ตอนที่ 6-4
“ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”
ภายในห้องรับแขกลับของหอนางโลมที่กลับมาอีกครั้ง รยูฮาและฮอนนั่งตรงข้ามกัน คิดว่ารอดูพฤติกรรมของเจ้าเมืองที่รับปากไว้สักสองสามวันและให้เหล่าทหารได้พักด้วย จากนั้นจึงจะไปจากที่นี่ ฮอนไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากได้รับสมุดบัญชีจากเจ้าเมืองพัน ตอนนี้เริ่มเปิดปากพูดออกมาอีกครั้งแล้ว
“เจ้าคิดหรือไม่ว่าท่านลุงกระทำการนี้คนเดียว”
ฮอนไม่ค่อยได้ใกล้ชิดท่านลุงมากนัก จึงไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านลุงสักเท่าไหร่ และพระมเหสีก็คือเสด็จแม่ของเขา เสด็จแม่ผู้ซึ่งอบอุ่นและอ่อนโยนมาก ถ้าป่วยก็จะคอยจับมืออยู่ข้างๆ ทั้งคืน อาจจะคิดว่าพระมเหสีมีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่ถูกต้องนั้นก็ได้ แต่เขาก็ไม่อยากคิด
“หม่อมฉันก็ไม่อาจทราบได้ ไม่ทราบว่าทรัพย์สินมากมายเข้ามาที่ท่านลุงได้อย่างไร และท่านลุงทำอย่างไรกับทรัพย์สินนี้ ดูท่าคงต้องสืบเรื่องนั้นก่อนเพค่ะ”
หากเขาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและลุ่มหลงไปกับเกียรติยศชื่อเสียงไปเลยคงสบายใจ แต่นี่คือตระกูลของพระมเหสีผู้ซื่อสัตย์มาก และแน่นอนว่าท่านลุงก็เป็นเช่นนั้น เขาปฏิเสธบ้านหรูที่ได้รับพระราชทาน แล้วก็อยู่ในบ้านที่พระมเหสีเคยอาศัยก่อนเข้าพิธีอภิเษกสมรสมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นทรัพย์สินที่เหลือไปไหนกันแน่ ฮอนพับความคิดในแง่ร้ายมากๆ เก็บไว้แล้วเอ่ยขึ้น
“ไหนๆ ก็ลงมาแล้วก็เริ่มตรวจสอบโดยไล่จากคนที่มีทรัพย์สินตามรายการนี้ พอกลับวังหลวงค่อยไปซักไซ้เหล่าผู้ดูแลที่ถูกเขียนชื่ออยู่ในรายชื่อ”
ฮอนพูดแค่นี้แล้วหันหน้าไปสบตากับรยูฮา คู่ชีวิตของเขาไม่มีทั้งรอยยิ้มและความอบอุ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นหญิงสาวที่เขาเชื่อมั่นว่าจะเดินเคียงข้างไปด้วยกันได้
“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าจะอยู่เคียงข้างข้าใช่หรือไม่”
“ไหนว่าอยากอยู่ห่างหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ”
รยูฮารับคำอย่างเย็นชา คำตอบนั้นทำให้ฮอนผู้กำลังคิดทบทวนยกยิ้มเศร้า
“เพราะข้าคิดว่าเจ้าพรากสตรีที่ข้าเคยรักและรักข้าไปน่ะสิ”
ที่เคยรัก…ตอนนี้ฮอนกำลังพูดสิ่งที่เป็นอดีต รยูฮาจับสังเกตได้จึงถามซ้ำช้าๆ
“ตอนนี้ไม่คิดเช่นนั้นหรือเพคะ”
พอฮอนยกแล้วเหล้าขึ้นมาเทใส่ปาก รยูฮาก็ทำตาม เสียงแก้วเหล้าเปล่าวางลงบนโต๊ะดังตามกันมา ใจของฮอนเต้นรัวและสงบลง
“เจ้ารู้อยู่แล้วสินะ ความจริงที่ว่าจินซึงฮวี ไม่สิ แชยอนไม่ได้เจอข้าด้วยความบังเอิญ”
“รู้เรื่องนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ”
รู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วย ฮอนยิ้มแห้งแล้วยกแก้วเหล้าดื่มจนหมดอีกครั้ง ดวงตาที่ทอดมองขวดเหล้าในมือหวนนึกถึงอดีตเมื่อหลายปีก่อน
ในวันที่ฝนตก เขาปลอมตัวไปดื่มเหล้าในโรงเตี๊ยมเก่าคนเดียว ถ้าเป็นทุกทีคงไปหอนางโลมแต่ไม่อยากไป อาจจะเป็นเพราะฝนตกจึงเป็นเช่นนั้น วันนั้นใจมันว่างเปล่าและนึกถึงบางอย่างอย่างไม่อาจทานทนได้ คิดถึงแล้วก็คิดถึง ในความทรงจำอันดำมืดแม้แต่สิ่งที่คิดถึง ภาพยังไม่สามารถลอยขึ้นมาได้จึงทำได้เพียงพึ่งพาสุรา หากสติหลุดลอยไปเพราะเหล้าคงสามารถคว้าปลายหางของความคิดถึงได้ แม้จะเป็นเพียงในความฝันก็ตาม
หมดไปแล้วหนึ่งขวด และวางขวดที่สองลงบนพื้นตามกันมา มือที่ยื่นออกไปหวังจะคว้าขวดที่สามสัมผัสเข้ากับความอบอุ่นและนุ่มแทนที่จะเป็นขวดเหล้าเย็นเฉียบ หญิงสาวที่จับขวดเหล้าที่ฮอนตั้งใจจะคว้าเอาไว้และมองมาทางฮอนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอียงขวดเหล้าไปทางแก้วของเขา อาการเวียนหัวและจิตใจลามกที่ไม่อาจควบคุมได้เข้าครอบงำฮอน ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรุนแรงผ่านไป พอลืมตาขึ้นในอ้อมกอดของเขาก็มีสาวงามหาใครเทียบไม่ได้นอนอยู่
‘เจ้าชื่ออะไร’
‘จินแชยอน ท่านล่ะ’
‘…ฮอน’
มันคือพรมลิขิต มันคือความรักและถวิลหา ฮอนเชื่ออย่างนั้น ทุกครั้งที่ไปหาแชยอน ผู้ซึ่งบอกว่าเป็นลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยม นางจะอยู่ที่นั่นเสมอ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคืนที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจนผ่านไปเป็นปี ฮอนก็จับมือแชยอนออกมาเปิดเผยสถานะที่เคยปกปิดเอาไว้ หญิงสาวได้ยินคำว่าพระชายาจากฮอนแต่กลับไม่ดีใจ ตรงกันข้ามกลับร้องได้อย่างเศร้าโศกเป็นครั้งแรก
‘ทำไมถึงร้องไห้เช่นนั้น’
‘เพราะหม่อมฉันเสียใจจึงร้องไห้เพคะ เสียใจที่ไม่อาจเป็นหญิงสาวธรรมดาในอนาคตของฝ่าบาทได้จึงร้องไห้’
นับแต่นั้นฮอนก็ไปหาพระราชาอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก ทั้งถูกไล่และถูกตวาดอยู่ตลอดก็ยังคงอ้อนวอน เพื่อให้แชยอนผู้ซึ่งเป็นสามัญชนมาเป็นสนมของตน ท้ายที่สุดก็ได้รับอนุญาต และเงื่อนไขที่ตามมาคือให้คัดเลือกคู่อภิเษกสมรสและต้องรับสตรีคนนั้นมาเป็นพระชายา
ฮอนอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขแบบไหนก็รับไว้และพาแชยอนเข้ามาในวัง ในขณะที่การคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสดำเนินไปเขาก็ลุ่มหลงนาง ลูกสาวของเหล่าเสนาบดีที่ได้ยินเรื่องการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสแต่ไม่สนใจ ผ่านไปอย่างนั้นสองสามเดือน เขาก็เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับหญิงสาวที่ไม่แม้แต่จะมีใจให้
‘ฝ่าบาท ตอนนี้ทรงมีพระชายารูปงามแล้ว โปรดลืมคนต่ำต้อยอย่างหม่อมฉันเถิดเพคะ’
‘คนที่ข้ารักมีเพียงเจ้าเท่านั้น ฉะนั้นคืนนี้ข้าจะไม่คลายปมผูกเสื้อของพระชายา รอสักครู่เถอะ เดี๋ยวข้ากลับมา’
แต่ว่าวันนั้นนับตั้งแต่เจอรยูฮา ฮอนก็ตกอยู่ในสภาพสับสน ไม่ว่าจะกอดแชยอนสักแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่มองรยูฮา ความตื่นเต้น ความเศร้าและความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ซึ่งเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้จากแชยอนก็ตีตื้นขึ้นมา มีเพียงความรู้สึกเศร้าใจ สงสารและใจที่เอ็นดูเท่านั้น พอกอดแชยอนแล้วเมล็ดพันธุ์ของความปรารถนางอกเงยภายในนั้น ต่อมาความอ่อนล้าอันว่างเปล่าก็ถาโถมเข้ามาหาเขา
รยูฮาเคยถามว่าสามารถเสี่ยงชีวิตเพื่อแชยอนได้หรือไม่ แต่เขากลับตอบคำถามนั้นได้อย่างยากลำบาก แต่ว่าตอนที่ม้าบ้าวิ่งเข้ามาหารยูฮา เขากลับเสี่ยงชีวิตอย่างไม่คิดอะไรเลย แม้แต่ความจริงที่ว่าตัวเองเอาชีวิตเข้าเสี่ยงก็เพิ่งมาตระหนักรู้ทีหลัง หลังจากที่ทำไปแล้ว ความจริงข้อนั้นรบกวนเขาทำให้เขารู้สึกละอาย เขาไม่สามารถรักษาความจริงใจต่อสตรีที่มองแค่เขาแล้วเข้ามาในพระราชวังได้ เป็นความรู้สึกของความละอายและต้องรับผิดชอบต่อหญิงสาวที่ชีวิตพังทลายลง
“รู้เมื่อวาน ตอบที่เจ้าบอกกับข้าว่าข้าโดนมอมยา”
ตอนที่ได้รู้ว่าความรู้สึกสั่นสะท้านในคือวันฝนตกเป็นความรู้สึกที่ถูกคนสร้างขึ้นโดยใช้ยา ความรู้สึกละอายและดูถูกตัวเองก็หายไป การเจอกันกับแชยอน มันเป็นการวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว
“ทรงฉลาดนัก ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันทราบเรื่องอยู่แล้ว”
“น่าจะบอกข้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องคุกเข่าแบบนั้น”
ภาพหัวเข่าที่ไม่เหมาะกับพื้นของรยูฮาและนิ้วที่ค้ำตรงพื้นไว้ยังคงเด่นชัดตรงหน้า ฮอนรู้สึกเศร้าใจเรื่องนั้นกว่าสิ่งใด
“หากทูลแล้วจะทรงเชื่อหรือเพคะ อีกอย่าง…”
รยูฮายกเหล้าดื่มจนหมด
“หม่อมฉันไม่อยากเห็นฝ่าบาททรงเศร้า ในฐานะสตรีแค่สวามีของตัวเองก็ปกป้องไม่ได้ซ้ำยังทำให้ร้องไห้อีกจะมีเรื่องไหนน่าอายไปกว่านี้อีกเพคะ ต่อให้เป็นความรักที่เต็มไปด้วยคำโกหก แต่หากฝ่าบาทมีความสุขก็ไม่เป็นไรเพคะ เป็นเช่นนั้นเพคะ”
เขาคิดว่าน้ำเสียงแผ่วเบาของรยูฮาเหมือนเสียงเพลง หากว่ากันด้วยเนื้อเพลงที่ไพเราะที่สุดในเพลงนั้นก็คงเป็นคำว่า ‘สวามีของตัวเอง’
“แค่หม่อมฉันคิดผิด ความสุขที่สร้างมาจากการโกหก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเป็นสุขได้ ทั้งฝ่าบาท ทั้งจินซึงฮวีผู้น่าสงสาร ทรงจำนกตัวน้อยในกรงของพระพันปีตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหมเพคะ”
ริมฝีปากของฮอนยกขึ้นเล็กน้อยเพราะความทรงจำที่ลอยขึ้นมา เขายิ้มมองตามรยูฮาที่ตบเบาๆ ลงบนโต๊ะเสวยอย่างไม่รู้ตัวแล้วรีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว ในวันอากาศเย็นที่เดินเคียงคู่กันมานั้น ภายในใจของฮอนก็รับรยูฮาเข้ามาในฐานะคู่ชีวิต แม้ตอนนั้นเขาจะยังไม่รู้ตัวก็ตาม
“ตอนนั้นเจ้าเห็นนกแล้วก็อ่านใจของพระองค์ออก”
“จินซึงฮวีเหมือนนกตัวนั้นเพคะ นางเอาแค่รอคอยคนที่จะมาให้อาหารอย่างไม่คิดอะไรในสภาพที่ติดอยู่ในกรงหรูหรา ดังนั้นจึงให้นกอีกตัวไปเพื่อให้บินไปด้วยกัน ตอนนี้อาจจะกำลังดูแลกันและกัน และใช้ชีวิตในโลกกว้างใบนี้ ต่อให้ฝ่าบาทลงโทษหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่เสียใจที่ทำแบบนี้”
แชยอนมักจะจัดดอกไม้และนั่งรอเขาอยู่ตรงที่เดิมเสมอ แม้เสื้อผ้าไหมอันหรูหรา เครื่องประดับผมอันใหญ่โต และเครื่องประดับมากมายจะแสนหนักอึ้ง แต่ความกดดันของนางนั้นหนักมากกว่าน้ำหนักของของเหล่านั้นรวมกันเสียอีก ความรู้สึกรักและหวงแหนนางอาจจะเป็นความสงสารเห็นใจก็เป็นได้
“หากเจ้าไม่ชวยปล่อยนกตัวนั้น นกตัวนั้นก็คงตาย ถ้าคิดถึงความละอายใจนั้นแล้ว สิ่งที่ควรมอบให้เจ้าคือรางวัลไม่ใช่การลงโทษ บอกสิ่งที่เจ้าปรารถนามาเถิด”
รยูฮาแอบกระตุกยิ้มที่ตรงริมฝีปาก ถ้าทำสีหน้าแบบนั้นก็มักจะมีเรื่องแปลกๆ ออกมา ฮอนรอคอยคำตอบของรยูฮาอย่างนึกหวั่นใจ
“หม่อมฉันปรารถนาการเข้าหอเพคะ ฝ่าบาทจะส่งให้สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนาได้เมื่อไหร่กันเพคะ”
เป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา ดวงตาของฮอนสั่นไหวราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้นลงอย่างหนัก
“เจ้า เจ้า…ไม่อายบ้างหรือไร!”
ในระหว่างที่ต่อว่าเสียงดัง หัวใจที่ไม่ดูตาม้าตาเรือกลับควบคุมไม่ได้ หัวใจมันเคลื่อนที่ไปมาตามใจและรู้สึกเหมือนกับกำลังตีเข้าที่หัว ฮอนยกแก้วขึ้นดื่มในสภาพหน้าแดงไปถึงคอ แต่พร้อมกันนั้นความคาดหวังอันน่าประหลาดก็ตีตื้นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ถ้าเป็นเรื่องเข้าหอตอนนี้…”
“ไม่ ไม่ได้สิเพคะ ฝ่าบาทบอกว่าจะเอาสิ่งที่หม่อมฉันต้องการมาให้ แล้วจึงเข้าหอไม่ใช่หรือเพคะ”