พรึ่บ! ที่ด้านหน้าทวนเหล็กสีดำมีกระแสอากาศมารวมกัน นั่นเป็นสภาพที่เกิดจากการสั่นปลายทวนด้วยความเร็วสูง
เสียงหัวเราะพลันดังขึ้น ปลายทวนที่แหลมคมแทงผ่านกระแสอากาศ นำพามาซึ่งความเร็วและอานุภาพที่ยากจะจินตนาการ แทงตรงไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่บนบันไดหิน
สมแล้วที่ถูกเรียกว่าเหี้ยมโหด เพลงทวนของมู่เหล่าป่านนี้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ และแปลกประหลาดจนถึงขีดสุด
แปลกประหลาดไม่ได้หมายความว่าขาดพลัง เห็นเพียงแค่กลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นถูกอากาศม้วนขึ้นมา ติดตามทวนเหล็กที่แทงไปทางบันไดหิน หน้าประตูสำนักฝึกหลวงล้วนเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สีขาวหรือชมพู บดบังทัศนวิสัยของเฉินฉางเซิง และก็บดบังสายตาของคนมากมาย
ผู้คนรู้เพียงว่าทวนสั้นด้ามนั้นอยู่ที่ด้านหลังทะเลดอกไม้
กลีบดอกไม้ที่ร่ายรำ กำลังเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นสัญญาณจากการถูกพิษที่ปลายทวน
พริบตา การประลองครั้งนี้ก็กลายเป็นอันตรายอย่างหาใดเปรียบ หัวใจของทุกคนล้วนขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ
ดอกไม้โบยบินเต็มฟ้า ทวนเหล็กแหวกอากาศออกมา แปลกประหลาดราวกับเป็นอสรพิษที่โผล่ออกมาจากทะเลดอกไม้
แต่ ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของทวนสั้นด้ามนี้จะแปลกประหลาดขนาดไหน ก็ไม่อาจทะลวงผ่านกระบี่ของเฉินฉางเซิงไปได้
เพราะว่านั่นเป็นเพลงกระบี่ที่แม้แต่ซูหลีก็ยังฝึกไม่สำเร็จอย่างเพลงกระบี่โง่งม
มีเพียงผู้งมงายในกระบี่ถึงจะสามารถฝึกเพลงกระบี่ป้องกันอันดับหนึ่งของแผ่นดินได้
เสียงปะทะพลันดังขึ้น!
ที่จริงแล้ว ปลายทวนที่แหลมคมและอาบไปด้วยยาพิษอันแสนน่ากลัวนั้นปะทะเข้ากับกระบี่ของเฉินฉางเซิงไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ในคราแรกที่อยู่ในเมืองสวินหยาง ทวนเหล็กของฮว่าเจี่ยเซียวจางยังไม่อาจทะลวงผ่านกระบี่นี้ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงแค่ทวนด้ามหนึ่ง
แต่ที่ปลายของทวนสั้นด้ามนี้มีพิษที่แสนน่ากลัวอาบอยู่ พิษเหล่านั้นจะสามารถเข้าสู่ร่างกายของเฉินฉางเซิงผ่านกระบี่ของเขาได้หรือไม่
มู่เหล่าป่านก็คิดเช่นนี้ ในอดีตที่ผ่านมา ที่เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเป็นจำนวนมาก ก็เป็นเพราะตามเวลาในการต่อสู้ที่ยืดยาวออกไป พิษเย็นที่อยู่ในทวนของเขาก็จะกระจายออกไปตามลม ทำลายอาวุธของคู่ต่อสู้อย่างไร้สุ้มเสียง หลังจากนั้นก็จะอาศัยอาวุธกับอากาศในการแพร่เข้าไปในชีพจรและอวัยวะของอีกฝ่าย สุดท้ายก็ทำให้คนเหล่านั้นไร้กำลังที่จะสู้ต่อ
วันนี้ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีทางเกิดขึ้น
ในกระบี่ที่ดูเหมือนจะปกติมีเพียงแค่ดูส่องประกายอยู่บ้างเล่มนั้นของเฉินฉางเซิงได้ซุกซ่อนพลังกับความน่าเกรงขามของมังกรเอาไว้อย่างยากจะจินตนาการ จะไปถูกพิษของมนุษย์ทำลายได้อย่างไร
กระบี่ชื่อไร้ราคี แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลของมัน
กระบี่ไม่มีปัญหา คนใช้เองก็ไม่มีทางมีปัญหา เพราะว่าคนก็ไร้ราคีเช่นกัน
เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ เมื่อวานหลังจากที่ได้รับรายงานจากสำนักการศึกษากลาง ก็เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว ต่อให้เขาไม่ได้กินยาถอนพิษไว้ก่อน พิษเย็นที่อยู่บนทวนเหล็กก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้แม้แต่น้อย เพราะว่าในร่างกายของเขาเคยมีวิญญาณของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งอาศัยอยู่มาก่อน เขาเคยอาบเลือดของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งตัวนั้น ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาได้ก้าวข้ามการชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว ในบางความหมายแล้ว ร่างกายของเขาในตอนนี้แทนที่จะพูดว่าเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง ไม่สู้พูดว่าเหมือนกับมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่งมากกว่า…
นอกจากระดับพิษขนนกยูงของหนานเค่อแล้ว พิษที่มาจากภูเขาลึกในแดนใต้เช่นนี้ จะไปทำอะไรเขาได้
ฝนกลีบดอกไม้ร่วงหล่น ทวนกับกระบี่แยกจาก เผยให้เห็นดวงตาที่ตกตะลึงและไม่เข้าใจของมู่เหล่าป่าน
เฉินฉางเซิงใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา จนกลายเป็นเงาที่เหลือทิ้งไว้เลือนราง มาถึงที่ตรงหน้าของเขา
มู่เหล่าป่านระเบิดเสียงขึ้นมา พลางถอยหลังไป ในเวลาเดียวกันทวนสั้นสีดำก็ทำลายกลีบดอกไม้ไปนับไม่ถ้วน ม่านกำบังสีชมพูขาวดำทั้งสามสีก็ปรากฏขึ้นมาที่ตรงหน้าเขา
นี้ก็คือเขตแดนแห่งดวงดาวของเขา
หลังจากการต่อสู้กับโจวจื้อเหิงนั่น ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้ว่าเฉินฉางเซิงมีความสามารถในการข้ามขั้นเอาชนะขั้นรวบรวมดวงดาวได้ มู่เหล่าป่านเองก็ไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าได้รับเอาการต่อสู้ของโจวจื้อเหิงนั้นมาเป็นบทเรียน การถอยก็ทำได้อย่างแน่วแน่และเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ที่สำคัญก็คือ เขตแดนแห่งดวงดาวของเขาก็ใช้ออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เฉินฉางเซิงจะลงมือ ก็คลุมทั่วร่างของตนเอาไว้แล้ว
เขาเหมือนกับคนมากมาย ที่ยังคงเชื่อว่ากฎเหล็กของโลกการบำเพ็ญเพียรก็ยังเป็นกฎเหล็ก ในวันนั้นที่เฉินฉางเซิงสามารถใช้กระบี่เดียวทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของโจวจื้อเหิงได้ นั่นเป็นเพราะจิตใจของโจวจื้อเหิงสับสน หรือไม่ก็กระบี่ของเฉินฉางเซิงแหลมคมเกินไป โชคดีเกินไป เขาเชื่อมั่นว่าเขตแดนแห่งดวงดาวของตนแข็งแกร่งยิ่งกว่าของโจวจื้อเหิง ที่สำคัญก็คือ เขาคิดว่าในสถานการณ์ที่มีการเตรียมตัวมาก่อน จิตใจของตนไม่มีทางสับสน ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าในวันนี้เฉินฉางเซิงจะยังสามารถทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของตนได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น แต่เขากับคนที่ยังไม่ยอมปล่อยวางสิ่งที่เรียกว่ากฎเหล็กเหล่านั้น ไหนเลยจะเข้าใจความคิดอันลึกล้ำของอัจฉริยะอย่างซูหลีได้ ไหนเลยจะรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าเพลงกระบี่รอบรู้คืออะไร
เพลงกระบี่รอบรู้ ที่จริงไม่ใช่เพลงกระบี่ชนิดหนึ่ง แต่เป็นรูปแบบการต่อสู้อย่างหนึ่ง
ในตอนที่กลีบดอกไม้บนพื้นหน้าประตูสำนักฝึกหลวงลอยเต็มฟ้าราวกับถูกระเบิดใส่ก็ไม่ปาน ในตอนที่ทวนเหล็กแสนอันตรายนั้นแทงผ่านฝนดอกไม้ออกมา ในตอนที่เฉินฉางเซิงยกกระบี่ขึ้นมาตรงหน้า…
เขาก็ใช้เพลงกระบี่รอบรู้ของตนออกมาแล้ว
เพลงกระบี่นี้เริ่มขึ้นตั้งแต่การอนุมานในช่วงคืนวาน มาถึงตอนนี้ที่อยู่ท่ามกลางฝนดอกไม้
หน้าประตูสำนักฝึกหลวงมีแสงสว่างขึ้นมาสายหนึ่ง ราวกับสายฟ้าฟาด
กระบี่ไร้ราคีเหมือนกับจะแทงท้องฟ้าที่อยู่ด้านบนฝนดอกไม้ สุดท้ายกลับแทงผ่านกลีบดอกไม้ที่อ่อนนุ่มกลีบหนึ่ง
แต่ด้านหลังของกลีบดอกไม้ที่อ่อนนุ่มซึ่งมีขนาดเพียงเล็บนิ้วมือกลีบนั้น ก็คือดวงตาของมู่เหล่าป่าน
เขตแดนแห่งดวงดาวของเขาก็ถูกเฉินฉางเซิงหาช่องโหว่พบได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เพลงกระบี่ที่เฉินฉางเซิงใช้ก็คือเพลงกระบี่ของสำนักฝึกหลวงที่แสนธรรมดา แต่ในนาทีนี้กลับเป็นกระบวนท่าที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก
กระบี่สั้นทำลายกลีบดอกไม้ออกมา แทงไปทางดวงตาของมู่เหล่าป่าน
ในดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงออกมา แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็น ในส่วนลึกที่สุดดูเหมือนว่าจะยังมีความรู้สึกอื่นอยู่อีก
เขาคำรามขึ้นมา
เสียงทิ่มแทงพลันดังขึ้น กระบี่มังกรครวญได้แทงเข้าไปที่หน้าอกของเขา
แต่ไม่เหมือนกับการต่อสู้กับโจวจื้อเหิงในวันนั้น กระบี่มังกรครวญที่แหลมคมเป็นเอก กลับไม่สามารถแทงผ่านร่างของเขาไปได้ เพราะถูกบางสิ่งสกัดเอาไว้แล้ว!
เมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่ถ่ายทอดมาจากกระบี่ ม่านตาของเฉินฉางเซิงจึงหดเล็กลง
ภายในชุดของมู่เหล่าป่านมีเกราะอ่อนซ่อนอยู่
ปัญหาคือ บนโลกมีเกราะอ่อนอะไรที่สามารถสกัดกั้นกระบี่ของตนได้
ความรู้ของเขายังน้อยเกินไป ถ้าหากเป็นถังซานสือลิ่ว ในตอนนี้จะต้องเดาออกแล้วเป็นแน่ เกราะอ่อนชุดนั้นที่อยู่ใต้เสื้อของมู่เหล่าป่านน่าจะเป็นหนึ่งในสมบัติประจำตระกูลเทียนไห่ เกราะวิเศษลิ่วอวี้!
เกราะวิเศษลิ่วอวี้เป็นศาสตราวิเศษอันดับที่เจ็ดสิบเก้าในอันดับร้อยศาสตรา พูดกันว่าเป็นสมบัติประจำตระกูลหวังแห่งเทียนเหลียงในตอนนั้น ภายหลังถูกจักรพรรดิไท่จงเก็บไว้ภายในพระราชวัง ภายหลังอีก จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นห่วงว่าเทียนไห่เหนียงเหนียงจะถูกศัตรูลอบทำร้ายในสวนร้อยหญ้า ดังนั้นจึงมอบให้นางไว้ป้องกันตัว ในตอนที่เหนียงเหนียงบำเพ็ญเพียรไปจนถึงขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องป้องกันใดๆ อีก ก็ส่งมอบต่อให้กับบิดาของนางที่ในตอนนั้นยังไม่ได้กลับคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เกราะวิเศษลิ่วอวี้ตัวนี้ก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่จวนตระกูลเทียนไห่มาโดยตลอด ในตอนนี้ก็น่าจะถูกมู่เหล่าป่านสวมเอาไว้บนร่าง
ไม่พูดไม่ได้ ในครั้งนี้ตระกูลเทียนไห่ทุ่มเงินเป็นจำนวนมากจริงๆ มิน่าก่อนหน้านี้ที่ถังซานสือลิ่วล้วงเอาตั๋วเงินมาปึกหนาขนาดนั้น ก็ไม่อาจจะทำให้คนละโมบอย่างมู่เหล่าป่านหวั่นไหวได้
สมแล้วที่เป็นอาวุธวิเศษที่อยู่ในอันดับร้อยศาสตรา กระบี่มังกรครวญถึงไม่สามารถแทงทะลุได้ภายในครั้งเดียว เพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงจึงถูกขัดไว้กลางคัน
ความหวาดกลัวในดวงตาของมู่เหล่าป่านพลันเปลี่ยนเป็นจิตสังหารอันบ้าคลั่งในชั่วพริบตาเดียว
เสียงคำรามดังขึ้น ทวนสั้นของเขาแทงตรงไปที่คอหอยของเฉินฉางเซิง
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ เขาระเบิดพลังทวนออกมา ในเวลาอันสั้นเขาก็สร้างเขตแดนแห่งดวงดาวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และขังเฉินฉางเซิงเอาไว้ภายในนั้น
ตามเหตุตามผลแล้ว กระบวนท่าที่สำคัญที่สุดของผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวก็คือเขตแดนแห่งดวงดาว เป็นเขตแดนแห่งดวงดาวที่ไม่มีทางปล่อยให้ศัตรูเข้ามา แต่สถานการณ์ในตอนนี้พิเศษเป็นอย่างมาก ใช่ เขาไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่ากฎเหล็กของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่ของเฉินฉางเซิงก็ไร้ผลไป เช่นนั้นเขาจึงใช้เขตแดนแห่งดวงดาวขังเฉินฉางเซิงเอาไว้เลย หลังจากนั้นก็เผชิญหน้ากับเขาโดยตรง!
คนที่มาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงในช่วงหลายวันมานี้ ได้วิเคราะห์เฉินฉางเซิงเอาไว้อย่างลึกล้ำ โดยเฉพาะในการต่อสู้ครั้งแรกของเขากับโจวจื้อเหิง ทุกคนล้วนมองออก เพลงกระบี่อันยอดเยี่ยมอย่างหาใดเปรียบที่เขาพูดว่าเป็นของซูหลี เพลงกระบี่ซับซ้อนมากมายจนถึงขั้นกว้างใหญ่ราวกับท้องทะเล ถึงแม้ย่างก้าวหยั่งเทวาของเขาจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็พอที่จะช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วราวสายฟ้า แต่เฉินฉางเซิงก็มีจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดอยู่
อายุของเขายังไม่ถึงสิบหกปีดี เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เขายืนยันดาวโชคชะตาของตัวเอง และเริ่มต้นบำเพ็ญเพียรมาแค่หนึ่งปี ต่อให้เขาเป็นโจวตู๋ฟูกลับชาติมาเกิด ปริมาณปราณแท้ที่อยู่ภายในร่างก็ไม่มีทางเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งที่บำเพ็ญเพียรมานับสิบนับร้อยปีเหล่านั้น
นี่ผู้คนยังไม่รู้ว่าชีพจรของเขาก็มีปัญหาเช่นกัน จำนวนปราณแท้ที่สามารถใช้ออกมาได้ก็ย่ำแย่อย่างหาใดเปรียบ
สรุปคือ จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเฉินฉางเซิงก็คือปริมาณของปราณแท้
แต่มู่เหล่าป่านไม่รู้เรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็จำเรื่องพวกนี้ไม่ได้
ในเมืองสวินหยาง เหลียงหวังซุนเคยใช้วิธีเดียวกันนี้จัดการกับเฉินฉางเซิง ถ้าหากว่าปราณแท้ของเฉินฉางเซิงอ่อนแอเช่นนี้จริงๆ ในการสอบใหญ่ในตอนแรก เขาจะฝืนรับมือกันการโจมตีที่ราวกับฝนกระหน่ำของโก่วหานสือได้อย่างไร จะไปทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของเหลียงหวังซุนที่เมืองสวินหยางได้อย่างไร ถ้าหากเขตแดนแห่งดวงดาวของเหลียงหวังซุนก็ยังไม่สามารถกักขังเขาได้ ขั้นรวบรวมดวงดาวลงไปยังจะมีใครสามารถกักขังเขาเอาไว้ได้อีก
ที่ใต้ศาลามีคนมากมายคิดว่าเฉินฉางเซิงน่าจะแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ และพากันลุกขึ้นด้วยความตกตะลึง
ในโรงน้ำชา และยังมีคนในรถม้าที่อยู่ตรงหัวถนนเหล่านั้นล้วนไม่คิดเช่นนี้ พวกเขารู้และไม่ได้ลืมว่าเฉินฉางเซิงเคยทำอะไรไว้ที่เมืองสวินหยางบ้าง พวกเขาชัดเจนอย่างมาก เฉินฉางเซิงมีความสามารถที่จะหลุดออกจากการกักขัง การต่อสู้ครั้งนี้ยังห่างไกลและยังไม่ถึงนาทีสุดท้าย แพ้ชนะก็ยังคงยากที่จะตัดสิน
และเรื่องที่เกิดขึ้นในนาทีถัดมา ก็เป็นเรื่องที่แม้แต่พวกเขาก็ยังคิดไม่ถึง
เฉินฉางเซิงไม่ได้เลือกที่จะใช้เพลงกระบี่รอบรู้ทำลายเขตแดนแห่งดวงดาวของมู่เหล่าป่านอีก ไม่ได้เลือกที่จะถอยหลบ แล้วค่อยวางแผนกันใหม่
กระบี่ไร้ราคีของเขายังคงแทงไปที่หน้าอกของมู่เหล่าป่าน หลังจากนั้นก็มุ่งไปที่ด้านหน้าต่อ
ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดที่จะหลุดจากการกักขังไปเลยแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจว่าภายใต้ชุดของมู่เหล่าป่านมีเกราะวิเศษลิ่วอวี้ที่อยู่ในอันดับร้อยศาสตราอยู่ เขาคิดเพียงแค่เรื่องชัยชนะ
เสียงคำรามที่ชัดเจนพลันดังขึ้น!
ไอพลังปราณที่ร้อนระอุสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ไอเย็นที่มาจากมู่เหล่าป่าน ราวกับเกล็ดน้ำแข็งที่ถูกแสงอาทิตย์ก็ไม่ปาน พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
กลีบดอกไม้ที่ล่องลอยอยู่เต็มฟ้า ถึงกับลุกไหม้ขึ้นมาจริงๆ และกลายเป็นแสงสว่างที่แสบตาแถบหนึ่ง
ใบหน้าของมู่เหล่าป่านถูกส่องจนซีดขาว ตัวเขาที่อยู่ในเหตุการณ์สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนที่สุด ไอพลังปราณที่ลุกไหม้อย่างรุนแรงสายนั้น…ปราณแท้ของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นมหาศาลอย่างหาใดเปรียบ!
ปราณแท้ไม่พอ…ที่แท้ก็ไม่ใช่เรื่องจริง!
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป และหวาดกลัวอย่างมากจริงๆ ท่ามกลางเสียงระเบิด ไหนเลยจะยังคำนึกถึงการแทงทวนออกไป เขานั้นถอยหลบไปทางด้านหลังอย่างสุดชีวิต
แต่ไหนเลยที่เฉินฉางเซิงจะให้โอกาสเช่นนี้กับเขา กระบี่ไร้ราคีที่อยู่ในมือแทงตรงเข้าไปที่หน้าอกของเขา! และทะลุออกไป!
เจตจำนงกระบี่ที่รุนแรง ทำลายเจตนารมณ์ในการต่อสู้ทั้งหมดของมู่เหล่าป่าน พลังที่น่าหวาดกลัวสายนั้น ทะลักออกมาจากกระบี่สั้นอันแหลมคมของเขาเล่มนั้น
ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง มีเสียงดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าผ่าขึ้นมา
มู่เหล่าป่านกลายเป็นเงาสีดำสายหนึ่ง กระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง
ที่หน้าศาลาบนถนนมีม่านพลังของค่ายกล
เขากระแทกเข้าไปที่ด้านบนนั้นอย่างแรง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ไถลลงมาสู่พื้นดิน และก็ไม่อาจจะขยับตัวได้อีก
ที่กลางอากาศหน้าศาลาเหมือนจะมีแสงสว่างสีเขียวปรากฏขึ้นรางๆ ดูเหมือนว่าจะยังได้ยินเสียงแตกที่เบามากๆ ดังขึ้น บนหลังคาของศาลามีเศษฝุ่นตกลงมา กระจายไปเต็มหน้าและเต็มศีรษะผู้คนมากมาย
มู่เหล่าป่านนั่งอยู่บนพื้น และกระอักเลือดไม่หยุด แววตาทั้งหวาดกลัวทั้งตกตะลึงจนถึงขีดสุด
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดปราณแท้ของเฉินฉางเซิงถึงได้เปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งทรงพลังถึงเพียงนี้ในเวลาอันสั้น
ผู้คนที่อยู่ใต้ศาลาก็ตกตะลึงจนถึงขีดสุดเช่นกัน ถึงกับไม่ได้สนใจกับเศษฝุ่นที่ตกลงบนร่าง มองไปยังเฉินฉางเซิงอย่างตาโตอ้าปากค้าง
กระบี่นี้ของเขา เกือบจะทำลายม่านพลังของค่ายกลบนถนนไปแล้ว!