อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 642 กำลังคิดอะไรอยู่
“ยัยขี้เหร่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

“ข้ากำลังคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าขณะที่ฮองเฮาฉู่สลบไปนั้น นางจะให้กำเนิดอีกคนหนึ่ง?”

“นี่……จะเป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ แม้ว่าคนผู้หนึ่งจะสลบไป ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าให้กำเนิดลูกติดกัน และนางก็สลบไปแล้วจะให้กำเนิดได้อย่างไร?”

“บนโลกไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ยาสมุนไพรบางอย่างสามารถช่วยให้คนคลอดลูกได้ในขณะที่สลบอยู่ และทำให้ผู้หญิงที่คลอดลูกไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อยด้วย”

“มียาประเภทนี้ด้วยเหรอ?”

“มี แต่ว่ามีผลร้ายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก คนทั่วไปจะไม่ใช้” ดังนั้นยาชนิดนี้จึงได้สูญหายไปนานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนทั่วไปจะมีโดยสิ้นเชิง

ฮ่องเต้ฉู่มีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ดังนั้น ก็เป็นไปได้มากที่เขาจะเป็นโอรสฝาแฝดของข้า?”

“อันนี้ข้าไม่แน่ใจเพคะ” โดยพื้นฐานแล้วกู้ชูหน่วนเชื่อว่า เขาก็คือพี่น้องฝาแฝดของเย่เฟิง

เพียงแต่ฮองเฮาฉู่เสียใจที่สูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไปหลายครั้งติดต่อกัน นางก็กลัวว่าหากให้ความหวังพวกเขาแล้ว แล้วทำให้พวกเขาผิดหวังอีก พวกเขาจะทนรับไหวได้อย่างไร

“เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร? ในครอบครัวยังมีผู้ใดอีกบ้าง?” ฮ่องเต้ฉู่เอ่ยถามด้วยความอดทน

เลว่อิ่งชำเลืองไปนอกประตูอย่างเงียบๆ ไม่ให้คำตอบ

ฮองเฮาฉู่เอ่ยถาม “เด็กน้อย พวกเราจะไม่ทำร้ายเจ้า พวกเราแค่อยากรู้ว่าปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่ ในครอบครัวยังมีใครอีกบ้างเท่านั้น?”

ฮัวฉีหลัวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “โอ้ย เขาไม่ใช่คนใบ้ แต่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนใบ้ ข้าถามเขามาตลอดทาง ถามจนคอแห้งหมดแล้ว เขาก็ไม่ตอบแม้สักคำ ทำให้ข้าโมโหซะจนอยากซ้อมเขาสักรอบ เป็นคนที่น่าหงุดหงิดจริงๆ”

ฮองเฮาฉู่ประคองเขาให้นั่งลง เห็นว่าบนตัวเขาได้รับบาดเจ็บ จึงรีบให้คนนำกล่องยามา พันแผลให้เขาด้วยตัวเอง

ปากก็พูดด้วยความสงสารว่า “เขาจะต้องลำบากมากเป็นแน่ ฉะนั้นจึงทำให้มีนิสัยเช่นนี้ เมื่อเขาไม่อยากพูด พวกเราก็อย่าบังคับเขาเลย”

ฮัวฉีหลัวตีหัวด้วยความหงุดหงิด กลอกตาขาวด้วยความจนปัญญา “ข้าคิดว่าพี่หน่วนจิตใจดีมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านยังจะมีจิตใจดีกว่าพี่หน่วนเสียอีก”

ฮองเฮาฉู่เปิดแขนเสื้อของเขาขึ้น คิดจะห้ามเลือดที่แขนของเขา แต่กลับเห็นว่าที่แขนของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลของมีดดาบ แผลไฟไหม้ แผลจากทวนวงเดือนและอื่นๆไขว้กันไปมาเหมือนไส้เดือนเช่นนั้น

บาดแผลเหล่านี้มีทั้งเก่าและใหม่ไม่เหมือนกัน บางรอยก็เป็นมาสิบกว่าปีแล้ว

ยกเว้นกู้ชูหน่วน ทุกคนล้วนตกใจแล้ว

ฮองเฮาฉู่รีบเปิดแขนอีกข้างหนึ่งด้วยความร้อนใจ แล้วดึงเสื้อผ้าด้านหลังของเขาลงมาอีก เป็นดังคาด ทั้งตัวของเขาแทบจะเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น คิดจะหาจุดที่สมบูรณ์สักที่ก็ไม่ได้

ฮัวฉีหลัวปิดปากกล่าวด้วยความตกใจ “ทำไมบาดแผลมากมายขนาดนี้ โอ้พระเจ้า…..นี่จะต้องเจ็บปวดมากเพียงใดกัน มีบางที่ล้วนเป็นหนองแล้ว เขาก็ไม่พันแผลเลยหรือ?”

สีหน้าของเซียวหยู่เซวียนก็ดูไม่ดีนัก

รอยแผลทั่วร่างนี้ ทำไมถึงได้คล้ายกับเย่เฟิงเช่นนั้น ที่ไม่เหมือนกันก็คือ รอยแผลโดยส่วนใหญ่ของเขาล้วนถูกสับด้วยอาวุธทหาร

คนผู้นี้ น่าจะถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าตั้งแต่ยังเด็ก และตะเกียกตะกายขึ้นมาจากกองคนตายหลังจากที่เผชิญกับการสังหารนับครั้งไม่ถ้วน จึงได้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้มากมายขนาดนี้

ฮ่องเต้ฉู่ก็ตกใจแล้ว

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าบนตัวของคนผู้หนึ่งจะมีบาดแผลได้มากมายขนาดนี้

ฮองเฮาฉู่กอดเขา ร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง

นางไม่กล้าออกแรง เพราะกลัวจะทำให้เขาเจ็บ

ชายผู้นี้ไม่เพียงหน้าตาเหมือนเฟิงเอ๋อเท่านั้น แต่บนตัวของเขาก็มีรอยแผลเป็นไขว้กันอยู่สะเปะสะปะมากมายเหมือนกันด้วย

ฮองเฮาฉู่กล่าวสะอึกสะอื้น “เด็กน้อย ไม่ว่าอดีตเจ้าจะต้องทนทุกข์อะไรมา หลังจากนี้ เพียงแค่มีข้าอยู่วันหนึ่ง ข้าจะพยายามปกป้องเจ้าด้วยชีวิต”

ดวงตาอันเย็นชาของเลว่อิ่งสั่นไหวเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยเหมือนหุ่นกระบอกเช่นนั้นแล้ว เขาเหลือบตาขึ้น มองไปทางฮองเฮาฉู่อย่างไร้ความรู้สึก

สิ่งที่ประทับในดวงตา คือดวงตาอันแน่วแน่ของฮองเฮาฉู่คู่นั้น

ฮองเฮาฉู่ผอมเพรียว ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าอ่อนแอ ทว่าไม่รู้ทำไม เลว่อิ่งกลับรู้สึกว่า…