ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิงผู้บัญชาการมู๋ขมวดคิ้วขณะดูแถลงการณ์ตรงหน้า หน้าเขาไม่ได้ซีดหากกลับตึงด้วยความเครียด
  เลาหมิงที่อยู่ถัดไปกำลังสูบบหุรี่อยู่ก็เหลือบมองไปที่เลาเสี่ยวเสียวที่กำลังเล่นอยู่ด้านนอกผ่านทางหน้าต่างและเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังหรือเบาเกินไป “พวกเขามีความทะเยอทะยานมากและต้องการจะทำการประเมิณเมืองอันลูอย่างพิเศษ หึ! พวกมันไม่รอช้าที่จะยึดที่ทำเงินของชูฮันเลย”
  ผู้บัญชาการมู๋ดึงสายตากลับมาที่กระดาษแถลงการณ์ในมือ”ฉันควรจะคิดได้ว่าพวกลูกผสมมันไม่มีทางสร้างวงล้อมใหญ่ขนาดนี้เพื่อจัดการกับค่ายเขี้ยวหมาป่าโดยไม่มีเหตุผล? ดูเหมือนว่านอกจากจะมีพวกลูกผสมอยู่เบื้องหลัง มันยังมีกลุ่มอื่นเกี่ยวข้องอีก”
  ”เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่ามันเป็นสไตล์การยืมมือผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน”เลาหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ลูกผสมจะต้องมีคนที่อยู่เบื้องหลังเราคอยให้การสนับสนุนในการจัดการกับค่ายเขี้ยวหมาป่า แต่ยังไม่แน่ชัดว่าคือใคร? ทว่าคนพวกนี้ที่อยู่ในซางจิงจะต้องเป็นพวกที่ได้ผลประโยชน์จากการก่อความวุ่นวาย ดูเหมือนว่าพวกมันจะวางแผนที่จะจัดการกับชูฮันมานานแล้ว”
  ”ภารกิจลับของทีมหลงยาก็คือเพื่อลอบจัดการพวกที่เป็นหนอนบ่อนไส้พวกนี้ปัจจุบันมีเพียงแค่ค่ายจินหยางที่มอบการสนับสนุนให้กับค่ายเขี้ยวหมาป่า แต่ดูเหมือนว่าการช่วยเหลือก็น่าจะมีปัญหาเหมือนกัน” ผู้บัญชาการมู๋ส่ายหัวอย่างหมดหนทาง “ค่ายอื่นๆกำลังจับตาดูอยู่ จุดประสงค์ของพวกที่หวังร้ายต่อชูฮันในซางจิงก็เห็นได้ชัด รอแค่ค่ายเขี้ยวหมาป่าหายสาปสูญไป และรอตระครุบเมืองโรแมนติกมาไว้เป็นของตัวเอง เราต้องให้พวกมันได้แค่ฝันต่อไป”
  เลาหมิงสูดลมหายใจลึกแววตาเปล่งปลั่ง”คนในซางจิงพวกนี้คิดว่าในยุคโลกาวินาศ ดินแดนของจีนจะเป็นของพวกมันทั้งหมดตราบเท่าที่มันสามารถกำจัดพวกเราไปได้? เหอะ มองไม่เห็นความเป็นจริงเลยรึไง! มากไปกว่านั้น เสาหินประเมิณในเมืองโรแมนติกก็เป็นแค่การประเมิณสำหรับระยะ 2 เท่านั้น ตำแหน่งที่ตั้งก็ห่างไกลจากซางจิงอย่างมาก มันคิดว่าจะสามารถควบคุมได้แค่เพราะใจอยากเหรอ!”
  ”ฉันสนใจอีกสองประเด็นอื่นมากกว่า”ผู้บัญชาการมู๋ปิดเอกสารในมือตรงหน้าเงียบๆ ก่อนจะกอดอก “ข้อแรก ใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังลูกผสม? ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นผลประโยชน์ต่อมนุษย์มากกว่าพวกลูกผสม มันมีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างมนุษย์กับลูกผสมรึเปล่า? ข้อสอง สถานการณ์ของชูฮันตอนนี้เป็นยังไง?”
  ”คำถามแรกไม่สามารถตอบหรือวิเคราะห์ได้พวกมันอาจจะร่วมมือกับลูกผสมหรือว่ามีพลังที่เหนือกว่าควบคุมลูกผสมอยู่โดยที่เรามองไม่เห็น ที่จริงแล้ว ท่านและผมก็น่าจะพอจะเดาไว้แล้ว ถ้ามันพวกต้องการจัดการชูฮันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าชูฮันจะรอดมั้ย?” แววตาของเลาหมิงล้ำลึก “ส่วนคำถามที่สอง ที่ท่านอยากจะรู้จริงๆคือชูฮันยังไม่ตายจริงๆใช่มั้ยมากกว่า?”
  สัญชาตญาณของผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงบอกว่ามันมีข้อกังขาเกี่ยวกับการหายตัวไปของชูฮันในครั้งนี้หากพวกเขาไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสอะไรให้ไล่ตามได้เลย
  ค่ายหนานตู้ก็ล้มเมืองหนานตู้ก็กลายเป็นของลูกผสมและซอมบี้ เมืองอันลูก็ถูกซอมบี้ล้อมเอาไว้หมด ซางจิงก็มีหนอนบ่อนไส้และพวกจ้องจะยึดอำนาจ ทุกอย่างนั้นมุ่งตรงไปที่ราชาลูกผสมหมดด้วยเป้าหมายหลัก
  สำหรับผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองแผ่นดินยิ่งใหญ่นี้ไม่ยากเลยที่จะหาข้อสรุปเกี่ยวกับข่าวลือการตายอันน่าสงสัยของชูฮันเพราะฉะนั้นหลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้งคู่จึงได้ตัดสินใจส่งเหอเฟิงไปที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าเพื่อคุมสถานการณ์
  ที่ปัญหาในตอนนี้ยังสามารถจัดการได้เพราะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าชูฮันยังมีชีวิตอยู่และอิงจากการคาดการณ์ของผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิง เป้าหมายแท้จริงของลูกผสมในครั้งนี้คือการทำลายล้างเขี้ยวหมาป่าทั้งหมดให้สิ้นซากนั้นเอง
  ชูฮันบุคคลที่สำคัญที่สุดในเหตุการณ์นี้ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยมากกว่าเดือนหนึ่งแล้ว ไม่มีเบาะแสใดๆเลยทั้งสิ้น ราวกับว่าข่าวลือที่ลือไปทั่วนั้นเป็นเรื่องจริง
  ในขณะที่ผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงกำลังไร่เรียงลำดับเหตุการณ์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาอยู่ภายในห้องจู่ๆประตูก็เปิดออกอย่างด้วยการผลักเข้ามาจากด้านนอก ตามมาด้วยร่างของคนคนหนึ่งที่แสดงความไม่เป็นมิตรออกมาชัดเจน
  ”ผู้บัญชาการมู๋”น้ำเสียงนั้นเหยียดๆและสีหน้าที่ไร้ซึ่งความเคารพชัดเจน ชายที่ดูอายุไม่เกิน 30 ปี ไม่มีตราเครื่องหมายใดๆบนชุด แต่กลับสามารถเดินฝ่าเข้ามาถึงชั้นในสุดของซางจิงซึ่งมีถึงห้าชั้นได้ง่ายๆ
  แววตาของผู้บัญชาการมู๋วาววับก่อนจะมองผู้มาใหม่นิ่งๆ และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกดดัน “อ๋อ หวังเฉินนี่เอง มีอะไร?”
  เลาหมิงมองอีกฝ่ายด้วยสายเหยียดๆกลับไปหลังจากที่เกิดโลกาวินาศผ่านมาสองปี ทั้งซางจิงก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แม้แต่ผู้บัญชาการมู๋ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ในขณะที่หวังเฉินชายอายุ 27 ปีที่มีความสามารถกลางๆไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย จู่ๆก็ก้าวขึ้นมาเป็นคนที่มีผู้มีอำนาจในซางจิงสนับสนุนอย่างมาก แม้แต่การประชุมระดับสูง หวังเฉินก็เป็นหนึ่งในตัวแทนภายใต้อำนาจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ไม่มีใครรู้ว่าหวังเฉินเป็นตัวแทนของฝั่งไหน หรือมีไผ่ลับอะไรในมือ?
  นอกจากหวังเฉินมันยังคนอื่นอีกในซางจิง เหย่จือโปที่ค่อนข้างมีอำนาจไม่น้อยในซางจิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าจู่ๆเหย่จือโปก็หายตัวไปกระทันหันอย่างน่าสงสัย และหวังเฉินก็ก้าวขึ้นมาโดดเด่นท่ามกลางทุกคน เขาไม่มีแม้แต่ยศตำแหน่งทางทหาร แต่กลับมีตำแหน่งในซางจิง
  รวมถึงการมายังห้องทำงานของผู้บัญชาการมู๋โดยไม่เคาะประตูเลยเช่นในตอนนี้มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นในซางจิงที่กล้าทำเช่นนี้ ทำไมคนที่ไม่มีอำนาจทางทหารหรือยศตำแหน่งอะไรเลยถึงได้กล้าทำอะไรเช่นนี้ในซางจิง? ซางจิงในตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกคนนี้หมดแล้ว สถานการณ์มันมืดมนจนแทบหาแสงสว่างไม่เจอ
  หวังเฉินแสยะยิ้มผ่านแววตาใช้สายตาน่ารังเกียจกวาดมองโต๊ะของผู้บัญชาการมู๋อย่างไม่รักษามารยาท ก่อนจะเดินเข้ามาอย่างไม่ลังเลด้วยท่าทางไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง เอื้อมมือมาพลิกกระดาษที่วางอยู่ดู
  ”ยังไม่ประทับตราอีก?”หวังเฉินไม่แม้แต่จะทำวัทยาหัตถ์เพื่อแสดงความเคารพก่อนด้วยซ้ำ น้ำเสียงที่ใช้ก็สบายๆเหมือนคุยกับเพื่อน มองเหยียดลงใส่ผู้บัญชาการมู๋ “แถลงการณ์นี้มีอะไรต้องแก้ไขงั้นเหรอครับ?”
  ผู้บัญชาการมู๋รู้สึกถึงความกดดันของชายหนุ่มตรงหน้าหากเขาเลือกที่จะไม่แสดงอารม์ใดๆออกมา เพียงแค่เคาะนิ้วลงกับโต๊ะไปเรื่อยๆ “ตัวแทนของซางจิงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเมืองอันลู แถลงการณ์นี้กล่าวว่าอ้างอิงมาจากหลักฐานที่สมเหตุสมผล ถ้าเช่นนั้นความจริงแล้วตัวเมืองอันลูเองไม่ได้มีมูลค่าในตัวเอง แต่เป็นเพราะเสาหินประเมิณระยะ 2 ทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไป”
  ”ผมก็คิดว่าอย่างนั้น”หวังเฉินไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการพูดเช่นนี้ของผู้บัญชาการมู๋ เขานิ่วหน้าและถามต่อ “นอกจากนั้น ตอนนี้เมืองอันลูเป็นเมืองที่มีซอมบี้อยู่น้อยที่สุดในประเทศเมื่อเทียบกับที่อื่นๆในพื้นที่เดียวกัน ดังนั้นจึงบอกได้ว่าพื้นที่เป็นพื้นที่หายาก มีทั้งที่พักสำหรับชาวบ้าน เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เหตุผลให้ซางจิงต้องละทิ้งสถานที่นั้นไปอย่างเปล่าประโยชน์”
  ”แต่นี้มันไม่ใช่ยุคศิวิไลว์พลเอกทั้งหลายในทุกภูมิภาคมีอำนาจการควบคุมในเขตแดนของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ ซางจิงไม่มีอำนาจไปแทรกแซง หน้าที่ของซางจิงคือการดูแลประสานและให้ความร่วมมือในการติดต่อสื่อสารและการขนส่งระหว่างแต่ละดินแดน ทว่าแต่ละดินแดนจะมีอิสระในการปกครองดูแลตัวเองโดยไม่ต้องขึ้นต่อซางจิง” เลาหมิงยกบุหรี่ขึ้นมาดูดก่อนจะพ่นควันสีเทาออกมาในอากาศจนมันบดบังแววตาที่แท้จริงของเขา “ถ้าฉันจำได้ถูกต้อง เมืองอันลูดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ในอำนาจการดูแลพิเศษของพลเอกชูฮัน”
  สิ่งที่เลาหมิงพูดนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีกันอยู่แล้วแต่ทั้งสองฝ่ายแสร้งทำเป็นไขสือเท่านั้นเอง