“หมายความว่าอะไร”
“ในวันพรุ่งนี้นั้นให้เจ้ายื้อจนถึงกระบวนท่าที่สาม…ไม่ ถ้าหากสามารถยื้อได้ถึงกระบวนท่าที่สี่แล้วค่อยเอาชนะอีกฝ่าย เช่นนั้นจะเป็นการดีที่สุด”
ถังซานสือลิ่วกระซิบที่ข้างหูของเขา “มีคนเดิมพันจำนวนมากไว้กับโรงพนันเทียนจี๋ ซึ่งเดิมพันไว้ว่าถ้าหากพรุ่งนี้เจ้าออกมาสู้ ไม่มีทางใช้เกินสามกระบวนท่า”
เฉินฉางเซิงนิ่งอึ้ง แล้วถามขึ้น “โรงพนันเทียนจี๋ที่มีกลุ่มการค้าอยู่เบื้องหลังหอความลับสวรรค์นั่นน่ะหรือ”
ถังซานสือลิ่วพยักหน้า
เฉินฉางเซิงถามขึ้น “ทำเช่นนี้…หอความลับสวรรค์จะไม่โกรธหรือ”
ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับมองคนปัญญาอ่อน พลางพูดขึ้น “ปีนี้ตระกูลข้ารับโรงพนันเทียนเซียงเข้ามา ทางโรงพนันเทียนจี๋คิดจะแสดงความเป็นมิตร ถึงได้แอบส่งข่าวมาให้ทางนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะรู้ได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงถามขึ้นอย่างตกตะลึง “หรือว่าพวกเจ้าสี่โรงพนันใหญ่แอบร่วมมือกันเบื้องหลังมาโดยตลอด”
“ไร้สาระ ไม่เช่นนั้นจะหาเงินกันได้อย่างไร”
“นี่…ไม่ใช่ว่าหลอกคนเหล่านั้นหรอกหรือ”
“ไร้สาระ คนพวกนั้นเข้ามาลงเดิมพัน ก็ไม่เท่ากับรอให้ถูกพวกข้าหลอกอยู่แล้วหรือ”
เฉินฉางเซิงไร้คำพูดอย่างมาก ผ่านไปเป็นเวลานาน ถึงได้ถามขึ้นอย่างกระดากอาย “กี่กระบวนท่า”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “สี่กระบวนท่าก็ได้แล้ว”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู ยังคงถามขึ้นอย่างอายๆ “เช่นนั้น…ข้าได้กี่ส่วน”
ถังซานสือลิ่วมองเขา ราวกับได้ค้นพบคนใหม่ก็ไม่ปาน พลางพูดขึ้น “ใช้ได้เลยนี่ รู้จักคุยราคาก่อนแล้ว”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ตอนที่ออกมาจากคุกโจว เจ๋อซิ่วพูดว่าต้องการเงินเพิ่ม…ข้าคิดว่าเงินตรงนี้ควรจะให้ข้าเป็นคนจ่าย”
ถังซานสือลิ่วคิดแล้วจึงพูดขึ้น “มีเหตุผล สามารถแบ่งกำไรรวมให้เจ้าได้สี่ส่วน”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าไม่เลว จึงแสดงความเห็นด้วย
เซวียนหยวนผ้อที่อยู่ด้านข้างได้พูดขึ้น “ไม่เข้าใจจริงๆ เจ๋อซิ่วกับพวกเจ้าต้องการเงินจำนวนมากขนาดนั้นไปทำอะไร พวกเด็กซื่อๆ ในภูเขาอย่างพวกข้า มีเนื้อให้กิน มีชุดให้ใส่ ก็รู้สึกพอใจอย่างมากแล้ว”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดถากถางขึ้น “ดูเจ้าในตอนนี้ที่ไม่รู้จักยางอายเช่นนี้ ยังจะกล้าพูดว่าตนเป็นคนซื่ออีกหรือ”
เซวียนหยวนผ้อค่อนข้างจะไม่พอใจ จึงพูดขึ้น “ข้าเหมือนที่เจ้าพูดแบบนั้นตรงไหน บ้านเกิดของข้านั้นไม่มีคนที่มากเล่ห์อย่างเจ้า”
เฉินฉางเซิงไม่อยากได้ยินเซวียนหยวนผ้อยืนอยู่บนต้นไทรย้อยแล้วตะโกนว่าจิงตูไม่ใช่บ้านของข้าอะไรนั่น บ้านเกิดของข้าไม่มีคนมากขนาดนี้ จึงรีบพูดขึ้นเพื่อผดุงความยุติธรรม “เจ้าในตอนนี้เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนก่อนแล้วจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วที่ได้ยินได้หัวเราะเสียงดัง พลางพูดขึ้น “เจ้าดู แม้แต่เฉินฉางเซิงก็ยังพูดเช่นนี้”
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก
เฉินฉางเซิงตบไปที่เอวของเขา แล้วพูดปลอบใจขึ้นว่า “แต่เรื่องนี้ก็ไม่โทษเจ้า ใครอยู่กับถังถังซึ่งเป็นคนเช่นนี้มาเป็นเวลานานเข้า ก็ล้วนหลงตัวเอง จนถึงขั้นที่ไม่รู้จักยางอายอยู่บ้าง”
รอยยิ้มของถังซานสือลิ่วพลันหายไปอย่างรวดเร็ว และโกรธอย่างมาก กลายเป็นเซวียนหยวนผ้อที่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างดีใจ
ก็เป็นในตอนนี้เอง ที่กำแพงที่อยู่ตรงข้ามทะเลสาบ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ดูเร็ว…สามคนที่อยู่บนต้นไม้นั้นก็คือสามวีรบุรุษแห่งสำนักฝึกหลวง”
“สามวีรบุรุษอะไร…เจ้าสำนักเฉินกับคุณชายถังก็พอว่า เจ้าคนที่เหมือนกับหมีผู้นั้นจะนับไปด้วยได้อย่างไร”
“คนผู้นั้นก็คือเซวียนหยวนผ้อนี่ ต้นหลิวต้นนั้นก็เป็นเขาที่ถอนขึ้นมาจากบนพื้นนี่ ถอนขึ้นตรงๆ หรือกลับด้านถอน คนผู้นี้จะหนักราวกับภูเขาขนาดไหนกัน ต้นไม้นี้รับน้ำหนักไปได้อย่างไร พวกเขาไม่กังวลว่าจะหักหรือ”
“แน่นอนว่าต้นไม้ของสำนักฝึกหลวงไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา”
พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนไร้คำพูดเป็นอย่างมาก
เรื่องเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
ในช่วงหลายวันมานี้คนที่มาชมเรื่องสนุกที่สำนักฝึกหลวงมีมากนัก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาจากนอกเมือง ล้วนไม่รู้กฎของจิงตู ถึงกับแอบสายตาของนักบวชพระราชวังหลีกับกองทัพนิกายหลวงที่อยู่รอบด้าน หลบมาจนถึงด้านหลังสำนักนี้
มองเห็นกำแพงสำนัก แน่นอนว่าก็อยากจะเห็นว่าสำนักฝึกหลวงที่อยู่หลังกำแพงมีหน้าตาอย่างไร ดังนั้นคนพวกนี้จึงเริ่มที่จะปีนกำแพง
เสียงหัวเราะกับเสียงพูดคุยที่นอกกำแพงตรงข้ามทะเลสาบพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน และมีเสียงฝีเท้ากับเสียงตำหนิดังขึ้น คิดว่าพวกนักท่องเที่ยวคงล้วนถูกกองทัพของนิกายหลวงเข้าควบคุมตัวแล้ว
สำนักฝึกหลวงกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง แต่ทั้งสามคนกลับไม่มีความสนใจจะพูดต่อแล้ว
“ข้าไม่ชอบชีวิตในช่วงหลายวันมานี้แล้ว” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น
ตั้งแต่เด็กเขาก็บำเพ็ญเพียร ที่ฝึกคือตามใจปรารถนา ที่ร้องขอคือวิถีอายุยืน แน่นอนว่าชื่นชอบความเงียบสงบ ถึงแม้ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อจะอยู่ในช่วงอายุที่ชอบความครึกครื้น แต่ก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาแล้ว เพราะช่วงหลายวันมานี้ช่างครึกครื้นมากเกินไป กระทั่งไปถึงขั้นที่พวกเขาล้วนรับไม่ได้แล้ว ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วส่ายหน้า พลางพูดขึ้น “ให้เจ้าลงมือให้หนักสักหน่อย ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้ากลับไม่ฟัง”
ครั้งแรกที่เขาออกสู้แทนสำนักฝึกหลวง ก็ใช้กระบี่ตัดแขนของอาจารย์สำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นไปข้างหนึ่ง หลังจากนี้ภายใต้คำขอร้องของเฉินฉางเซิงกลับลงมือเบาลงมามาก มองดูเฉินฉางเซิงที่ก้มหน้าเงียบ เขาจึงพูดขึ้นต่อ “ถ้าหาก…เจ้าเห็นด้วยกับวิธีการของข้าจริงๆ ฆ่าสักสองสามคน ก็จะสามารถทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ผ่อนลงไปบ้างอย่างแน่นอน เจ้าไม่ฆ่าแล้วยังไม่ให้ข้าฆ่าอีก คนพวกนั้นยังมีอะไรให้กลัวอีก แน่นอนว่าก็มากันคนแล้วคนเล่า ไม่ใช่ว่าตระกูลเทียนไห่ก็อยากจะเห็นพวกเราต้องวิ่งเต้นอย่างเหน็ดเหนื่อยหรอกหรือ”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “แต่เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าถ้าหากต่อสู้เช่นนี้ต่อไป กลับเหมือนเป็นการช่วยให้พวกเราให้ได้เติบโต”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าใจเช่นนี้ก็ไม่ได้ผิด แต่ว่า…ก่อนหน้านี้ตัวเจ้าเองก็พูดเอาไว้แล้ว เจ้าไม่ชอบชีวิตเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงมองตาของเขา แล้วพูดขึ้น “หลายวันก่อนเจ้าเคยพูดไว้ ถ้าหากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้ ก็จะเปลี่ยนชื่อของตน”
ถังซานสือลิ่วโมโหขึ้นมาบ้าง ไม่เตือนเขาอีก และคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ประโยคนั้นที่เขาพูดเอาไว้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้าพลางพูดขึ้นมา “มีปัญหาบางอย่างจริงๆ ใต้เท้าสังฆราชไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย พวกเราควรจะวิเคราะห์กันสักหน่อย”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “มีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าวิเคราะห์สักหน่อย”
“เรื่องอะไร”
“ภายในชุดของมู่เหล่าป่านเป็นเกราะวิเศษลิ่วอวี้ในตำนานจริงๆ หรือ”
หลังจากการประลองนั้นจบลง ถังซานสือลิ่วก็บอกสิ่งที่เขาคาดเดาให้ฟัง ในตอนนี้ได้ยินเขาถามขึ้นมา จึงพูดขึ้น “ถ้าหากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “แล้วทำอย่างไรถึงจะทำให้เกราะวิเศษลิ่วอวี้ชุดนั้นมาอยู่ในมือได้”
ตอนที่พูดถึงการคาดเดานี้ แน่นอนว่าถังซานสือลิ่วก็แนะนำประวัติความเป็นมาของเกราะวิเศษลิ่วอวี้ให้กับเขา เดิมทีนั่นก็เป็นสมบัติของตระกูลหวังแห่งเทียนเหลียง ภายหลังได้ถูกราชสำนักชิงไปเก็บไว้ในพระราชวัง ในตอนนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังตระกูลเทียนไห่
ถังซานสือลิ่วมองเขา และถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าต้องการจะทำอะไร”
“ข้าอยากจะส่งมันคืนให้กับหวังผ้อ” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ขอบคุณความช่วยเหลือของเขาที่เมืองสวิน หยาง”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยจะพอใจ “ข้าช่วยเจ้ามากมายขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่เคยจะมอบอะไรให้บ้างเล่า”
……
……
ไม่พอใจ โกรธ แค้น ความปรารถนาที่จะสังหาร…นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดหลังจากที่ถูกกดดันและถูกท้าทาย
เทียนไห่เฉิงอู่ยืนอยู่ที่ข้างรั้ว มองดูหมอกที่อยู่บนทะเลสาบ พลางพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ข้าก็อยากจะเห็นเฉินฉางเซิงฆ่าคน ไม่ว่าจะเป็นถูกบีบ หรือว่าเป็นผลลัพธ์จากความบุ่มบ่าม ของเพียงฆ่าคนก็ดีแล้ว การฆ่าคนไม่หยุดเช่นนี้ เมื่อบนมือเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบซูหลีนั่น เช่นนั้นเขายังจะมีคุณสมบัติอะไรมาแข่งกับคนของพวกเรา และยังจะมีอะไรที่สามารถกลายมาเป็นใต้เท้าสังฆราชในรุ่นต่อไปกัน ใครจะคาดถึง เขาที่มีอายุน้อยเช่นนี้ มีความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่กับปาฏิหาริย์เช่นนี้ ถึงกับสามารถควบคุมจิตใจของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนถึงตอนนี้ ยังคงไม่ได้ฆ่าคนแม้แต่คนเดียว”
เขาหันกลับไปมองคนผู้นั้นที่อยู่ข้างโต๊ะแล้วพูดขึ้น “ข้าสงสัยอย่างมากว่าเจ้ามองเขาเป็นอย่างไร”