ตอนที่ 657 ท่านคือติ้งอันป๋อ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 657 ท่านคือติ้งอันป๋อ!

“ข้าจึงถือโอกาสนี้อนุญาตให้ธนาคารซื่อทงออกตั๋วเงินได้ ! ”

เมื่อฮ่องเต้ป่าวประกาศออกมาดังนั้น จึงทำให้เหล่าเสนาบดีตกตะลึงกันอีกครา มิเว้นแม้แต่เยี่ยนเป่ยซีและตงคังผิง

นี่คือพระประสงค์อันใดกัน ?

ปัจจุบันนี้มีเพียงธนาคารเป่าหลงของราชสำนักเท่านั้นที่ถือครองกรรมสิทธิ์การออกตั๋วเงินเพียงหนึ่งเดียว และสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจของราชวงศ์โดยตรง !

ณ ที่นี้ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ธนาคารซื่อทงของฟู่เสี่ยวกวนออกตั๋วเงินได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าตั๋วเงินของธนาคารซื่อทงและเป่าหลงจะมีมูลค่าเท่าเทียมกัน

หากฟู่เสี่ยวกวนนึกพิมพ์ตั๋วเงินขึ้นมามั่วซั่ว ย่อมทำให้เขาร่ำรวยจนเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์หยู ! และจากนั้นเศรษฐกิจของราชวงศ์ก็จะล้มระเนระนาด เพราะนี่คืออาวุธสงครามที่มุ่งทำลายแผ่นดิน !

ฝ่าบาทกลับไว้วางพระทัยให้อาวุธสงครามนี้ตกอยู่ในมือของฟู่เสี่ยวกวน !

นี่เป็นความเชื่อใจระดับใดกัน !

นี่คือความมีพระเมตตาในระดับใดกัน !

เป็นที่ประจักแล้วว่า เหล่าเสนาบดีทั้งหลายต่างก็รู้สึกอิจฉาและกังวลใจในเวลาเดียวกัน เนื่องจากการที่ธนาคารเป่าหลงจะออกตั๋วเงินได้นั้นต้องยึดถือตามจำนวนทองคำเป็นหลัก แต่ทว่าธนาคารซื่อทงนั้นไร้ซึ่งทองคำ แล้วตั๋วเงินที่เขาพิมพ์ออกมาเหล่านั้น…จะเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายหรือไม่ ?

หากเป็นที่ยอมรับเสียก็ดี แต่หากมิเป็นที่ยอมรับ จะเป็นการสร้างหายนะคราใหญ่ขึ้นมาหรือไม่ ?

เป็นดั่งที่คาดเอาไว้เมื่อฝ่าบาทตรัสขึ้นมาอีกคราว่า “แน่นอนว่ากฎของการออกตั๋วเงินยังมิเปลี่ยนแปลง ทองคำ 1 ตำลึงสามารถนำมาออกเป็นตั๋วเงินมูลค่า 10 ตำลึงได้”

“เช่นนี้แล้วข้าจึงให้สิทธิ์เจ้าในการขุดเหมืองทองคำได้ แต่ทว่าก่อนอื่นเจ้าต้องหาเหมืองทองคำให้ได้เสียก่อน”

ทันใดนั้นขุนนางหลายคนก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งอก เพราะการหาเหมืองทองคำนั้นมิใช่ขี้หมูขี้หมา แม้แต่กรมโยธาธิการผู้เชี่ยวชาญในเรื่องฮวงจุ้ยก็ยังต้องคลำหานานเป็นแรมปีกว่าจะพบเจอกับเหมืองทองคำ

จนกระทั่งบัดนี้ในราชวงศ์หยูได้ขุดเหมืองทองเจอเพียงแค่ 4 แห่งเท่านั้น และนี่ก็เป็นทรัพย์สมบัติของราชอาณาจักรซึ่งฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ฝ่าบาทตรัสนั้นมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ก็เท่านั้นเอง

เวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ได้ยิ้มออกมา เขารีบยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ในส่วนที่ลึกลงไปของภูเขาหมินมีเหมืองทองคำอยู่หนึ่งแห่ง เรื่องนี้องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูเองก็รับรู้ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้ทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ ซึ่งทำให้ตนได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ

เมื่อเห็นรอยยิ้มของฟู่เสี่ยวกวน ฝ่าบาทจึงรู้สึกตกพระทัยขึ้นมาทันพลัน ทันใดนั้นพระองค์ก็รู้สึกว่าได้กระทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือไม่ ? เพราะโอกาสที่ฟู่เสี่ยวกวนจะหาเหมืองทองเจอช่างยากเย็นเสียยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก แต่ทว่าเจ้าหมอนี่กลับเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้มีหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

หรือว่าบนภูเขาเฟิ่งหลินแห่งนั้นมีเหมืองทองคำซ่อนอยู่ ?

ย่อมเป็นไปมิได้ ! เนื่องจากกรมโยธาธิการได้ไปขุดเหมืองทองที่ภูเขาเฟิ่งหลินมาเนิ่นนานแล้ว พบว่าสถานที่แห่งนั้นมีเหมืองแร่เหล็กอีก 1 จุดที่ยากต่อการขุดเจาะ แน่นอนว่าหากตอนนี้ถูกฟู่เสี่ยวกวนขุดขึ้นมาสำเร็จ พระองค์ก็มิได้รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด

เอาเถิด ขอเพียงแค่เจ้าหมอนี่หาเมืองทองมิเจอ ต่อให้มีโอกาสคราใหญ่วางอยู่ตรงหน้า เขาก็มิอาจคว้ามันไปได้อย่างแน่นอน !

“การประชุมราชสำนักเช้าวันนี้ก็ให้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้เถิด ต่อไปข้าขอดูสักหน่อยว่าคนที่สอบเอินเคอได้เป็นคนประเภทใดบ้าง”

ฮ่องเต้กลับไปประทับยังบัลลังก์มังกร ในพระหัตถ์มีสมุดรายชื่ออยู่หนึ่งเล่มจากนั้นพระองค์ก็ได้ตรัสรายนามออกมา “เอินเคอลำดับที่หนึ่ง หยุนซีเหยียน”

หยุนซีเหยียนรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหน้า จากนั้นก็คุกเข่าลง “กระหม่อมหยุนซีเหยียน ขอถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อืม… ลุกขึ้นมาให้ข้าเห็นหน้าเถิด”

ตอนนี้หยุนซีเยียนสามารถสงบสติอารมณ์ได้เสียที่ไหนกัน เขายืนขึ้นในสภาพที่หัวเข่าสั่นระรัว ก้มหน้าลงต่ำแล้วกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่รู้สึกตื่นเต้นและประหม่าไปในที

“จงเงยหน้าขึ้นมา”

หยุนซีเหยียนเงยหน้าขึ้นมาตามพระบัญชา ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเขาอย่างพินิจพิจารณา “อืม ! เป็นชายหนุ่มมากความสามารถอย่างแท้จริง ข้าเคยอ่านบทความเรื่องข้อเสนอแนะทางการเมืองของเจ้ามาก่อน นับว่ามีแนวคิดแปลกใหม่แต่ทว่าก็สามารถปฏิบัติได้จริงสมแล้วที่ได้อันดับที่หนึ่ง เมื่อไปว่อเฟิงเต้าก็จงทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งภายใต้การชี้นำจากติ้งอันป๋อและจงทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ข้าเป็นผู้ที่มิตระหนี่เรื่องการยกย่องสรรเสริญ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะนำมาซึ่งเกียรติยศได้หรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่ที่ความสามารถของเจ้าทั้งสิ้น”

ทุกคำที่ฮ่องเต้ตรัสออกมาได้กระแทกเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจของหยุนซีเหยียนและเหล่าปัญญาชนที่เหลืออยู่ พวกตนร่ำเรียนวิชามานานถึงเพียงนี้ก็เพื่อวันหนึ่งจะได้เป็นขุนนางที่มีเกียรติยศมิใช่หรือ ?

บัดนี้เขารู้สึกหวั่นวิตกเกินต้านทานจึงก้มลงอย่างร้อนรนอีกครา “สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสออกมานั้นกระหม่อมจะจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ! เมื่อได้ไปยังว่อเฟิงเต้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของติ้งอันป๋อและมุ่งมั่นทำหน้าที่เพื่อฝ่าบาท เพื่อราษฎรแห่งว่อเฟิงเต้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ดีมาก ! เจ้าลุกขึ้นเถิด… ต่อไปเอินเคอลำดับที่สอง เหอเชิงอัน”

หยุนซีเหยียนลุกขึ้นจากนั้นก็ออกไปยืนอยู่ที่ด้านหนึ่ง ฝ่ายเหอเชิงอันได้สาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งลงแทนที่ตำแหน่งของหยุนซีเหยียน “กระหม่อมเหอเชิงอันขอถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อืม เจ้าก็ลุกขึ้นเถิด…”

ฮ่องเต้ได้ตรัสสรรเสริญเหอเชิงอันและปัญญาชนอีกเจ็ดคนที่เหลือเว้นเสียแต่ซือหม่าเช่อผู้สอบได้ลำดับที่สี่

นี่ยิ่งทำให้ซือหม่าเช่อรู้สึกประหม่า และทำให้หยุนซีเหยียนรู้สึกถึงความมิชอบมาพากล…

น้องซือหม่าเป็นผู้สอบได้ลำดับที่สี่แท้ ๆ เหตุใดจึงเรียกทุกคนขึ้นมาแล้วเว้นเขาเอาไว้กัน ?

เมื่อฝ่าบาทได้ทำความรู้จักกับปัญญาชนทั้งเก้าคนครบแล้ว พระองค์ก็ได้ยืนขึ้นแล้วทอดพระเนตรไปยังซือหม่าเช่อ นี่จึงทำให้นางรู้สึกลำบากใจมากยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนได้โยนปัญหายุ่งยากใส่พระหัตถ์ และพระองค์ได้ตกลงรับคำแล้ว จึงเป็นเหตุให้ต้องหาข้อสรุปแก่เรื่องนี้โดยด่วน

“ซือหม่าเช่อ”

ซือหม่าเช่อตกใจสุดขีด จากนั้นก็รีบลุกออกไปคุกเข่าด้านหน้าทันที “กระหม่อม ซือหม่าเช่อ ขอถวายพระพรฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ไม่ได้รับสั่งให้นางยืนขึ้น แต่ทว่าพระองค์กำลังเงยพระพักตร์ไปทางเหล่าเสนาบดีทั้งหลายแล้วตรัสออกมาอย่างเชื่องช้าว่า

“ตั้งแต่โบราณกาลมา สตรีที่มากความสามารถก็มีให้เห็นอยู่มิน้อย แต่ทว่าการที่สตรีรับราชการเป็นขุนนางช่างหายากเสียเหลือเกิน เหตุใดสตรีจึงมิอาจเป็นขุนนางได้น่ะหรือ ? ข้าคิดว่าตลอดพันปีที่ผ่านมา ได้ยึดมั่นในคำสอนของขงจื้อที่ว่าสามคล้อยตามสี่คุณธรรมซึ่งสตรีพึงปฏิบัติ”

ซือหม่าเช่อรู้สึกเสียววาบเข้าไปในหัวใจ ฝ่าบาททรงทราบแล้วว่าแท้จริงนางเป็นสตรี เห็นได้ชัดว่าติ้งอันป๋อกราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทด้วยตนเอง เขาทำไปเพื่อจุดประสงค์อันใดกัน ?

ฝ่าบาทจะตัดสินให้นางรับโทษข้อหาหลอกหลวงเบื้องสูงหรือไม่ ?

เหล่าเสนาบดีเองก็รู้สึกยากแท้หยั่งถึงว่าสิ่งที่ฝ่าบาทตรัสหมายความว่าเยี่ยงไร ?

สตรีจะเป็นขุนนางได้เยี่ยงไร ? เช่นนั้นก็เท่ากับขัดต่อจารีตประเพณีมิใช่หรือ !

จากนั้นฝ่าบาทก็ได้ตรัสขึ้นมาอีกว่า “ว่อเฟิงเต้าเป็นแบบอย่างของการปฏิรูปแห่งราชวงศ์หยู ว่อเฟิงเต้าจะเป็นสถานที่ทดลองนโยบายใหม่ซึ่งฮองเฮาซั่งได้บอกข้าไว้ว่า ในเมื่อประสงค์จะปฏิรูปก็ควรปฏิรูปรอบด้านโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นแล้ว…”

ฝ่าบาททอดพระเนตรไปยังซือหม่าเช่อ “เจ้าจงยืนขึ้นแล้วถอดหมวกนั่นออกเสีย”

ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังซือหม่าเช่อที่ค่อย ๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา นางรู้สึกราวกับมีคลื่นซัดถาโถมอยู่ภายในใจ

นางสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ถอดหมวกออก เส้นผมยาวสลวยซึ่งม้วนอยู่ภายใต้หมวกนั้น ได้ไหลลงมาราวกับน้ำตก รูปร่างทรวดทรงออดอ้อนพลิ้วไหวราวกับบุปฝาที่กำลังเบ่งบาน

“อ่า… ! ”

เหล่าเสนาบดีพากันสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกตะลึงงัน…นั่นเป็นสตรีเยี่ยงนั้นหรือ !

หยุนซีเหยียนตื่นตกใจจนตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า เหตุใดนางจึงกลายเป็นสตรีไปได้ !

ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย “ซือหม่าเช่อเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซือหม่า แต่ทว่านางมีความฝันที่จะทำให้ราษฎรอยู่ดีมีสุข ข้าคิดว่าด้วยเหตุนี้นางจึงปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อสอบเป็นขุนนาง ถ้าหากพวกเรามองสตรีนางนี้ด้วยจิตใจอันกว้างขวาง พวกท่านยังคิดว่าการที่สตรีเป็นขุนนางนั้นเลวร้ายกว่าการที่บุรุษเป็นขุนนางอีกหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท… นี่ขัดต่อหลักขงจื้อพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ากฎนี้มีมาช้านานแล้วจึงมิสามารถทำลายได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ฝ่าบาทได้โปรดยกเลิกพระบัญชา สตรีไร้ความสามารถนั้นคือสัจธรรม ถ้าหากให้สตรีเป็นขุนนาง แล้วบุรุษทั่วหล้าจะทนฝืนกล้ำกลืนได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“…”

เหล่าเสนาบดีล้วนแสดงการคัดค้าน !

ฮ่องเต้ขมวดพระขนงมุ่นและในยามนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นมา

ฝ่ายหยุนซีเหยียนเหลือบไปมองหนึ่งครา…

บ้าเอ๊ย !

เขาถึงกับยื่นมือออกไปชี้ฟู่เสี่ยวกวนอย่างสั่นระรัว “ท่าน ท่าน…พี่ฟู่ มิใช่สิ ! ท่านคือติ้งอันป๋อเยี่ยงนั้นหรือ ? ! ”