ตอนที่ 656 ทำคุณงามความดีอีกครา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 656 ทำคุณงามความดีอีกครา

“เอ่อ…อากาศช่างร้อนมากยิ่งนัก”

เหอเชิงอันเงยหน้ามองท้องนภาด้วยความงงงวย วันนี้เมฆครึ้มปกคลุมจนไร้แสงสุริยาเฉิดฉาย

“คุณชายหยุน ข้าเป็นกังวลเสียเหลือเกินว่าท่านอาจจะมีอาการร้อนใน อีกประเดี๋ยวตอนออกไป ข้าจะช่วยตรวจวัดชีพจรให้ท่านเอง อีกมินานก็ต้องไปยังว่อเฟิงเต้าแล้วคาดว่าคงมีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย ถ้าหากร่างกายป่วยไข้เกรงว่าจะเป็นการถ่วงความคืบหน้าของเรื่องที่ติ้งอันป๋อสั่งให้ช้าลงไปอีก”

“…” หยุนซีเหยียนเหลือบมองเหอเชิงอันหนึ่งครา แล้วครุ่นคิดในใจว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนซื่อเสียจริง ถึงกับมองมิออกว่าเขารู้สึกเยี่ยงไรทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาในใจ

“ท่านตรวจชีพจรเป็นด้วยหรือ ? ”

“บิดาของข้าเป็นหมอเท้าเปล่า ข้าจึงได้เรียนรู้จากท่านมาบ้าง พอจะเข้าใจอยู่มิน้อย”

เหล่าปัญญาชนได้มาถึงประตูทางเข้าของท้องพระโรงเฉิงเทียน ขันทีเจี่ยให้พวกเขารออยู่บริเวณนั้น ส่วนตนโค้งตัวเดินเข้าไปด้านใน

“ทูลฝ่าบาท บัดนี้ผู้ถูกคัดเลือกสิบอันดับแรกได้มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เข้ามา ! ”

หยุนซีเหยียนและสหายทั้งเก้าเดินเข้าไปในท้องพระโรงเฉิงเทียน หลังจากที่ขันทีเจี่ยส่งเสียงสั่งออกมา ทั้งหมดจึงนั่งลงอย่างเป็นระเบียบทางด้านซ้ายมือของเหล่าเสนาบดี

ฮ่องเต้เหลือบพระเนตรไปทางพวกเขาเพียงหนึ่งครา บัดนี้ในพระหัตถ์มีสาส์นกราบทูลอยู่แล้ว “ตั้งแต่เข้าสู่ฤดูร้อน เจี้ยนหนานตงเต้าและเจี้ยนหนานซีเต้ามีปริมาณน้ำฝนมากล้น กรมพยากรณ์อากาศคาดการณ์ว่าอาจจะมีอุทกภัยเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้อีกประเดี๋ยวทางราชสำนักจะส่งสาส์นถึงทุกเขตที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแยงซี เพื่อให้ขุนนางในแต่ละพื้นที่เตรียมการรับมือกับภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น”

“อีกประการ ฝนตกในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำมากกว่าที่ผ่านมากว่าสองเท่า ปริมาณน้ำเหล่านี้ย่อมไหลไปรวมกับแม่น้ำแยงซีโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงช่วงลานตะพักลำน้ำจิงเจียง กรมโยธาธิการต้องส่งขุนนางจากกรมทางน้ำไปรักษาการณ์ที่ลานตะพักลำน้ำจิงเจียง และขุนนางจากเขตแม่น้ำจิงเจียงต้องประสานร่วมมือกับกรมทางน้ำเพื่อป้องกันการเกิดภัยพิบัติครายิ่งใหญ่”

“ปี้ตง”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

“ซุ่ยจึชีประจำกรมทางน้ำจะกลับมาเมืองหลวงเมื่อใด ? ”

“ทูลฝ่าบาท คาดว่าอีกประมาณ 3 วันพ่ะย่ะค่ะ”

“เมื่อเขากลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว จงให้เขามาพบข้าทันที ! ”

“กระหม่อมน้อมรับพระราชบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฮ่องเต้ยืนขึ้น พระหัตถ์ทั้งสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ดำเนินไปเบื้องหน้าสองก้าว “แม่น้ำสายหลักสองสายของเจียงหนานมีความเกี่ยวข้องอันใหญ่หลวงต่อราชวงศ์หยู ข้ามิปรารถนาที่จะได้ยินข่าวที่ว่าเขื่อนแม่น้ำแยงซีพังทลายลงมาอีก ! ปีนี้น้ำแข็งในแม่น้ำฮวงโหละลายช้ากว่าปีก่อนถึง 20 วันเต็ม ๆ และตามที่ติ้งอันป๋อได้กล่าวไว้ว่าให้พึงระวังปัญหาเรื่องฝนตกในฤดูร้อนของปีนี้ ! ”

“ถ้าหากว่าน้ำแข็งในแม่น้ำฮวงโหละลายมาเจอกับฝนที่ตกหนัก… เห็นทีทั้งสองฝั่งของแม่น้ำฮวงโหจะประสบกับหายนะอีกครา ! ”

“เช่นนี้แล้วขุนนางกรมน้ำก็ควรจะรักษาการณ์ที่ริมแม่น้ำฮวงโหด้วยเช่นกัน เมื่อมีฝนตกหนักผิดปกติคราใดก็จงรีบรายงานต่อขุนนางประจำพื้นที่ในทันที จากนั้นก็ให้ราษฎรทั้งริมสองฝั่งแม่น้ำอพยพโดยเร็วที่สุด ! ”

“พวกเจ้าจงจำเอาไว้ ! ในปีนี้หากมีราษฎรในพื้นที่ใดประสบอุทกภัย จนล้มตายเกิน 10 คนขึ้นไป ผู้ปกครองระดับอำเภอจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง ! ถ้าหากตาย 30 คนขึ้นไป ขุนนางระดับเขตจะได้รับโทษสถานเดียวกันกับการทุจริตในหน้าที่ ! และถ้าหากตายมากกว่า 100 คนขึ้นไป… ขุนนางใหญ่ที่คุมพื้นที่นั้น ๆ จะต้องถูกตัดศีรษะ ! ”

เมื่อนโยบายที่เข้มงวดนี้ได้ถูกประกาศออกมา จึงทำให้เหล่าเสนาบดีที่เข้าเฝ้าต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ

อุทกภัยจากแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีจะมีคราใดบ้างที่มิมีคนล้มตายเป็นพันเป็นหมื่นคน ?

นอกจากผู้ที่ติดสินบนทางฝ่ายกฎหมายแล้ว ขุนนางเหล่านั้นมิเคยมีผู้ใดถูกลงโทษอย่างจริงจังเลยสักครา

แต่ทว่าวันนี้ฝ่าบาทได้กำหนดจำนวนผู้ประสบอุทกภัยต่ำถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังนำเรื่องนี้ไปผูกโยงกับหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงอีกด้วย… ความคิดนี้ย่อมมิใช่ความคิดของฝ่าบาท แล้วความคิดนี้เป็นของผู้ใดกัน ?

มิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดก็รู้ได้ในทันที เหล่าเสนาบดีทั้งหลายเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนเป็นตาเดียว !

อำนาจต่าง ๆ ในราชสำนักนั้นมีความซับซ้อน แม้ว่าปีกลายนี้ได้มีการจัดระเบียบไปบ้างแล้ว ทว่าความจริงในแต่ละเขต แต่ละอำเภอยังคงมีลูกหลานของพวกเขารับหน้าที่อยู่เป็นจำนวนมาก

ฟู่เสี่ยวกวน…ชักจะมิเล่นตามกฎกติกาเสียแล้ว !

บัดนี้ฝ่าบาทได้ตรัสออกมาแล้ว แน่นอนว่าพระองค์ย่อมทำเช่นที่ได้ตรัสออกมาอย่างแน่นอน อีกประเดี๋ยวเมื่องานประชุมราชวงศ์เสร็จสิ้น ก็จำต้องรีบเขียนจดหมายไปแจ้งให้กับบรรดาลูกหลานที่ประจำการในแต่ละเมืองมิให้อยู่ในความประมาท

ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดกำลังได้รับคำด่าทอต่าง ๆ นานา แต่เขาก็มิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

เพราะนั่นคือความคิดของเขาอย่างแท้จริง หากว่าใช้แผนการนี้ขึ้นมา ก็เชื่อเสียเหลือเกินว่าพวกขุนนางย่อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาหมวกผ้าแพรที่สวมอยู่บนศีรษะเอาไว้

เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะถ้าเกิดอุทกภัยขึ้นมาจริง ๆ ราษฎรเหล่านั้นย่อมเสียชีวิตน้อยลงกว่าเดิม

ฮ่องเต้หยุดนิ่งแล้วตรัสว่า “ส่วนเรื่องอุทกภัย…มิใช่สิ ! เรื่องที่เกี่ยวกับภัยพิบัติอื่น ๆ ก็ให้ใช้นโยบายที่ออกไปในวันนี้เฉกเช่นเดียวกัน ข้าคิดว่าติ้งอันป๋อกล่าวได้ถูกต้อง หากเป็นขุนนางแล้วมิยึดราษฎรเป็นหลักก็ลาออกไปขายมันเทศเสียยังจะดีกว่า ! ”

เมื่อฝ่าบาทตรัสออกมาเช่นนั้น จึงทำให้เหล่าเสนาบดีหันมาจ้องหน้ากันไปมา แม้แต่หยุนซีเหยียนเองก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองอย่างอาจหาญ ติ้งอันป๋อคือคนใดกันแน่ ?

“เกรงว่าพวกเจ้าทั้งหลายคงมิรู้จักมันเทศ ข้าจะบอกให้ว่าเมื่อปีก่อนมันเทศของติ้งอันป๋อถูกปลูกในพื้นที่ 10 หมู่บนภูเขาซีซานและมันให้ผลผลิตต่อพื้นที่ 1 หมู่ มากถึง 4,700 ชั่ง ! ”

ให้ผลผลิตต่อพื้นที่ 1 หมู่ 4,700 ชั่ง !

ตัวเลขนี้ดังสนั่นไปทั่วทั้งท้องพระโรงเฉิงเทียนราวกับเสียงสายฟ้าฟาด

ชั่วอึดใจนั้นเหล่าขุนนางได้ส่งเสียงพึมพำออกมา แน่นอนว่าเหล่าปัญญาชน 10 คนต่างก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“นี่…นี่มันเป็นไปมิได้ ! ”

“นับพันปีมานี้ มีครั้งใดบ้างที่พืชผลทางการเกษตรสามารถให้ผลิตได้มากถึงหมู่ละ 4,700 ชั่ง ? ”

“หรือว่าติ้งอันป๋อยื่นรายงานเท็จ ? ”

“หรือต่อให้เป็นรายงานเท็จก็ใส่จำนวนเกินจริงไปมากโข ! ”

“…”

นอกเสียจากเยี่ยนเป่ยซี ต่งคังผิงแล้ว คนอื่นก็มิมีผู้ใดปักใจเชื่ออีกเลย !

มิว่าจะเป็นเสนาบดีของราชสำนักหรือปัญญาชนทั้งสิบคน ตัวเลขมันช่างเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้

ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลออกมา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าย่อมมิเชื่อ แต่ทว่าข้านั้นได้รับสารจากอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้”

“เมื่อเดือนสามของปีนี้ ติ้งอันป๋อได้ส่งเกษตรกรจากซีซานไปยังอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ จากนั้นก็ส่งมันเทศไปยังที่แห่งนั้น ผิงหลิงและชวูอี้ต่างได้รับอำเภอละ 40,000 ชั่ง บัดนี้มันเทศเหล่านั้นได้ทำการปักชำเสร็จสิ้นแล้ว โดยใช้พื้นที่ในการปลูกทั้งสิ้นอยู่ที่ 800 หมู่ และตอนนี้ก็เติบโตอย่างงดงาม นายอำเภอจากทั้งสองแห่งได้ส่งสารรายงานมา พวกเจ้าอย่าได้รู้สึกประหลาดใจไปเลย จงจับตามองต่อไปก็แล้วกัน ”

ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีขุนนางท่านหนึ่งยืนขึ้นแล้วทูลถาม “ทูลฝ่าบาท มิทราบว่ามันเทศนั้นสามารถนำมาเป็นเสบียงอาหารได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ติ้งอันป๋อได้ส่งมาให้ข้าแล้วมากกว่า 30 ชั่ง และข้าได้ลิ้มรสแล้วเช่นกัน อัครมหาเสนาบดีเยี่ยน เสนาบดีต่ง เยี่ยนซือเต้าและเยี่ยนฮ่าวชูต่างก็เคยได้ลิ้มลองมาก่อน รสชาติของมันทั้งหวานหอม เหนียว และเป็นเสบียงที่มหัศจรรย์เลยก็ว่าได้ ! ”

บัดนี้เยี่ยนเป่ยซีก็ได้ยืนขึ้น โค้งคำนับแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “พืชผลชนิดนี้รอจนกระทั่งเดือนสิบถึงคราเก็บเกี่ยวทางอำเภอชวูอี้จะส่งมาให้ราชสำนักบางส่วน เมื่อถึงเวลาพวกท่านจะได้ลองชิม เชื่อเหลือเกินว่าพวกท่านจะชื่มชอบในความอร่อยมิรู้หน่าย ! ”

เขาเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ก้มลงคำนับอีกคราแล้วเอ่ยต่อว่า “นับเป็นความโชคดีของราชวงศ์หยู ! เพราะต่อไปนี้ราชวงศ์หยูจะมิขาดแคลนเสบียงอาหาร เหล่าราษฎรจะได้กินอย่างอิ่มท้อง บ้านเมืองก็พลอยสงบสุขร่มเย็นไปด้วย นี่เป็นผลสืบเนื่องมาจากคุณธรรมสูงส่งของฝ่าบาท ความผาสุกและความรุ่งเรืองจะมาสู่ผืนปฐพีในเร็ววันนี้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เหล่าเสนาบดีพากันลุกขึ้นโค้งคำนับและส่งเสียงอวยพรให้แก่องค์ฮ่องเต้ ในยามนั้นเองท้องพระโรงเฉิงเทียนก็อบอวลไปด้วยถ้อยคำสรรเสริญต่อผู้เป็นเจ้าเหนือหัว

ฝ่าบาททอดพระเนตรไปยังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ซึ่งบัดนี้ใบหน้าของเขากำลังเปื้อนยิ้ม

เจ้าหมอนี่หาได้ใส่ใจว่าผู้ใดรักผู้ใดชัง หรือว่าเขามิได้แยแสสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ?

ปัญหาเรื่องเสบียงนั้นได้สร้างหายนะให้แต่ละแคว้นอย่างหนักมาโดยตลอด

ถือเป็นตัวการจำกัดการสืบพันธ์ของมนุษย์ ทำให้ราษฎรลดลง และเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจหยุดนิ่งและราษฎรก็ยิ่งยากจนเข้าไปใหญ่ จึงมิกล้าที่จะให้กำเนิดบุตรหรือแม้แต่เพื่อได้มีอาหารหนึ่งมื้อตกถึงท้อง พวกเขาจำต้องตัดไม้มาทำอาวุธยามเดินประท้วง !

ด้วยเหตุนี้มันเทศจึงถูกขนานนามว่าเป็นพืชผลมหัศจรรย์ !

พื้นที่ 1 หมู่สามารถออกผลได้มากถึง 5,000 ชั่ง !

นี่เป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การถูกยกย่องส่งเสริม !

ทว่าฝ่าบาทกลับมิกล้าตกรางวัลให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนอีก ดังนั้นพระองค์จึงรู้สึกกระดากอายแต่เรื่องที่คู่ควรแก่การยกย่องเช่นนี้ก็ควรจะแสดงบางอย่างเพื่อเป็นการชื่นชมเสียบ้าง

“ติ้งอันป๋อ…”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

หยุนซีเหยียนนั่งอยู่ในตำแหน่งที่มิสามารถมองเห็นใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนได้ แต่ทว่าเสียงที่ได้ยินนั้นช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน !

เขาสูดลมหายใจเข้าพลางคิดทบทวน หรือว่าข้าจะเคยพบเจอกับติ้งอันป๋อผู้นี้มาก่อน ?

“เจ้าได้สร้างคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองอีกครา ข้าจึงถือโอกาสนี้อนุญาตให้ธนาคารซื่อทงออกตั๋วเงินได้ ! ”