ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 38 ฤดูร้อนในปีนี้ ก็ต้องดูสำนักฝึกหลวง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ระยะเวลาของการต่อสู้ในครั้งนี้สั้นอย่างมาก เทียบกับวันแรกที่เฉินฉางเซิงสู้กับโจวจื้อเหิงก็ยังใช้เวลาสั้นยิ่งกว่า ทั้งหมดเกินขึ้นรวดเร็วเกินไป ชาวบ้านธรรมดาล้วนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงเคยหยุดอยู่ที่หน้าอกของมู่เหล่าป่านเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที พวกเขายิ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าภายใต้ชุดของมู่เหล่าป่านมีเกราะวิเศษชุดหนึ่งที่อยู่ในอันดับร้อยศาสตรา พวกเขาเห็นเพียงเฉินฉางเซิงแทงกระบี่ออกมา แทงเข้าไปในหน้าอกของคู่ต่อสู้ และทำให้คู่ต่อสู้กระเด็นออกไปถึงบนถนน ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความดูถูกมู่เหล่าป่านขึ้นมา ในใจคิดว่าในเมื่อความแข็งแกร่งเทียบไม่ได้กับเฉินฉางเซิง แต่เจ้ารู้ว่าในตอนนั้นเจ้าสำนักเฉินเอาชนะโจวจื้อเหิงมาได้อย่างไร หรือว่าจะไม่มีการเตรียมตัวมาให้พร้อมเลย และยังพ่ายแพ้ด้วยรูปแบบเดียวกัน เช่นนี้ก็ยิ่งไม่ไหวแล้ว

แน่นอน คนจำนวนมากล้วนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในกระบี่นี้ของเฉินฉางเซิง

กระบี่นั้นราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผาก็ไม่ปาน มันปล่อยแสงสว่างกับความร้อนอย่างไร้ขีดจำกัดออกมา ทำเอาทะเลดอกไม้กลายไปเป็นทะเลเพลิง นี่เป็นเพลงกระบี่อะไรกัน

มู่เหล่าป่านเจ็บปวด อ่อนแอ และมึนงงอย่างมาก ซึ่งเขาก็กำลังคิดปัญหาข้อนี้อยู่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเฉินฉางเซิงเพิ่งจะอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูง ทำไมจำนวนปราณแท้ถึงได้มากกว่าขั้นรวบรวมดวงดาวเสียอีก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำไมถึงแทงทะลุผ่านเกราะเทพลิ่วอวี้ได้! สรุปแล้วนี่เป็นกระบี่บ้าอะไร

เหล่าผู้ดูแลกับพวกบุคคลสำคัญที่อยู่ใต้ศาลาพวกนั้นเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

ภายในโรงน้ำชาพลันมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นมา หลังจากนั้นก็กลับคืนสู่ความสงบ

ภายในรถม้าสีดำคันนั้นที่อยู่ตรงท้ายถนน พู่กันด้ามหนึ่งกำลังขีดเขียนอย่างมั่นคงอยู่บนกระดาษ และทิ้งตัวอักษรเอาไว้

“ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็ใช้เพลงกระบี่ที่สามแล้ว”

“เพลงกระบี่ที่รุนแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสิ้นเปลืองปราณแท้เป็นอย่างมาก แต่แตกต่างกับบันทึกการต่อสู้ที่เมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงสามารถใช้มันได้มากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ดูท่าว่าหลังจากที่กลับจิงตูมาจะมีความก้าวหน้าที่เห็นได้อย่างชัดเจน”

“มู่มู่เซินสวมเกราะวิเศษลิ่วอวี้ แต่กลับไม่อาจสกัดกระบี่นั้นได้ นอกจากปราณแท้ของเฉินฉางเซิงที่ระเบิดออกมาแล้ว น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับตัวกระบี่สั้นที่ชื่อไร้ราคีเล่มนั้น”

ขุนนางของกรมอาญาทั้งสองจดบันทึกภาพการต่อสู้ทั้งหมดที่เห็นในวันนี้ลงไปอย่างซื่อตรง หลังจากนั้นถึงได้วางพู่กันลง นวดข้อมือที่เมื่อยล้า สบตากันอย่างไร้คำพูดซึ่งต่างมองเห็นถึงความตกตะลึงและความไม่เข้าใจของกันและกัน ต่อให้เพลงกระบี่ที่ซูหลีสอนให้กับเฉินฉางเซิงชุดนั้นสามารถใช้วิธีลับทำให้ปราณแท้ลุกไหม้ได้ ภายในเวลาอันสั้นสามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งกว่าในยามปกติออกมาได้หลายเท่า แต่นั่นเป็น…เกราะวิเศษลิ่วอวี้เชียวนะ ทำไมถึงได้ถูกทำลายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เล่า

“ได้ยินว่าหอความลับสวรรค์ส่งคนมาที่จิงตูก็เพื่อที่จะมาดูกระบี่ที่ชื่อไร้ราคีเล่มนี้”

“หรือว่าอันดับร้อยศาสตราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอันดับขึ้นจริงๆ”

“ครั้งก่อนก็เคยพูดไว้แล้ว กระบี่ไร้ราคีปรากฏ อันดับร้อยศาสตราจะต้องเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เมื่อผ่านเหตุการณ์ในวันนี้…เกรงว่าอันดับของกระบี่เล่มนี้จะเลื่อนขึ้นหน้าไปอีกหน่อย”

เกราะวิเศษลิ่วอวี้เดิมทีก็เป็นอาวุธวิเศษในอันดับร้อยศาสตรา กระบี่ไร้ราคีถึงกับสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องอยู่อันดับหน้ามันไปไกล

ภายในรถม้าเงียบเชียบเป็นอย่างมาก ขุนนางคนหนึ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงหยิบพู่กันขึ้นมาใหม่ และเริ่มเขียนลงบนกระดาษว่า ‘เฉินฉางเซิงยังคงไม่ได้ฆ่าคน’

ใช่ มู่เหล่าป่านยังไม่ตาย

กระบี่ไร้ราคีแทงทะลุหน้าอกเขาไป เหมือนกับในครั้งก่อน ยังคงเฉียดผ่านหัวใจของเขาไป

กระบี่ของเฉินฉางเซิง แหลมคมจนทำให้คนต้องขนลุก และก็แม่นยำจนทำให้คนต้องขนลุกเช่นกัน

เช่นนั้นมือที่จับกระบี่ของเขา จะต้องมั่นคงไปจนถึงระดับไหนกัน

……

……

เวลาผันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในที่ที่สุดก็มาถึงช่วงกลางฤดูร้อน หลายสิบวันมานี้ในสำนักฝึกหลวงได้เจอกับการท้าประลองนับสิบครั้ง จนถึงวันนี้ยังไม่เคยพ่ายแพ้เลย สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งจิงตู

ผู้ท้าประลองที่อยู่ต่ำกว่าขั้นรวบรวมดวงดาวล้วนสู้ถังซานสือลิ่วไม่ได้ ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่เขาเอาชนะได้อย่างฉิวเฉียด มีครั้งหนึ่งที่ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บค่อนข้างจะสาหัส

ผู้ท้าประลองที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้น ล้วนพ่ายแพ้ให้แก่เฉินฉางเซิง ในตอนนี้ทุกคนนั้นแน่ใจแล้ว ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะยังรวบรวมดวงดาวไม่สำเร็จ แต่ก็มีพลังอยู่ในระดับขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นแล้ว ขนาดที่เริ่มมีคนคิด ถ้าหากเขากับชิวซานจวินที่รวบรวมดวงดาวสำเร็จในปีนั้นต่อสู้กัน สุดท้ายแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ

จนถึงวันนี้ ยังไม่มีผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นขึ้นไปมาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง เพราะว่าผู้แข็งแกร่งที่ไปถึงระดับนั้น ส่วนมากล้วนกลายเป็นใหญ่ในฝั่งหนึ่ง ยากนักที่จะถูกตระกูลเทียนไห่ควบคุม ถึงจะมี ก็อยู่ในสถานะแขกคนสำคัญ ในเมื่อเป็นผู้แข็งแกร่ง ก็มักจะต้องคำนึงถึงท่าทีและความสง่างาม ถ้าหากลดฐานะของตนลงไปท้าประลองกับเฉินฉางเซิง ต่อให้ชนะก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าอย่างมาก

ที่สำคัญอย่างมาก ใครก็รู้ว่าถ้าหากเรื่องราวไปถึงจุดนั้น ใต้เท้าสังฆราชที่รักษาความสงบมาโดยตลอด จะมีสายฟ้าแห่งความพิโรธฟาดลงมาหรือไม่ แน่นอน ต่อให้มีผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นกลางปรากฏตัวขึ้นมา ถังซานสือลิ่วเองก็เตรียมการเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในฐานะผู้ดูแลเรื่องราวภายนอกของสำนักฝึกหลวง เขาเฝ้ารอคอยให้วันนั้นมาถึงตั้งนานแล้ว

หลายวันมานี้ ที่น่าดีใจอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ ก็คือเซวียนหยวนผ้อ

เจ๋อซิ่วยังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่หอตำราอย่างสงบ บาดแผลที่แขนขวาของเซวียนหยวนผ้อในที่สุดก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่เขาเริ่มฝึกอัสนีสวรรค์ภายใต้การชี้แนะของเฉินฉางเซิง ปราณแท้ที่บ้าคลั่งก็เริ่มไหลเวียนอย่างรวดเร็วภายในเส้นชีพจรที่กว้างใหญ่ราวกับถนนหลวงของเขา พละกำลังที่มีมาตั้งแต่เกิดในที่สุดก็สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่นั้นมาก็แสดงพลังทำลายที่ทำให้คนต้องหวาดกลัว และทำให้เหล่าต้นไม้ใหญ่ในสำนักฝึกหลวงต้องโกรธแค้นออกมา

ในสถานการณ์ที่มีความมั่นใจจริงๆ เฉินฉางเซิงก็ให้เซวียนหยวนผ้อเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงลงสู้สี่ครั้ง อ้างอิงจากระดับการบำเพ็ญเพียรของมนุษย์ เซวียนหยวนผ้อที่ไม่ถึงแม้แต่ขั้นทะลวงอเวจีถึงกับมิได้พ่ายแพ้เลยสักครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เจอกับยอดฝีมือในขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงนั้น เขาก็ถึงกับชนะไปแล้ว แน่นอน ในนาทีสุดท้ายเขาถูกบีบให้เปลี่ยนร่าง เขาถอนต้นหลิวที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงขึ้นมาต้นหนึ่ง พังกำแพงในตรอกไป่ฮวาอย่างบ้าคลั่งไปกว่าครึ่ง และถือโอกาสหวดมือกระบี่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงผู้นั้นจนหมดสติไป

พลังที่รุนแรงของเขา วิธีการต่อสู้ที่หยาบกระด้างของเขากระทั่งสายฟ้าที่ซ่อนอยู่ในใบและกิ่งของต้นหลิวในตอนนั้น นอกจากเฉินฉางเซิงแล้ว ก็ไม่มีคนมากนักที่สังเกตเห็น

ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ให้เซวียนหยวนผ้ออยู่ในอันดับท้ายๆ ของประกาศชิงอวิ๋นในตอนนั้น ได้ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกว่าน่าประหลาดใจ ในตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดเช่นนี้อีกแล้ว มองดูหลุมต้นไม้ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง กับกำแพงสำนักกว่าครึ่งที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งฉาบขึ้นมาใหม่ ผู้คนเพียงแค่คิดว่า ถ้าหากประกาศชิงอวิ๋นมีการเปลี่ยนอันดับขึ้นมา เด็กหนุ่มเผ่าหมีที่มักจะถือชามข้าวมานั่งกินอยู่บนบันไดหินหน้าประตูสำนักพลางยิ้มโง่ๆ ผู้นี้ จะสามารถเลื่อนขึ้นไปได้กี่อันดับกัน

ฤดูร้อนเป็นช่วงที่จิงตูอากาศร้อนที่สุด และก็มักจะเป็นตอนที่อากาศร้อนที่สุด ฤดูร้อนของจิงตูในปีนี้ร้อนกว่าปีก่อนๆ อยู่บ้าง และก็คึกคักกว่าอยู่บ้าง เพราะว่าที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงมีเรื่องสนุกให้ดูอยู่ทุกวัน…พวกคนมีชื่อที่ตามปกติยากที่จะได้เห็นตัวพวกนั้น ได้ผลัดเปลี่ยนกันปรากฏตัวขึ้นมา หลังจากนั้นยังสู้กันให้เจ้าดู อีกทั้งยังไม่เก็บเงิน ไม่ต้องใช้ตั๋ว เรื่องเช่นนี้ ชาวเมืองจิงตูที่ชอบดูเรื่องสนุกเป็นที่สุดไหนเลยจะยอมพลาด หลังจากที่อากาศเริ่มร้อน ถังซานสือลิ่วก็ย้ายเวลาสู้มาเป็นตอนเช้าตรู่ ดังนั้นทุกวันในตอนเช้าที่ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง ก็จะมีชาวเมืองจิงตูมากมายถือซาลาเปาหมั่นโถวเข้ามา กระทั่งมีคนจำนวนมากที่พาครอบครัวมาด้วย ราวกับว่ามาเที่ยวพักร้อนกันก็ไม่ปาน ที่เกินไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่มีญาติสนิทมิตรสหายจากนอกพื้นที่มาหา ชาวเมืองจิงตูก็ยังพาพวกเขามาที่ตรอกไป่ฮวาเพื่อชมเรื่องสนุก สำนักฝึกหลวงนั้น…กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่อันดับหกของจิงตูแล้ว

สำนักฝึกหลวงเอาชนะมานับสิบครั้งโดยไม่พ่ายแพ้ ผลกระทบที่มีต่อจิงตูก็ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการเดิมพันการประลองระหว่างสำนักนี้ สี่โรงพนันใหญ่ไม่ได้เปิดเดิมพันเรื่องแพ้ชนะแล้ว แต่เริ่มต้นหาเงินเอาจากด้านอื่น ทุกวันที่มีการเปิดเดิมพันกันโดยมากคือสำนักฝึกหลวงจะส่งใครออกมาสู้ ใช้เพลงกระบี่อะไร ตอนไหนที่เซวียนหยวนผ้อจะถอนต้นไม้ขึ้นมาอีก ในวันนี้หลังจากที่ถังซานสือลิ่วเอาชนะได้แล้วจะได้รับจดหมายรักจำนวนเท่าไหร่ จนกระทั่งเมื่อไหร่เฉินฉางเซิงถึงจะใช้เพลงกระบี่ที่รุนแรงนั้นอีกครั้ง

ช่วงหัวค่ำอันร้อนระอุในวันหนึ่ง พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนกำลังว่ายน้ำกันไปมาอยู่ในทะเลสาบ หลังจากนั้นก็นั่งเหม่อลอยกันบนต้นไทรย้อย

“นานมากแล้วที่ไม่ได้พบองค์หญิงลั่วลั่ว” ถังซานสือลิ่วมองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินซึ่งอยู่ไกลออกไปแล้วพูดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่

เฉินฉางเซิงเองก็มองพระอาทิตย์ตกดินนั่น ราวกับจะสามารถมองเห็นรูปร่างของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ที่อยู่ในพระราชวังหลี เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานสือลิ่ว เขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็ส่งเสียงตอบรับขึ้นมา

ถังซานสือลิ่วหันหน้ามามองเขา แล้วพูดขึ้น “พรุ่งนี้ไปหานางกันเถอะ”

เฉินฉางเซิงถอนสายตาที่มองไกลออกไปกลับมา ก้มหน้ามองแสงสีทองไม่กี่สายสุดท้ายที่อยู่บนผิวน้ำ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “นางอาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก”

ลั่วลั่วอยู่ที่พระราชวังหลี อยู่ภายในโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช การจะออกมาสักครั้งก็ไม่ค่อยสะดวก

แต่ที่จริงแล้ว ได้ยินมาว่าช่วงนี้ที่พระราชวังมีงานเลี้ยงหลายงาน นางก็ล้วนไปปรากฏตัวทุกครั้ง

ที่สำคัญที่สุดคือ ได้ยินมาว่าตั้งแต่เดือนก่อน ลั่วลั่วก็เริ่มสลับกันพักที่พระราชวังกับพระราชวังหลี

ไม่สะดวก แน่นอนเพราะมีเหตุผลอื่น

เฉินฉางเซิงเข้าใจ ดังนั้นจึงรักษาความสงบมาโดยตลอด กระทั่งว่าเดิมทีนี่ก็เป็นข้อเรียกร้องของเขาที่มีต่อนาง

เมื่อปีก่อน สำนักฝึกหลวงเพิ่งจะรับนักเรียนใหม่ ในสายตาของเหล่าบุคคลสำคัญ การที่ลั่วลั่วเข้าสำนักฝึกหลวง เป็นเพียงการเล่นกันของเด็ก ต่อให้ในการสอบใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เริ่มจะห่างเหินกัน สถานะของลั่วลั่วนั้นอ่อนไหว ถ้าหากนางยังอยู่ที่สำนักฝึกหลวงต่อ ไม่ได้เป็นการแทนถึงตัวนางเท่านั้น แต่เป็นการแทนถึงแม่น้ำแดงแปดร้อยลี้ และนักปราชญ์ทั้งสองคนนั้นที่อยู่เบื้องหลังนาง

“ข้าไม่สน ข้าคิดถึงนาง”

ถังซานสือลิ่วยืนขึ้นมา พิงลำต้นที่ใหญ่โตของต้นไทรย้อย มองดูพระราชวังหลีทางพระอาทิตย์ตกที่ไกลออกไปแล้วพูดขึ้นเสียงดัง

เฉินฉางเซิงมองเขาแวบหนึ่ง ด้วยความขอบคุณอย่างมาก

สถานะของเขาเองก็อ่อนไหวอย่างมาก มีคำพูดมากมายที่ไม่สะดวกจะพูด ถังซานสือลิ่วพูดว่าคิดถึงลั่วลั่วแล้ว ก็เป็นเพราะเขารู้ว่าเฉินฉางเซิงคิดถึงลั่วลั่วแล้ว แน่นอนว่าลั่วลั่วเองก็คิดถึงต้นไทรย้อยต้นใหญ่ที่ตรงนี้แล้ว

“ข้าเองก็คิดถึงองค์หญิงลั่วลั่วแล้ว” เซวียนหยวนผ้อที่อยู่ด้านข้างพลันพูดขึ้น

เขานั้นคิดถึงจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง

ถังซานสือลิ่วตบบ่าของเขา แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเรานัดกินข้าวกัน ถ้าหากนางสะดวกก็พานางกลับมาที่สำนักฝึกหลวง”

เซวียนหยวนผ้อที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ แต่กลับเกือบจะสูงเท่ากับเขาที่กำลังยืน ภาพนี้ดูแล้วก็ถึงกับดูกลมกลืนอยู่บ้าง

“เช่นนั้นการประลองทั้งสองรอบของพรุ่งนี้เช้าก็รีบสู้ให้จบ เซวียนหยวนผ้อไม่ต้องสู้แล้ว ข้ากับถังถังจะจัดการเอง” เฉินฉางเซิงนึกถึงปัญหาข้อหนึ่งอย่างกะทันหัน

ถังซานสือลิ่วเองก็นึกปัญหาที่สำคัญอย่างมากข้อหนึ่งได้ จึงย่อตัวลงมามองตาของเขาแล้วพูดขึ้น “พูดกับเจ้าสักเรื่องหนึ่ง”

เฉินฉางเซิงเห็นสีหน้าของเขาจริงจัง จึงถามขึ้นอย่างไม่ค่อยสงบ “เรื่องอะไร”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “พรุ่งนี้เป็นอาจารย์คนหนึ่งจากสำนักเทียนเต้าที่เจียงหนาน แน่นอนว่าระดับความแข็งแกร่งเทียบไม่ได้กับเจ้า แต่…เจ้าพอจะใช้กระบี่ให้มากขึ้นสักหลายกระบวนท่าได้หรือไม่”