“เอาล่ะ..ทุกคนคงจะเหนื่อยมากมากแล้ว ใครอยากจะเล่นน้ำทะเลก็เชิญตามสบาย!’
หลิงหยุนพูดพร้อมกับโบกมือเชื้อเชิญให้สมาชิกทั้ง72 คนที่ผ่านการทดสอบลงเล่นน้ำทะเลกันได้ตามสบาย
“ขอบคุณหัวหน้าใหญ่!”
ทั้งหมดยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปีเท่านั้นแต่สามารถทนต่อการทดสอบทั้งสามด่านมาได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว เมื่อได้ยินหลิงหยุนเอ่ยปากเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่ต่างจากลูกแกะที่ถูกปล่อยออกจากคอก..
และในเมื่อทั้งเจ็ดสิบสองคนผ่านการทดสอบไปได้พวกเขาก็จะไม่ใช่คนของแก๊งมังกรเขียวอีกไป และนับจากนี้ทั้งหมดก็คือคนของหลิงหยุน!
“ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าสองคนนั่นจะผ่านการทดสอบทั้งสามด่านไปได้!”
อาปิงพูดขึ้นและนึกชื่นชมในสายตาที่แหลมคมของตี้เสี่ยวอู๋ เขาแอบจับตามองเด็กหนุ่มสองคนที่เป็นลมอย่างเงียบๆ และในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถผ่านการทดสอบเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองคนได้อย่างน่าทึ่ง..
“เสี่ยวอู๋..อาปิง.. ไปเดินเล่นชายหาดกันดีกว่า!”
จากนั้นหลิงหยุนถังเมิ่ง อาปิง และตี้เสี่ยวอู๋ ทั้งสี่คนต่างก็เดินไปตามชายหาด จ้องมองคลื่นที่ซัดเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า จากนั้นหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า..
“อาปิง..ฉันมีบางเรื่องจะต้องบอกนาย จากนี้ไปแก๊งมังกรเขียวคงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่!”
หลิงหยุนไม่ต้องการอ้อมค้อมให้เสียเวลาจึงพูดกับอาปิงอย่างตรงไปตรงมา..
อาปิงได้ฟังก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปก่อนจะถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ“เปลี่ยนรูปแบบงั้นเหรอ หมายความว่ายังไงกันพี่หยุน?”
ถังเมิ่งยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดแทรกออกไปทันที“เจ้างั่งเอ๊ย! พี่หยุนก็หมายถึงว่าจากนี้ไปแก๊งมังกรเขียวคงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ถูกต้องตามกฏหมาย และขาวสะอาดขึ้นน่ะสิ! นายเข้าใจหรือยัง”
“อะไรนะ!”
ทั้งอาปิงและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกัน..
“พี่หยุน..เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
สำหรับตี้เสี่ยวอู๋แล้วแก๊งมังกรเขียวเปรียบเสมือนบ้านที่เติบโตมา จึงอดที่จะตกใจกับข่าวนี้ไม่ได้
หลิงหยุนตบบ่าตี้เสี่ยวอู๋เบาๆพร้อมกับพูดยิ้มๆ “วันนี้ฉันไปพบลุงหลี่กับลุงถังมา และนี่เป็นคำขอร้องของพวกเขาทั้งคู่!”
“อ่อ..ฉันพอเข้าใจแล้ว!” ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจในสถานการณ์
หลิงหยุนหันไปมองอาปิงพร้อมกับถามขึ้นว่า“อาปิง.. แล้วนายล่ะ”
“เอ่อ..”
อาปิงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเกาศรีษะและตอบกลับไปว่า “พี่หยุน.. ความจริงฉันเองก็เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน!”
“งั้นรึ”หลิงหยุนนึกประหลาดใจเล็กน้อย..
อาปิงเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าของแก๊งมังกรเขียวแต่กลับมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นในใจ มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่ตกใจ
หลิงหยุนถังเมิ่ง และตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับหันไปมองหน้ากัน เมื่อได้ฟังคำอธิบายของปิง..
อาปิงได้อธิบายให้หลิงหยุนกับทุกคนฟังว่าตั้งแต่เขาเข้ามรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวนั้น พ่อของเขาเองก็ยังไม่รู้เรื่อง และหากพ่อของเขารู้เรื่องเข้า ก็คงต้องพาทหารมาจับตัวเขากลับไปหักแข้งหักขาแน่ๆ!
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าและคิดว่าอาปิงคงจะกลัวพ่อน่าดูทีเดียว จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ..ยังไงก็คงต้องทำตามที่ลุงหลี่กับลุงถังขอร้อง.. โถงมังกรก็คงเปลี่ยนเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย และรับจ้างเป็นบอดี้การ์ด โถงมนุษย์ก็คงแยกเป็นบริษัทตามประเภทธุรกิจไป..”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “แต่เรื่องนี้ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่บริษัทเทียนตี้จะก่อตั้งเสร็จ..”
ตอนนี้ทั้งหลิงหยุนและตี้เสี่ยวอู๋ยังอยู่ในจิงฉูหากคนในแก๊งมังกรเขียวไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่คนเก่าคนแก่ข้างในมีปัญหา ทั้งคู่จะได้สามารถช่วยกันจัดการแก้ปัญหาให้ได้ในทันที..
อาปิงถามขึ้นอีกครั้ง“พี่หยุน.. หลังจากปรับเปลี่ยนรูปแบบของแก๊งแล้ว งั้นเรื่องอื่นๆล่ะ”
หลิงหยุนยิ้มให้อาปิงพร้อมกับตอบไปว่า“ก็แค่เปลี่ยนรูปแบบ อะไรที่ควรทำก็ทำเหมือนเดิม ศูนย์บัญชาการของแก๊งมังกรเขียว กับห้องกำยานก็ยังคงต้องอยู่คู่กับแก๊งมังกรเขียวต่อไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง..”
“พี่หยุน..แล้วสมาชิกทั้งเจ็ดสิบสองคนนั่นล่ะ”
หลิงหยุนหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดสิบสองคนที่ส่งเสียงร้องกันอย่างตื่นเต้นสนุกสนานพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ทั้งเจ็ดสิบสองคนต้องออกจากแก๊งมังกรเขียว!เพียงแต่ช่วงนี้ฉันมอบให้นายเป็นคนดูแลพวกเขาไปก่อน..”
“เสี่ยวอู๋..ส่วนนายมีหน้าที่ฝึกวรยุทธให้กับพวกเขา!”
หลิงหยุนจัดการมอบหมายงานให้อาปิงกับตี้เสี่ยวอู๋รับผิดชอบกันคนละส่วน
“พี่หยุน..แล้วเรื่องลุงหลงล่ะ”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย“ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง นายไม่ต้องเป็นห่วง!”
………
“เสี่ยวอู๋..อาปิง.. พวกนายจัดการส่งทุกคนกลับไปได้!”
“เสี่ยวอู๋..ก่อนที่จะส่งทุกคนกลับไป นายทำหน้าที่กล่าวอะไรกับพวกเขาสักสองสามคำแทนฉันด้วย!”
หลังจากนั้นราวห้าโมงเย็นหลิงหยุนกับถังเมิ่งก็ขับรถตรงกลับไปยังบ้านเลขที่-1 ทันที
“พี่หยุน..คืนนี้ฉันอยู่เป็นเพื่อนพี่ไม่ได้ เย็นนี้มีงานเลี้ยง แล้วฉันก็จำเป็นต้องเข้าร่วมด้วย!” ถังเมิ่งร้องบอกอย่างนึกเสียดายขณะที่เดินลงจากรถ
“ฉันก็ไม่ได้อยากให้นายอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้วเชิญนายกลับไปได้แล้ว!”
หลังจากถังเมิ่งกลับออกไปแล้วหลิงหยุนก็เปลี่ยนมาขับรถของตนเองออกไปแทน และมุ่งหน้าไปที่คลินิกสามัญชน..
นับจากวันที่คลินิกสามัญชนถูกวางระเบิดมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ผ่านมากว่ายี่สิบวันแล้ว อาคารที่ก่อสร้างใหม่ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว..
“เกือบจะเหมือนเดิมแล้วสินะ..”หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับพึมพำออกมา
“หลิงหยุน!”
เหยาลู่ได้ที่อยู่ข้างในเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของหลิงหยุนก็รีบวิ่งออกมาทันที และร้องตะโกนเรียกหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้คุณมาดูแลการก่อสร้างด้วยตัวเองทำไมคุณถึงไม่เชื่อฟัง?”
หลิงหยุนยิ้มกว้างในขณะที่ยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่ติดอยู่บนใบหน้าให้กับเหยาลู่..
“วันหลังถ้าเบื่อก็ไปหาอะไรทำแก้เบื่อกันก็ได้!”
จู่ๆหลิงหยุนก็ดึงตัวเหยาลู่เข้ามากอดไว้ พร้อมกับกระซิบข้างหูเบาๆ จนเธอถึงกับเขินอาย และเลี่ยงไปถามเรื่องอื่นแทน
“นายมาที่นี่ได้ยังไง”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“คุณไม่ไปหาผมเลย ผมคิดถึงก็เลยเป็นฝ่ายมาหาคุณที่นี่!”
ใบหน้างดงามของเหยาลู่นั้นแดงก่ำพร้อมกับตอบเสียงเบา “ใครบอกล่ะว่าฉันไม่อยากไปหา..”
“ผมเชื่อ!ว่าแต่ทุกคนต่างก็ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่-9 กันหมด ทำไมคุณถึงไม่ยอมไปอยู่ด้วยล่ะ”
เหยาลู่ได้แต่ตอบหลิงหยุนอายๆ“ตอนที่นายนอนบาดเจ็บไม่รู้ตัว ฉันกับพี่เมิ่งหานได้บอกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับน้าหญิงไปแล้ว..”
ต่อให้เหยาลู่ไม่อธิบายต่อ..หลิงหยุนก็เข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวทั้งสองคนได้ดี ในเมื่อตอนนี้หลิงหยุนเองก็รู้สึกตัวแล้ว ทั้งคู่ใหนเลยจะกล้าอาศัยอยู่ร่วมกับทุกคนในบ้านต่อไป!
หากอยู่ต่อไปทั้งคู่ก็มีแต่จะรู้สึกอับอายขายหน้า..
หลิงหยุนจึงเปลี่ยนมาชวนคุยเรื่องการตกแต่งคลินิกแทนหลังจากนั้นหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า
“คุณโทรไปบอกเมิ่งหานเรียกเธอออกมากินข้าวเย็นด้วยกันดีกว่า..”
เหยาลู่แลบลิ้นเลียริมฝีปากทันทีพร้อมกับตอบไปว่า“พี่เมิ่งหานกลับไปบ้านตัวเองแล้ว และช่วงนี้ก็เอาแต่ฝึกวิชา นี่ก็ปิดมือถือไปแล้ว!”
หลิงหยุนกับเหยาลู่จึงไปทานอาหารด้วยกันเพียงลำพังระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องส่วนตัวนั้น หลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า
“เหยาลู่..ตอนนี้คุณเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 แล้ว รู้สึกยังไงบ้าง”
“สิ่งแรกเลย..ฉันสามารถสัมผัสสิ่งรอบตัวได้ราวกับมองเห็นมันได้ด้วยตาตัวเอง”
“อ่อ..นั่นเรียกว่าจิตหยั่งรู้..”
“ยังมีอีกเรื่อง..ฉันรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองสามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับผืนดินได้..”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดัง“ถูกต้องแล้ว!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงถามต่อว่า“เหยาลู่.. ตอนนี้คุณเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะอย่างแท้จริงแล้ว คุณยังรู้สึกว่าคลินิกสามัญชนมีความสำคัญกับคุณอยู่หรือไม่”
เหยาลู่ตอบกลับมาทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด“มันสำคัญกับฉันมาก หากไม่มีคลินิกแห่งนี้ ฉันก็ไม่สามารถเป็นผู้หญิงของนายได้..”
หลิงหยุนถึงกับใจสั่นและถามขึ้นว่า“หลังจากนี้อีกราวครึ่งเดือน ถ้าผมต้องไปจากจิงฉู คุณจะไปกับผมมั๊ย”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบหลิงหยุนถึงกับใจสั่นระหว่างที่รอคำตอบ และแล้วเหยาลู่ก็ส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธเสียงเบา..
“หากนายหมายถึงปักกิ่ง..ฉันจะไม่ไปกับนาย! หลิงหยุน.. ถึงแม้นายจะไม่บอกอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าที่นั่นมีเรื่องใหญ่โตหลายเรื่องที่รอให้นายไปจัดการ ฉันในฐานะทีเป็นผู้หญิงของนาย จึงไม่อยากไปเป็นภาระให้นายต้องเป็นห่วง..”
“ฉันขออยู่เฝ้าคลินิกสามัญชนและค่อยๆฝึกฝนวิชาไปแบบนี้จะดีกว่า..”
“อีกอย่างปักกิ่งก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง..นั่งเครื่องบินเดี๋ยวเดียวก็ถึง นายทำไมต้องซีเรียสแบบนี้ด้วย!”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จหลิงหยุนก็ไปส่งเหยาลู่ที่บ้าน และได้เล่าเรื่องที่หลงคุนกับหลงหวู่หายตัวไปให้เหยาลู่ฟัง และบอกกับเธอว่าตนเองกำลังจะไปสำรวจที่บ้านของหลงคุน..
“ฉันไปด้วย!”
“ไม่ต้อง..คุณรอผมอยู่ที่นี่!”
จากนั้น..หลิงหยุนก็ออกจากบ้านของเหยาลู่ไปโดยไม่ใช้รถ เขาไปด้วยวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้ และเพียงไม่นานก็ไปหยุดอยู่หน้าบ้านของหลงคุน
ทันทีที่ไปถึง..หลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกสำรวจสวนด้านหน้าอย่างละเอียดทันที..
และด้วยอานุภาพจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเขาก็สำรวจพบกล้องวงจรปิดที่มีขนาดเล็กเท่าหัวเข็ม ซึ่งแอบซ่อนอยู่ภายในสวนได้พบ..
“เช่นนั้นก็ต้องมีคอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่บันทึกข้อมูลน่ะสิ..”
และหากหลิงหยุนสามารถหาที่เก็บบันทึกข้อมูลของกล้องวงจรปิดพบเขาก็จะรู้เรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง
หลิงหยุนผลักประตูบ้านเข้าไปด้านในและเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูที่ห้องนั่งเล่นอย่างละเอียดอีกครั้ง
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ภาพมังกรตัวใหญ่กลางห้องรับแขกโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของมัน แต่ถึงแม้ดวงตาของมันจะดูราวกับมีชีวิตมากเพียงใด แต่ด้านหลังก็เป็นเพียงแค่ผนังหินที่แข็งแกร่งเท่านั้น..
“ไม่พบอะไรในห้องนั่งเล่นเลย!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงเดินเข้าไปสำรวจในห้องนอนของหลงคุนอีกครั้งและทันทีที่เขาเข้าไป จิตหยั่งรู้ของเขาก็สำรวจพบห้องลับทันที!
“มีห้องลับจริงๆด้วย!”
และห้องลับที่ว่านี้ก็อยู่ใต้เตียงนอนของหลงคุนนั่นเองมันคือห้องใต้ดิน!
ใต้เตียงนอนของหลงคุนนั้นมีกระเบื้องขนาดแปดสิบเซ็นติเมตรเชื่อมต่อกันอยู่ทั้งหมดสี่แผ่น หากดูผิวเผินก็คล้ายกับกระเบื้องธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วมันสามารถเคลื่อนที่ได้..
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจหาปุ่มสำหรับเปิดประตูทางเข้าห้องใต้ดินและพบว่ามันอยู่ที่หัวเตียงของหลงคุน มีลักษณะคล้ายกับสวิชไฟ แต่ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดมาก..
หลิงหยุนยิ้มออกมาและเอื้อมมือไปกดปุ่มสวิชนั้นทันที..
ครืน..
กระเบื้องทั้งสี่แผ่นค่อยๆเคลื่อนตัวเปิดออกจากกัน กลายเป็นช่องสี่เหลี่ยมกว้างราวหนึ่งเมตรได้..
หลิงหยุนไม่รีรอ..เขามุดลงใต้เตียง และรีบก้าวเท้าลงไปในช่องสี่เหลี่ยมนั้นทันที แล้วค่อยๆ ไถลตัวลงไปที่พื้นด้านล่าง
ด้านล่างนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมซึ่งมีขนาดเล็กกว่าห้องนอนของหลงคุนภายในมีโต๊ะกับกับเก้าอี้ บนโต๊ะมีจอคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่สามจอ แล้วรอบๆก็มีชั้นวางหนังสือซึ่งมีหนังสืออยู่เต็มไปหมด.. novel-lucky
เนื่องจากหลงคุนเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ห้องใต้ดินจึงสูงกว่าสองเมตร ทำให้หลิงหยุนสามารถยืนได้อย่างสบายๆ โดยไม่รู้สึกอึดอัด
หลิงหยุนนั่งลงบนเก้าอี้..และสังเกตเห็นว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งสามยังคงเปิดค้างไว้ มันเป็นภาพของกล้องวงจรปิดภายในบ้านทั้งหมดของหลงคุน ซึ่งมีทั้งภาพที่สวนหน้าบ้าน ภาพจากห้องนั่งเล่น และภาพภายในห้องนอนของเขาเอง..
แต่แน่นอนว่าไม่มีภาพภายในห้องนอนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของหลงหวู่..
เห็นได้ชัดว่า..หลงคุนน่าจะคอยสำรวจดูกล้องวงจรปิดอยู่เสมอๆ แต่คงไม่ใช่คอยระแวดระวังโจรอย่างแน่นอน..
หลิงหยุนเคยทำงานอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่มาก่อนและมีหน้าที่คอยดูแลระบบกล้องวงจรปิดภายในร้าน ในเมื่อความทรงจำของเขากลับคืนมาแล้ว เขาจึงมีความชำนาญในเรื่องกล้องวงจรปิดเป็นอย่างมาก..
หลิงหยุนคำนวณเวลาในใจคร่าวๆและเริ่มไล่ดูข้อมูลตั้งแต่คืนที่คลินิกสามัญชนเกิดระเบิด..
เขานั่งไล่ดูมาเรื่อยๆแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติจนกระทั่งเวลาเที่ยงคืนของวันที่อาปิงส่งหลงหวู่กลับบ้าน..
คืนนั้น..หลงคุนกำลังคุยกับชายวัยกลางคนแปลกหน้าสองคน
“คืนนั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงๆด้วย!”
หลิงหยุนรีบกดปุ่มเปิดเสียงทันทีและเขาก็ได้ยินว่าทั้งคู่พูดจาอะไรกันบ้าง
“หลงคุน..เจ้าควรกลับเข้าตระกูลได้แล้ว! ผู้นำตระกูลได้ประชุมกับสมาชิกอาวุโสทุกท่าน และได้ข้อสรุปว่าตราบใดที่เจ้ายอมมอบกุญแจดอกนั้นมา ผู้นำตระกูลจะไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมา และยังจะมอบทุกอย่างคืนให้กับเจ้า รวมทั้งจะคืนตำแหน่งอาวุโสของตระกูลให้กับเจ้าด้วย และยังจะช่วยรักษาเส้นลมปราณของเจ้าให้เจ้ากลับมาเหมือนเดิม..”
หลงคุนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกทำจากไม้สีหน้าไม่เพียงมีรอยยิ้มขบขัน แต่ยังเป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเหยียดหยัน..
“ส่งมอบกุญแจงั้นรึข้าไม่เข้าใจ? ข้าบอกไปอย่างชัดเจนแล้วว่าข้าไม่มีสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ และต่อให้พวกเจ้าไม่เชื่อ ส่งคนมาสังหารข้าถึงที่นี่ ก็คงจะเอาไปได้แต่ชีวิตของข้าเท่านั้น!”
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มเยาะและคิดในใจว่าที่แท้ก็เป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันภายในตระกูลนี่เอง..!
ในเมื่อหลงคุนมีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการชีวิตของหลงคุนกับหลงหวู่ก็น่าจะยังปลอดภัยดี!
ชายวัยกลางคนแปลกหน้าถึงกับถอนหายใจ“หลงคุน.. เจ้าต้องรู้ว่าผู้นำตระกูลรักและเมตตาเจ้ามากเพียงใด ไม่เช่นนั้นมีหรือที่เจ้าจะสามารถซ่อนตัวอยู่ในจิงฉูได้อย่างสบายมานานหลายปีเช่นนี้”
“หากไม่ใช่เพราะท่านผู้นำตระกูลเจ้าสองคนพ่อลูกคงต้องถูกพวกเรานำกลับไปลงโทษตามกฏของตระกูลแล้ว!”
จากนั้นชายแปลกหน้าที่มีหนวดเคราก็พูดขึ้นอย่างหมดความอดทน“หลงคุน.. ขอบอกกับเจ้าตามตรง ท่านผู้นำตระกูลไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ เขายังเชื่อว่าเจ้าจะเห็นแก่ตระกูล และสักวันเจ้าจะต้องสำนึกผิด”
หลงคุนพูดขึ้นเสียงเบา..“แต่พวกเจ้าก็ยังมาหาข้าถึงที่นี่”
ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่าเดิม
“ความจริงแล้วของสิ่งนั้นก็คือกุญแจสำหรับเปิดสุสานมันมีความสำคัญกับตระกูลหลงมาก เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจแจ่มแจ้งดีกว่าใครๆ ผู้นำตระกูลอดทนกับเรื่องนี้มานานหลายปี แต่เวลานี้ทั้งพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิก็ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ไม่นานประเทศนี้คงต้องสั่นคลอน และเมื่อถึงตอนนั้นตระกูลหลงจะยืนหยัดเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในประเทศจีนได้อีกต่อไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกุญแจดอกนี้เท่านั้น เจ้ายังจะทนนิ่งเฉยได้อีกงั้นรึ”
“เป็นตระกูลหลงจริงๆด้วย!”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของชายวัยกลางคนมีหนวดเคราก็ถึงกับตกใจจนต้องลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ทันที!
‘หลงคุนเป็นคนของตระกูลหลงจริงๆ!’
‘แต่กุญแจที่ว่านั้น..มันคือกุญแจอะไรกัน’
“ใช่ว่าข้าจะไม่ต้องการมอบให้กับพวกเจ้าแต่มันไม่อยู่กับข้าจริงๆ! หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็เชิญค้นที่นี่ได้ตามสบาย!”
หลงคุนร้องบอกพร้อมกับผายมือท้าทายให้ค้นบ้านของตนเอง..
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดความคิดหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาในใจ
“หรือว่าจะเป็นป้ายหยกมังกรนั่น!”
หลิงหยุนยังจำได้ว่าในคืนวันเปิดคลินิกนั้นหลงคุนได้มอบป้ายหยกชิ้นหนึ่งให้กับเขามันคือป้ายหยกมังกรเขียว และคำพูดของหลงคุนในวันนั้นก็ยังตราตรึงอยู่ในจิตใจของหลิงหยุนไม่ลืม..
‘ป้ายหยกล้ำค่านี้ซ่อนความลับไว้มากมายไว้วันที่เธอแข็งแกร่งมากพอ ให้ไปพบฉัน.. แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง!’
‘แต่ในระหว่างที่ความสามารถของเธอยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องดูแลตัวเองได้นั้นก็ให้เก็บป้ายหยกนี้ไว้อย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ เข้าใจมั๊ย’
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปและได้แต่คิดในใจว่าดูเหมือนตระกูลหลงกำลังเสาะหาป้ายหยกมังกรเขียวนี้อยู่!
และป้ายหยกมังกรเขียวนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกุญแจสำหรับเปิดสุสานว่าแต่สุสานอะไรกัน?! และอยู่ที่ใหน?!
และหากป้ายหยกมังกรเขียวนี้เป็นกุญแจสำหรับเปิดสุสานจริงข้างในจะมีสมบัติล้ำค่ามากเพียงใดกันนะ!
“ห๊ะ!นี่ลุงหลงมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้กับข้าเชียวรึ?”
หลิงหยุนได้แต่สาบานอยู่ในใจว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องช่วยหลงคุนกับหลงหวู่ออกมาให้ได้ แม้จะต้องเป็นศัตรูกับตระกูลหลงก็ตาม!
“พ่อคะ..หนูกลับมาแล้ว!”
หลงคุนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที และรีบทำปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตบอกหลงหวู่ให้รีบหนีไป..
“คิดว่าจะหนีรอดงั้นรึ”
ชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดยิ้มๆพร้อมกับกระโดดออกไปจี้จุดหลงหวู่ไว้ และนำตัวกลับเข้ามาในบ้านทันที
“หลงคุน..เจ้าจะมอบของให้ข้าหรือไม่”
หลงคุนเห็นลูกสาวถูกจับตัวไว้ก็ได้แต่นึกสึกเสียใจ แต่ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งไม่หวาดหวั่น..
“หลงหวู่ไม่เพียงแซ่หลงแต่ยังนับว่าเป็นคนของตระกูลเฟิง หากเจ้ากล้าทำร้ายนางแม้แต่ปลายเล็บ.. ก็ลองดู!”
หลงคุนไม่มีทางเชื่อว่าผู้นำตระกูลหลงจะเมตตาไว้ชีวิตเขาอย่างที่ลั่นวาจาและต้องเรียกว่ารอเวลาที่จะชำระแค้นตนจึงน่าจะถูกต้องกว่า หลงคุนรู้ว่าตลอดหลายปีที่คนตระกูลหลงหยุดไล่ล่าเขานั้น ก็เป็นเพราะตระกูลเฟิงห้ามไว้..
“หึ..หากเจ้ายังดื้อดึง! ก็อย่าว่าท่านหัวหน้าตระกูลโหดร้ายก็แล้วกัน ท่านหัวหน้าตระกูลสั่งให้ข้ามานำตัวเจ้ากลับไปรับโทษตามกฎตระกูล!”
จากนั้น..ภาพต่อมาก็คือภาพที่สองคนพ่อลูกถูกนำตัวกลับไป!
…….
หลิงหยุนปิดคอมพิวเตอร์ทันทีและไม่ต้องการที่จะดูต่ออีก..
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง..”
“ตระกูลหลง..ตระกูลเฟิง.. ป้ายหยกมังกรเขียว และกุญแจเปิดสุสานงั้นรึ”
หลิงหยุนค่อยๆลุกขึ้นยืนพร้อมกับรำพึงรำพันออกไปว่า
“เป็นฝีมือของตระกูลหลงแห่งปักกิ่งงั้นรึ”