน์ท้าประลองกันมาตั้งแต่เมื่อวาน ถังซานสือลิ่วจึงไม่แปลกใจกับการมาของคนผู้นี้ อีกทั้งยังทำการเตรียมพร้อมมาล่วงหน้าอย่างเต็มที่แล้ว เขารู้ว่าตนไม่ใช่คู่มือของมู่เหล่าป่าน เพราะว่าเขาไม่ใช่พวกตัวประหลาดอย่างเฉินฉางเซิงที่จะข้ามขั้นไปเอาชนะขั้นรวบรวมดวงดาวได้

ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะสู้กับคนผู้นี้ และล้วงเอาตั๋วเงินปึกหนาๆ ปึกหนึ่งออกมาจากตรงหน้าอก

“ปีหนึ่งตระกูลเทียนไห่ให้เจ้าสามพันตำลึงเงินกับหินผลึกหนึ่งถุง ในตอนนี้ข้าไม่มีหินผลึกมากนัก มีเพียงแค่ตั๋วเงินสามหมื่นตำลึง”

ก็เหมือนกับที่ผู้ดูแลของโรงพนันเทียนเซียงรายงานให้กับเขา เมื่อเห็นตั๋วเงินปึกหนาในมือของเขา สีหน้าของมู่เหล่าป่านก็เปลี่ยนไปในทันที สายตาพลันส่องประกายขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ แม้แต่ไอเย็นที่อยู่บนตัวก็ลดลงไปมาก…สมแล้วที่เป็นคนที่ละโมบอย่างมาก ถังซานสือลิ่วมองใบหน้าของมู่เหล่าป่านที่กำลังสับสน ก็แย้มยิ้มและคิดขึ้นมา

เขานึกย้อนไปถึงการสอบใหญ่ ที่เขาใช้เพียงไก่ย่างหนึ่งตัวก็สามารถจัดการเจ๋อซิ่วได้แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนมีกระดูกที่ยอดเยี่ยม มีสายเลือดที่ไม่ธรรมดา ช่างเป็นอัจฉริยะในการค้าอย่างแท้จริง

มองดูภาพเหตุการณ์นี้ ชาวเมืองจิงตูในตรอกและถนนล้วนตาโตอ้าปากค้าง ในใจคิดหรือว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ

ที่ทำให้ถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะเสียดายอยู่บ้าง แต่กลับทำให้ชาวเมืองจิงตูที่มาดูเรื่องสนุกล้วนพากันดีใจก็คือ ในท้ายที่สุดมู่เหล่าป่านก็ยังต่อต้านความดึงดูดของเงินทองเอาไว้ได้

“ข้านั้นชอบเงินทองอย่างมากจริงๆ แต่บนโลกใบนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่สำคัญยิ่งกว่าเงินทอง” มู่เหล่าป่านมองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้นอย่างเสียดาย “เจ้าเข้าใจสินะ”

ถังซานสือลิ่วเข้าใจ สำหรับคนชั่วร้ายอย่างมู่เหล่าป่านนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าเงินทองแน่นอนว่าไม่ใช่คุณธรรมหรือคำมั่นสัญญาอะไรเหล่านั้น เป็นไปได้เพียงแค่ว่าตระกูลเทียนไห่กุมความลับของเขาเอาไว้ หรือ ให้เงินที่มากยิ่งกว่ากับเขา

มู่เหล่าป่านรับทวนสั้นสีดำมาจากลูกศิษย์ และเดินมาที่ขอบทะเลดอกไม้

ทวนด้ามนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้สั้นอย่างมาก คิดว่าในเพลงทวนจะต้องอำมหิตอย่างมาก แต่ที่อำมหิตที่สุดก็คือพวกพิษอันแสนน่ากลัวที่อาบอยู่บนปลายทวนเหล่านั้น

“เช่นนี้ก็ได้หรือ” ถังซานสือลิ่วมองไปที่โรงน้ำชาที่ฝั่งตรงข้ามของตรอกแล้วตะโกนขึ้น

นักบวชของพระราชวังหลีรับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของสำนักฝึกหลวง แต่คนที่มีคุณสมบัติดูแลการประลองระหว่างสำนักอย่างแท้จริง…อยู่ภายในโรงน้ำชาแห่งนั้น

ทั่วทั้งจิงตูไม่เพียงคนจำนวนน้อยมากที่รู้ ในหลายวันมานี้ มุขนายกตำหนักอิงหัวเหมาชิวอวี่กับมุขนายกตำหนักขบวนรถอริพ่ายนักพรตซือหยวน ในบางครั้งก็จะนั่งดื่มชาอยู่ภายในโรงน้ำชาแห่งนั้น

ภายในโรงน้ำชาไม่มีเสียง เห็นได้ชัดว่านักพรตซือหยวนกับเหมาชิวอวี่ไม่คิดว่าทวนสั้นที่อาบพิษด้ามนั้นผิดกฎ

มู่เหล่าป่านมองมาที่ถังซานสือลิ่วแล้วยิ้มขึ้นมา ภายในริมฝีปากสีแดงสดทั้งสอง ฟันสีขาวที่เรียงตัวกันก็เหมือนกับกระดูกของสัตว์ที่อยู่ในส่วนลึกของหิมะน้ำแข็ง เสียงเองก็เยือกเย็นกดดันเช่นกัน “เชิญ”

“เชิญบ้าอะไร” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น

สีหน้าของมู่เหล่าป่านไม่เปลี่ยนไป ไอเย็นที่อยู่ในแววตาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น พลางเอ่ยพูด “หรือว่า…สำนักฝึกหลวงจะอยากยอมแพ้”

“ปัญญาอ่อน สำนักฝึกหลวงก็ไม่ได้มีข้าเพียงคนเดียว”

ถังซานสือลิ่วเก็บกระบี่เข้าฝักอย่างไม่ลังเล และหันกลับไปทางประตูสำนัก พลางตะโกนขึ้น “รีบออกมา ในเมื่อเจ้าหมอนี่ไม่ยอมรับเงิน ข้าเองก็ไม่มีวิธีแล้ว”

ประตูสำนักฝึกหลวงถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เฉินฉางเซิงเดินออกมาจากด้านใน ตอนที่เดินผ่านถังซานสือลิ่ว ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่าสักประโยคหนึ่ง

“ในตอนแรกเจ้าพูดว่าสามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้ ก็จัดการแก้ปัญหาเช่นนี้หรือ”

“ข้าทำผิดตรงไหนกัน ก็น้ำท่วมนี่…กองทัพมาให้ใช้ทหารต้าน น้ำท่วมมาให้เอาดินถม ตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงยังถมเจ้าคนโลภนี้ไม่ได้ ข้าก็สู้เขาไม่ได้อีก แน่นอนว่าต้องให้เจ้าจัดการแล้ว”

เฉินฉางเซิงหยุดเท้าลง และพูดขึ้นอย่างจนใจ “ไม่เอาได้ไหม”

ถังซานสือลิ่วกางมือออกอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดขึ้น “อย่าลืมเรื่องที่พวกเราเคยคุยกันเอาไว้แล้ว”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

หลายวันมานี้ดูเหมือนถังซานสือลิ่วจะสู้อยู่เพียงคนเดียว ที่จริงแล้ว ในทุกๆ คืนพวกเขาล้วนปรึกษากันเรื่องคู่ต่อสู้ของวันรุ่งขึ้นอยู่ภายในหอตำรา แม้แต่เจ๋อซิ่วที่บาดเจ็บสาหัส บางครั้งก็ยังให้คำแนะนำที่มีประโยชน์อย่างมากมา บวกกับรายงานจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยกับทางสำนักการศึกษากลางที่ส่งมาอย่างไม่ขาดสาย ดังนั้นถึงได้มีการชนะติดต่อกันถึงสิบสองครั้งที่สะเทือนจิงตูนี้

แต่จะต้องเจอศัตรูที่ถังซานสือลิ่วกับเขาไม่อาจจะจัดการได้เข้าสักวัน เมื่อถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร

พวกเขาจึงกำหนดกฎขึ้นมาข้อหนึ่ง ไม่ว่าแพ้หรือชนะ พวกเขาล้วนไม่สามารถได้รับบาดเจ็บหนักจนถึงขั้นไม่อาจรักษา ยกตัวอย่างเช่นห้วงแห่งจิตกับแดนลี้ลับ ยกตัวอย่างเช่นไม่อาจถูกตัดแขน

ส่วนสถานการณ์อื่นก็ไม่ต้องเป็นกังวลเกินไปนัก ทางพระราชวังหลีนั้นส่งมุขนายกชุดแดงสองคนที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างมากมาประจำอยู่ที่สำนักฝึกหลวง จะได้รับบาดเจ็บอย่างไรก็ไม่เป็นไร

มองดูเฉินฉางเซิงมาปรากฏตัวที่ด้านบนของบันไดหินในตอนนี้ ฝูงชนที่เมื่อครู่เงียบเสียงไป ก็ระเบิดเสียงดังขึ้นมายิ่งกว่าก่อนหน้า

ถังซานสือลิ่วที่กำลังจะเดินเข้าไปพักในสำนักฝึกหลวงได้ยินเสียงจากด้านหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอย่างไม่พอใจ

หลายวันมานี้ที่สำนักฝึกหลวงชนะถึงสิบสองครั้งติดต่อกัน ทำให้ถังซานสือลิ่วเปล่งรัศมีออกมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน ขนาดที่ว่าชาวเมืองจิงตูเกือบจะลืมเลือนการมีอยู่ของเฉินฉางเซิงไปแล้ว จนกระทั่งในตอนนี้ที่เขามาปรากฏตัวอีกครั้ง ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเขาถึงจะเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง เขาถึงจะเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้สำนักฝึกหลวงกลับมารุ่งเรือง บางทีอาจพูดได้ว่าเป็นหัวใจหลัก อีกทั้งทุกคนล้วนรู้กัน เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักฝึกหลวง และเคยข้ามขั้นเอาชนะโจวจื้อเหิงที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว…

สีหน้าของมู่เหล่าป่านเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา เขาจ้องไปที่เขาซึ่งอยู่บนบันไดหินแล้วพูดขึ้น “ข้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติหรือควรจะรู้สึกเสียใจแทนท่านเจ้าสำนักดี”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบเขา แต่ยกกระบี่ขึ้นมาที่ด้านหน้า และพูดขึ้น “เชิญ”

สีหน้าของมู่เหล่าป่านเคร่งเครียดขึ้นมา และค่อยๆ ยกทวนสั้นสีดำในมือที่ยาวประมาณสองฉื่อขึ้นมา