น้ำเสียงของตู่กู้เซี่ยวอี้นั้นเหมือนกับเด็กที่โดนแย่งลูกอมไป หรือ …เหมือนกับน้ำเสียงของเด็กที่รอให้ผลไม้สุกอยู่ใต้ต้นไม้มาครึ่งปี แต่จากนั้น ก็มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้น มองไปยังผลไม้ … และเริ่มถกกันถึงการแบ่งปันผลไม้นี้โดยไม่สนใจเด็กที่รอคอยอยู่ก่อนหน้า
พวกเขาลืมข้าไป !
นางบ้าคลั่ง และรู้สึกผิด
จวินวูอี้ และอีกสองผู้เบิกตากว้าง และหัวเราะลั่นในเวลาเดียวัน การกระทำของสาวน้อยผู้นี้น่าเอ็นดูยิ่งนัก นางขับไล่ภาระอันหนักอึ้งในใจของจวินวูอี้ออกไปจนหมดสิ้น และทำลายความอับอายของ กวนเซียงฮั่น ที่มีอยุ่จนหมดไป
ทั้งสามมองไปที่นาง เช่นนั้น ตู่กู้เซี่ยวอี้อดที่จะตอบสนองไม่ได้ นางบุ้ยปาก และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ
” ของข้า ! ”
เมื่อนางเอ่ยจบ และรู้ตัวว่าได้ลืมเรื่องมารยาทของนางไป ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางและจวินโม่เซี่ยยังมิได้แม้แต่หมั้นหมายกัน เช่นนั้นนางจึงไม่อาจกระทำตัวไร้ความคิดแบบนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายสามจวิน ก็ใกล้จะถึงเวลาที่จักจบสิ้นชีวิตลงแล้ว นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นางไม่ควรสร้างความวุ่นวาย อีกทั้ง นางได้กระทำสิ่งนี้ในขณะที่นางได้เป็นพยานรู้เห็น เช่นนั้น แท้จริงแล้วนางไม่ควรทำเช่นนั้นเลย
ยิ่งไปกว่านั้น มีคำพูดใดหรือที่บอกถึงการแต่งงานของเขากับพี่สะใภ้ ? นางได้ลืมไปว่า สถานะของนางนั้นเป็นเพียงลูกสาวของ สกุลตู่กู้
เด็กสาวจึงอดไม่ให้หน้าแดงด้วยความเขินอายได้ นางรีบปล่อยมือออกจากแขนของจวินโม่เซี่ย กัดริมฝีปากเล็กน้อย และบิดตัวอับอาย เด็กสาวไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใดเพื่อแก้ไขมัน
นางอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยสิ่งใด จวินโม่เซี่ย กวนเซียงฮั่น และ จวินโม่เซี่ยไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใดเพื่อให้สิ่งต่างๆราบรื่น ทั้งสามยังไม่หายจากอาการตัวสั่นเนื่องจากกระทำที่กล้าหาญของเด็กสาว
ทั้งสามหยุดและมองตากันชั่วขณะ จากนั้น เด็กสาวก็กรีดร้องราวกับนก นางเอามือกุมหน้า ซึ่งตอนนี้รุ่มร้อนไปด้วยความอับอาย และวิ่งออกไปรราวกับโดนหมาวิ่งไล่ และจากนั้น มีเสียง “ตุ๊บ” ดังขึ้น แม้นว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่านางโดนอะไร
” โม่เซี่ย … ฮ่าฮ่า …. เจ้ามีเสน่ห์ยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าจะทำให้สมบัติล้ำค่าของ สกุลตู่กู้หึงหวงเจ้าด้วยอารมณ์เสน่หาได้! “
จวินวูอี้ยิ้มด้วยความปิติ กวนเซียงฮั่นอาจจะยังมิได้ตัดสินใจ แต่นางได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เด็กสาวตู่กู้นั้นได้มีความรู้สึกลึกล้ำกับหลานชายของเขา ชัดเจนว่าเขาสามารถละทิ้งความกังวลต่างๆเกี่ยวกับการแต่งงานของหลานชายได้ ยิ่งกว่านั้น ไม่มีผู้ใดลืมถึงภูมิหลังของสกุลของเด็กสาว ทั้งสองสกุลนั้นเเหมาะสมกันในเรื่องของสถานะทางสังคม องค์จักรพรรดิอาจต่อต้านสกุลของพวกเขา แต่ แม้แต่องค์จักรพรรดิจักต้องไตร่ตรองการกระทำของพระองค์ให้ดีขึ้นหาก สกุลจวินและสกุลตู่กู้มีสัมพันธ์กันโดยการแต่งงาน ความดีของหลานชายของเขาก็เป็นที่เหมาะสม เช่นนั้น ลุงก็คงไปยังอีกโลกหนึ่งได้ด้วยรอยยิ้ม … แม้นว่าร่างของเขาจักกลายเป็นซากศพโชคเลือดในวันพรุ่งนี้ มีเพียงสิ่งเดียวคือ …. มันอาจไม่มีโอกาสที่เขาจักได้ดื่มสุราในงานแต่งงานของหลายนชาย
คุณชายน้อยจวินอับอายยิ่งนัก เขาอ้าปากเอ่ยสองสามครั้ง แต่เขาก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อใดกันที่เขาได้กลายเป็นสิ่งของส่วนตัวของเด็กสาวผู้นั้น ในที่สุดเขาก็อ้าแขนและยักไหล่อย่างไร้ทางเลือก ดูราวกับเขาจะร้องไห้ ขณะที่ฝืนยิ้ม และเอ่ยขึ้นมาอย่างยยากลำบาก
” ข้าดูหล่อเหลา … นั้นมิใช่ปัญหาของข้า … ข้าจักผิดได้อย่างไร? “
สีหน้าของกวนเซียฮี่นเย็นชาอีกครั้ง นางคำรามทางจมูก และยืนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ จากนั้น ใบหน้าของนางก็เริ่มแดงก่ำ ความจริงมันเริ่มคล้ายดั่งเมฆสีแดงที่สดใส
จวินวูอี้ยิ้มอย่างมีความสุข เขารู้สึกว่า เขามิได้กระทำตัวอย่างมีเกียรติของผู้อาวุโส ยิ่งกว่านั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับลุกสาวบุญธรรมที่เขาเพิ่งรับมา … เขาฝืนยิ้ม และโบกมือขณะเอ่ย
” เจ้ากลับไปได้ ข้าต้องการคิดถึงเรื่องศึกวันพรุ่งนี้เงียบๆ ”
จวินโม่เซี่ย และ กวนเซียงฮั่นมองหน้ากัน และถอยออกไป คุณชายน้อยจวินต้องการเอ่ยบางอย่างกับ กวนเซียงฮั่น แต่นางหายไปอย่างไร้ร่องรอยขณะที่พวกเขาออกจากกระโจม เนื่องจากสีหน้าของนางอับอายและเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น
จวินโม่เซี่ยถอนใจยาว และเงยหน้าขึ้นไปมอ’ดวงจันทร์บนท้องฟ้า จากนั้นเขาแสร้งหลงตัวเองและหงุดหงิด จากนั้น เขาก้มหน้า และพึมพัมกะลิ้มกะเหลี่ย
” ข้าสามารถทำให้สาวงามเช่นนั้นหลงรักข้า ตัวตนอันงดงามของข้าทำให้สาวงามเเขินอาย หญิงสาวเเหล่านั้นต้องการหนีตามข้ามา ”
เขาเดินตรงไป และกลับไปยังกระโจมของเขาขณะเอ่ยวาจาชื่นชมตัวเอง
ภายในกระโจม ….
จวินวูอี้สะบัดปลอกแขน และดับแสงไฟภายในกระโจม ทั้งกระโจมถูกเปลี่ยนให้ดำมืด ไม่นานจากนั้น แสงจันทราอันอ่อนโยนเริ่มสาดเข้ามา ไส้เทียนที่เพิ่งดับไปยังคงส่งแสงสีส้ม ควันจางๆยังคงล่องลอยออกมา … ค่อยๆลอยหายไปในอากาศเบื้องบน
เงามืดของจวินวูอี้ในชุดสีดำค่อยๆหลบซ่อนเข้าไปในความมืด แต่มันยังคงไร้การเคลื่อนไหว …
สามพี่น้องตงฟางวางมือลบนกระบี่ในขณะที่พวกเขายืนอยู่ด้านนอก พวกเขาไม่เคลื่อนไหม และไม่เอ่ยวาจาใด พวกเขาตัดสินใจอยู่กับน้องชายของพวกเขาอย่างเงียบๆ
คืนนั้น อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่จวินวูอี้จักมีชีวิต … คืนสุดท้ายในชีวิตของ คุณชายสามจวิน พี่น้องร่วมสายเลือดของเขากำลังไปสู่แดนมรณะ จากนั้นขาก็จักอยู่ห่างไกลจากผู้ที่เคยใกล้ชิด แต่ วีรบุรุษ ก็มิได้อยู่เพียงลำพังแม้นจะเป็นช่วงเวลาสุดท้าย
พวกเราจักอยู่เป็นเพื่อนเขา !
กวนเซียงฮั่นยืนอยู่ไม่กลจากกระโจมขอจวินวูอี้ น้ำตาไหล่หยดลงมาจากใบหน้าอันงดงามของนางภายในความเงียบงัน นางยืนนิ่ง และไม่กล้าเอ่ยวาจาใจ
ท่านลุง … พ่อทูลหัว ท่านจักไม่โดดเดี่ยวในคืนนี้
คืนแรกที่นางได้เป็นลูกสาวของเขา อาจจะเป็นคืนสุดท้ายเช่นกัน …
ทั่วทั้งสนามเงียบสนิท กลองทหารที่มาจากกองทัพแห่งเทียนเชียง พวกเขาสวมหมวก และใส่ชุดเกราะ พวกเขายืนตัวตรงราวหอกอยู่ภภายกระโจมอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาาเป็นยอดบุรุษ แลมีแววตาที่กล้าหาญ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จักหายใจโดยไร้เสียง …
พวกเขามาเพื่อสู้รบ เช่นนั้นพวกเขาอาจถูกขอให้ละทิ้งชีวิตในการทำงานนี้ แต่ ผู้บัญชาการของพวกเขาเลือกที่จะบุชายัญตัวเองเพียงผู้เดียว
แม่ทัพจะออกรบพพรุ่งนี้
แต่คืนนี้เราจะอยู่เป็นเพื่อนเขา !
ท่านแม่ทัพจะไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ! วีรบุรุษไม่ควรอยู่เพียงลำพัง !
ขุนพลเลือด เป็นวีรบุรุษของเหล่าทหาร ชื่อนี้จักถูกสลักไว้ในหัวใจของเหล่าทหาร เช่นเดียวกับพี่ชายของเขา จวินวูเห่ย ขุนพลขาว ! พวกเขาจักอยู่อย่างอมตะภายในหัวใจของพวกเขา !
และสำเร็จของพกวเขาเช่นกัน …
ความสำเร็จของ ขุนพลเลือด ผู้เป็นตำนาน !
แสงอันงดงามและเยือกเย็นของจันทราค่อยๆคืบคลานและสาดส่องขึ้นบนท้องนภา มันอาบไปทั่งทั้งป่าและทิวเขารอบๆ นครสวรรค์ใต้ อย่างงดงงาม แต่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจักต้องมีคนหลั่งเลือดมากมายเท่าไหร่ในการต่อสู้วันพรุ่งนี้
ทันใดนั้น เงามืดจางๆ กระโดดนเข้าออกกระโจม และหายไปในอากาศ … ความจริงแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะหลอมลวมเข้าไปกับกระโจม สามพี่น้อง เทพเชวียนตงฟางยืนอยู่ใกล้ที่สุด พวกเขาสามารถรู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เหนือหัวของพวกเขาอย่างแผ่นเบา
แต่ พวกเขาต้องตกตะลึงเนื่องจากไม่พบร่องรอยของสิ่งใด … เขารู้สึกถึงมันอย่างแผ่วเบา แต่ เขามิได้สนใจ ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
มันอาจจะเป็นยอดมือสังหารผู้ที่ถูกส่งมาสังหารเขา แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นอาจเกิดขึ้นได้มิใช่หรือ ? เขาพร้อมเดินทางสู่ปรโลกแล้วด้วยการตายในวันาพรุ่งนี้ เช่นนั้น มันจะะเป็นเรื่องใหญ่อันใด ?
ดังนั้น เขาจึงมิได้สนใจ
และ ผู้อื่นก็มิได้รู้ถึงการเคลื่อนไหวนี้
ในที่สุด จวินโม่เซี่ย ก็ละะสายตาจากคนสุดท้ายที่เขาต้องการช่วยเหลือในการต่อสู้ และ เก็บขวดเล็กๆใส่กลับเข้ากระเป๋า
ข้าหวังว่า ขวดของกระเรียนคอยาวจะได้ผล ข้าจักต้องรับมือกับสายน้ำที่เชี่ยวกราดเพื่อช่วยเหลือทุกคนหากไม่เป็นเช่นนั้น
แต่ มันจะไม่เป็นเรื่องน่าประะหลาดใจหรอกหรือ หาากลุงสามกลับมาอย่างผลอดภัยในเมื่อเขาคิดว่ามันจะจบลง ?
แสงจันทราค่อยๆอ่อนลง และแสงทางทิศตะวันออกค่อยๆสว่างจ้า
แสงแห่งอรุณมักติดตามความมืดมิดอยู่เสมอ
จวินวูอี้ค่อยๆลุกขึ้น จากนั้น เขาเดินสองก้าว และนั่งลงบนเก้าอี้เลื่อนอย่างลังเล ตอนนี้ขาของเขาหายดีแล้ว การเคลื่อนไหวและฝีมือที่ใช้การไม่ได้ของเขาในช่วงหลายปีมานี้ได้รับบการฟื้นฟู แต่เขายังไม่อาจแสดงมันต่อหน้าทุกคนได้ในเวลานี้เนื่องจากมันอาจจะนำไปสู่ปัญหาที่ไม่จบสิ้นต่อสกุลจวินหากเขาทำเช่นนั้น ดังนั้น เขาจึงต้องหลับตาและตายด้วยหัวใจที่ขัดแย้งเช่นนี้ !
อย่างไรผลมันก็จะเป็นเช่นเดียวกันเนื่องจากข้าต้องเผชิญหน้ากับ อสูรเชวียนระดับสูงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรรข้าก็จะต้องตาย เช่นนั้น … จำเป็นอันใดที่จะต้องสร้างข้อกล่าวหาและปัญหาที่ไม่จำเป็นกับสกุลของข้า …
เขาค่อยๆหันเก้าอี้เลื่อนของเขาอย่างช้าๆ จากนั้น เขาก็โบกมือขวา และ กระบี่บรรพกาลก็ลอยขึ้นในอากาศและเข้าสู่มือของเขา เขาเลิกม่านและออกไป แต่ มีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ภายนอก สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจ ความจริง มันทำให้เขาสาะดุ้งเล็กน้อย
แม้แต่คนที่สงบนนิ่งเช่น จวินวูอี้ ก็ต้องหวาดกลัวต่อสิ่งที่เห็นอยู่ด้านนอก
พี่น้องตกฟางที่กำลังยืนอยู่ข้างนอก พวกเขากำลังรอ จวินวูอี้ ตงฟางเหวินชิง ยิ้มขณะที่เขารีบเดินมาข้างๆเขา และ เริ่มดันเก้าอี้เลื่อน มีผู้คนมากมายอยู่ทั้งสองฝั่ง นายทหารและผู้คนเกือบสองหมื่นยืนอยู่ทั้งสองฝั่ง พวกเขายืนเงียบๆอ่างเป็นระเบียบ ดวงตาของพวกเขาเผยถึงความเคารพขณะที่มันแดงก่ำไปด้วยความสะเทือนใจ
ดวงตาของจวินวูอี้ก็แดงเช่นกันขณะที่เขาเอ่ย
” เกิดอะไรขึ้น ? ทุกคนควรจะไปได้แล้ว มันไม่ใช่ว่าเราจะจากกันตลอดไป ! เช่นนั้น ทั้งหมดนี้คืออะไร ? “
ไม่มีผู้ใดขยับตัวเลยแต่น้อย ไม่ตายจากกันอะไรกัน ? พวกเขารู้ทุกอย่าง !
จวินวูอี้เงียบอยู่ชั่วครู่ เขามองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยมากมายทั้งสองฝั่ง สีหน้าของท่านแม่ทัพซับซ้อน และจากนั้นเริ่มสงบนิ่งขณะที่ออกคำสั่งอย่างนุ่มนวล
” ใครที่ควรไปออกศึกในวันนี้ กาวขึ้นมาข้างหน้า ! “
บุรุษสามร้อยก้าวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงจากคำสั่งของจวินวูอี้ มีเพียงไม่กี่คนที่ลังเลเล็กน้อยในตอนแรก แต่ในที่สุด พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะถอยหลัง ดังนั้น ตอนนี้จึงมี สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังของจวินวูอี้
ตงฟางเหวินชิงค่อยๆดันเก้าอี้เลื่อน และชายสามร้อยที่อยู่หลังเขาก็ก้าวตามไปด้วย พวกเขากำลังเคลื่อนตัวออกไป เมื่อมีเเสียงตะโกนมาขดจังหวะของพวกเขา
” เดี๋ยวก่อน ! “
จวินโม่เซี่ยแสดงสีหน้าจริงจังขณะที่เขาโบกมือ
” เราจะไม่ดื่มเพื่อส่งวีรบุรุษแห่งเทียนเชียงไปออกศึกได้อย่างไร ?! ข้ามีสุราชั้นดีที่คู่ควรกับโอกาสนี้ ! โม่เซี่ยต้องการให้เหล่าบุรุษปลอดภัยในการศึก และหวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างมีชื่อเสียง ! ”
มีใครบางคนปรากฏออกมาจาด้านหลังของจวินโม่เซี่ย คนผู้นี้ถือเหยือกสุราอยู่ จากนั้นมีคนอื่นๆปรากฏตัวขึ้น และยื่นจอกให้กับทุกๆคน จากนั้นสุราถูกรินใส่จอกเหล่านั้น
มีร่องรอยแห่งความโศกเศร้าในแววตาส่วนลึกของจวินโม่เซี่ย เขาอาจขัดแย้งกับพวกเขาบางคน แต่ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นยืนอยู่ด้านหลังของท่านลุง ยิ่งกว่านั้น พวกเขาก็ยืนอยู่ด้วยความภูมิใจแม้นจะรู้ว่าจะต้องตาย ความจริง ไม่มีพวกเขาคนใดตื่นกลัว
นั่นก็เพียงพอที่จะาได้รับความเคารพจากจวินโม่เซี่ย
พวกเขายืนหยัดต่อความทุกข์ยากเช่นนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ และ นี้ทำให้พพวกเขาเป็นวีรบุรุษ ! ความจริง มีเพียงคนเช่นนี้ที่คู่ควรกับคำว่า วีรบุรุษ !
วีรบุรุษไม่มีคำว่าดีหรือไม่ดี !
แต่ข้าขอโทษ ! ข้าสามาถช่วยเจ้าได้ ! มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับข้า แต่ข้าไม่อาจทำมันได้ ผู้คนจะต้องตายในการต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการต่อสู้ที่เราต้องพ่ายแพ้ …
เพื่อลุงสาม … เพื่อสกุลจวิน ข้ามิอาจช่วยเหลือเจ้าได้ !
ข้าขอโทษ