บทที่ 366
เธอไม่ดีหรือไง
หลิวจือหลิงนั่งอยู่ด้านข้างของเธอ สายตามองออกไปนอกประตูตรงไปที่สนาม
มู่หรงรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ พร้อมทั้งกินผลไม้ในระหว่างที่กำลังรอหลินหยางไปด้วย
อันที่จริงหัวใจของหลิวจือหลิงไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับสีหน้าเลย คืนนี้องค์จักรพรรดิไม่น่าที่จะไม่มานะ นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย อีกอย่างองค์จักรพรรดิก็มาที่นี่ทุกวันด้วย
หรือว่าเธอจะมาเร็วเกินไป บางทีเธอจะรอให้ องค์จักรพรรดิมาก่อนแล้วค่อยแกล้งทำเป็นว่าบังเอิญมาเจอกันน่าจะดีกว่า
สาวใช้ที่อยู่รอบๆมู่หรงเริ่มที่จะจัดโต๊ะ
“ท่านพี่ ทำไมถึงได้ตั้งโต๊ะที่สนามล่ะเจ้าคะ?” หลิวจือหลิงถามอย่างสงสัย
“โอ้ ข้าชอบที่จะกินที่นี่จะได้ชมวิวสวยๆไปด้วย” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม
ที่สนามมีบรรยากาศที่สวยงามมากจริงๆ มีทั้งศาลา, ก้อนหินและดอกไม้น้ำมากมายด้วย ที่สำคัญคือพื้นที่กว้างขวางขนาดนี้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่เบ่งบานกันอย่างมีความสุข นี่ก็เป็นเพราะเหล่าขันทีในวังที่ช่ำชองในการดูแลดอกไม้พวกนี้อย่างดี
จะกินตรงนี้ได้ยังไงกัน?! กินในที่สาธารณะแบบนี้มันเป็นเรื่องที่น่าอายจะตายไป
หลิวจือหลิงกัดริมฝีปากตัวเอง องค์จักรพรรดิจะมากินที่นี่งั้นเหรอ?!
เป็นเพราะวันนี้เธอมาที่นี่ พระมเหสีจึงอยากที่จะทำให้เธอขายหน้างั้นเหรอ? แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะถามคำถามนี้ออกไป
ถ้าพูดถึงเรื่องตัวตนแล้วนางก็ดูเป็นคนที่มีความสามารถ พระมเหสีหาเหตุผลที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ในนาทีสุดท้ายและก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดขัดอะไรด้วย
“แต่ท่านพี่ ในสนามเนี่ยเหรอเจ้าคะ?” นี่มันขัดกับกฎมากมายเลยนะ
มู่หรงมองมาที่นางเล็กน้อย “ทำไมล่ะ ถ้าเจ้าไม่ชอบก็กลับไปกินที่ตำหนักเจ้าก้ได้นะ” ทั้งหมดนี้มันของเธอ
หลิวจือหลิงกัดริมฝีปากและไม่กล้าที่จะแสดงสายตาไม่พอใจให้พระมเหสีได้เห็นในตอนนี้ และเธอก็จะไม่ไปไหนด้วย เมื่อองค์จักรพรรดิมาถึง เธอจะต้องปรนนิบัติอย่างดี
ถ้าเธอสามารถเข้าไปอยู่ในสายตาขององค์จักรพรรดิได้ แล้วเธอจะยังต้องกลัวพระมเหสีอยู่เหนืออีกรึเปล่า?!
เธอดูเหมือนจะมั่นใจกับความคิดนี้มาก
มู่หรงเสวี่ยไม่มีอารมณ์ที่จะมาเดาว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องผู้ชายแล้วจะมีเรื่องอะไรอีก?!
เมื่ออาหารเตรียมใกล้จะเสร็จ หลินหยางก็รีบเข้ามา
มู่หรงนั่งประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว สายตาของ หลิวจือหลิงแวบประกายประหลาดใจแล้วจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไป “ข้าน้อยหลิวจือหลิง ขอคารวะองค์จักรพรรดิ ขอพระองค์จงมีอายุยืนหมื่นๆปี”
ฝีเท้าของหลินหยางหยุดไปชั่วขณะ แล้วจึงเผยสีหน้าจริงจังออกมา “ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อหลิวจือหลิงลุกขึ้น เธอก็แอบชำเลืองมองไปที่องค์จักรพรรดิอย่างระวัง ใบหน้าที่โดดเด่นผสมเข้ากับท่าทางที่สง่างามและเปล่งประกายอย่างเป็นเอกลักษณ์ ช่างเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา ทรงเสน่ห์จริงๆ คนนี้เป็นองค์จักรพรรดิงั้นเหรอ?!
ช่างเป็นผู้ชายที่ทำให้เขินและหัวใจเต้นรัวได้ไม่ยากเลยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระมเหสีถึงได้อยากที่จะเก็บไว้คนเดียว
มันเลี่ยงไม่ได้เลยที่เธอจะมีความคิดอะไรแบบนี้
การที่มู่หรงไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับเป็นเรื่องที่หลินหยางเคยชินไปแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะ ปกติมู่หรงเสวี่ยจะเป็นคนนั่งที่หัวโต๊ะเองแต่เพราะวันนี้หลิวจือหลิงมาที่ด้วย เธอจึงเปลี่ยนมานั่งที่ด้านข้างแทน
“มากินข้าวเถอะ” มู่หรงพูดกับหลิวจือหลิงที่ยืนโง่อย่างเฉยๆ
หลิวจือหลิงที่จู่ๆก้ได้สติกลับมารู้สึกอับอายมาก เธอเห็นว่าพระมเหสีไม่ได้ลุกขึ้นเลยตั้งแต่ต้นจนจบและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ทำไมนางถึงเป็นคนที่เอาแต่ใจแบบนี้นะ แต่เรื่องที่สำคัญคือองค์จักรพรรดิก็ยังยอมนางด้วย
นี่เป็นการกระทำที่แปลกอย่างมาก ทันใดนั้นความรู้สึกอิจฉาก็แวบเข้ามาในหัวใจ ผู้ชายคนนี้!
ผู้ชายคนนี้เป็นสามีของเธอ ตั้งแต่นี้ไปเราจะต้องอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าไปตลอด
เธอมองไปตรงที่นั่งและเห็นว่าพระมเหสีนั่งอยู่ด้านขวาขององค์จักรพรรดิ เธอจึงเดินตรงไปที่ด้านซ้ายและนั่งลงที่เก้าอี้ด้านซ้ายขององค์จักรพรรดิ เธอนั่งใกล้มากจนแทบจะได้กลิ่นขององค์จักรพรรดิ
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจว่าพวกเขาจะทำอะไร เธอเริ่มกินไปก่อนแล้ว อาหารถ้าเย็นก็จะไม่อร่อย
หลินหยางจ้องตาเขม็งไปที่เธอ นี่เขาขอให้เธอจัดการเรื่องผู้หญิงพวกนี้นะ แล้วดูสิ่งที่เธอทำสิ เธอไม่ไล่นางกลับไปด้วยซ้ำทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเขากำลังจะมา แถมนี่ยังอยู่กินข้าวด้วยอีก แค่คิดเขาก็หมดอารมณ์ที่จะกินแล้ว
หลิวจือหลิงมองไปที่องค์จักรพรรดิด้วยความเขินอายแต่แล้วก็ต้องเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องไปที่พระมเหสีอีกแล้ว ประกายแสงในดวงตาของหลิวจือหลิงหมองลง เมื่อเธอหันไปมองพระมเหสีที่กำลังกินอยู่ในตอนนี้ ก็เกิดรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก
องค์จักรพรรดิยังไม่ได้เริ่มกินเลย แล้วในฐานะนางในแบบนี้จะเริ่มกินก่อนได้ยังไง ยิ่งคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกทรมานใจมากขึ้นเท่านั้น องค์จักรพรรดิใจดีกับนางมากขนาดนี้ แต่นางก็ยังทำกับพระองค์แบบนี้ ตอนที่พระองค์เห็นนางหยิบตะเกียบขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเห็นแบบนี้หลิวจือหลิงยิ่งรู้สึกสงสารองค์จักรพรรดิมากขึ้นไปอีก แถมตอนที่องค์จักรพรรดิมาถึง ก็ไม่มีใครเข้ามาคอยเสิร์ฟอาหารให้เขาเลยด้วย
ถ้ามู่หรงเสวี่ยรู้ว่านางกำลังคิดอะไร เธอก็คงจะบอกว่านางต้องบ้าแน่ๆ กินเองไม่เป็นหรือไง?!
เพราะพวกเธอเคยชินกับการดูแลตัวเองแบบยุคสมัยใหม่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเธอจึงไม่ค่อยชินกับการดูแลแบบยุคโบราณเท่าไรแต่ก็ยังให้คนมีคนคอยทำอาหารให้
อย่างไรก็ตามถ้าเสี่ยวฉิงอยู่ที่นี่ด้วย มู่หรงเสวี่ยก็คงจะพูดไม่ได้ว่าไม่ให้นางทำ เสี่ยวฉิงมักจะคอยเตรียมอาหารให้เธอก่อนเสมอแล้วนางค่อยนั่งลงกินอาหารได้
องค์จักรพรรดิมองไปที่อาหารแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก มีหลายอย่างที่เขาอยากจะถามเธอแต่ตอนนี้มีคนนอกอยู่ด้วยดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะเปิดปากพูด
อาหารมื้อนี้จึงผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
หลังจากเวลาผ่านไปนานสุดท้ายหลิวจือหลิงก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน “องค์จักรพรรดิ สนมอย่างข้าจะเตรียมอาหารให้ท่านเอง”
แล้วเธอก็หยิบตะเกียบสะอาดพร้อมทั้งถ้วยเล็กๆและค่อยๆคีบอาหารเตรียมใส่จานให้องค์จักรพรรดิอย่างระวัง
หลินหยางขมวดคิ้วและพูดออกมาเสียงเรียบ “ไม่ต้อง เจ้านั่งกินเถอะ”
หลังจากที่พูดจบ หลินหยางเองก็จ้องไปที่มู่หรง
มู่หรงเสวี่ยกำลังกินอย่างมีความสุขดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลิวจือหลิงก็รู้สึกว่าพระมเหสีทำเกินไป องค์จักรพรรดิต้องเห็นแก่พระมเหสีแน่ๆ เขาเป็นถึงองค์จักรพรรดิ ก็ต้องมีคนคอยดูแลเสิร์ฟอาหารให้พระองค์ไม่ใช่งั้นเหรอ?! ต่อให้เห็นแก่หน้าพระมเหสีก็เถอะ
เมื่อคิดได้แบบนี้ ดวงตาของหลิวจือหลิงก็แดงระเรื่อ เธอถึงขนาดยอมที่ตักอาหารให้ทั้งๆที่เธอไม่เคยทำมาก่อนเลย ในหัวใจเธอคิดว่าองค์จักรพรรดิมีค่ามากกว่านั้น
“ข้ายังไม่หิว พระองค์ทานเยอะๆนะเจ้าคะ” หลังจากที่พูดจบ หลิวจือหลิงก็ไม่ยอมกินแต่เลือกที่จะนังมององค์จักรพรรดิแทน
หลินหยางรู้สึกปวดหัวกับภาพที่เห็น เขามองไปที่ หลิวจือหลิงด้วยสายตาเย็นชา “อย่ามองหน้าข้า”
สีหน้าของหลิวจือหลิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดและรีบก้มหัวลงทันที เธอถึงขนาดลืมตัวจนนั่งจ้องหน้าองค์จักรพรรดิตามอำเภอใจเลย
“ข้าขออภัยเพคะ” หลิวจือหลิงพูด
เธอไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีอะไรผิดปกติในน้ำเสียงของ องค์จักรพรรดิแต่กลับคิดว่าเธอเองที่เป็นฝ่ายผิด
มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่หลินหยาง ผู้หญิงแบบนี้ต้องมาอยู่กับเจ้านี่น่าเสียดายจริงๆ
หลินหยางจ้องกลับไปที่เธอ ถ้าเจ้าชอบข้ายกให้ก็ได้นะ ข้าจะไม่เปลี่ยนใจแน่นอน!
ในสายตาของหลิวจือหลิง พวกเขาต่างก็กำลังมองตากันด้วยความรักใคร่ องค์จักรพรรดิซื่อสัตย์กับพระมเหสี ในหัวใจของหลิวจือหลิงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เธอไม่ดีหรือไงกัน?!
ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาประตูมาองค์จักรพรรดิยังไม่มองหน้าเธอเลย ตราบใดที่พระองค์มองเธอมากกว่านี้หน่อย เธอก็คงจะพอใจแล้ว
พระมเหสีจะไม่พอใจได้ยังไงกัน? หลิวจือหลิงรู้สึกปวดในหัวใจ เธอรู้สึกฝืนใจอยู่นิดหน่อย
หลังจากเวลาผ่านไปนาน หลิวจือหลิงก็ถามออกมาเสียงเบา และน้ำเสียงของเธอก็ค่อนข้างที่จะระวัง “องค์จักรพรรดิ วันนี้ข้าวาดภาพดอกโบตั๋นไว้ พระองค์อยากจะไปที่ตำหนักของข้าเพื่อชมภาพดอกโบตั๋นที่ข้าวาดไว้หน่อยไหมเจ้าคะ?” หลังจากที่พูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่องค์จักรพรรดิอย่างระวัง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรักใคร่
ผู้หญิงใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่จะตกหลุมรัก ตั้งแต่วินาทีที่หลิวจือหลิงเห็นองค์จักรพรรดิ เธอก็หมอบหัวใจของเธอให้จนหมดแล้ว
หลินหยางเตะมู่หรงเสวี่ยใต้โต๊ะจนมู่หรงเสวี่ยแทบจะกระโดดลุกขึ้นกล้าดียังไงมาเตะเธอเนี่ย?!
มู่หรงเหยียบไปที่เท้าของหลินหยางด้วยแรงทั้งหมดที่มี หลินหยางเก็บกดความเจ็บปวดและเตะมู่หรงเสวี่ยด้วยเท้าอีกข้าง
สุดท้ายมู่หรงก็ช่วยไม่ได้จนต้องพูดออกมา “หลินหยาง เจ้าอยากตายหรือไง!”
หลินหยางยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้แล้วจึงพูดออกมา “ไม่ต้องโกรธหรอก ข้าไม่ไปหรอก”
เมื่อหลิวจือหลิงได้ยินสีหน้าของเธอก็ซีดเผือดและมองจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาไม่พอใจอย่างควบคุมไม่ได้
ทำไมล่ะ แค่คืนเดียวนางก็ไม่ยอมงั้นเหรอ?
ปากของมู่หรงเสวี่ยเบ้ บ้าจริง เธอถูกหลอกซะแล้ว เธอจ้องไปที่หลินหยางด้วยสายตาดุดัน
ท่าทางของหลินหยางยิ่งยากที่จะทนได้เข้าไปอีกและสายตาของเขาก็บ่งบอกออกมาว่าเขาเบื่อจะตายอยู่แล้ว
“ถ้าเจ้ามองข้าอีกครั้ง ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเลย” มู่หรงพูดอย่างดุดัน
“ได้ ได้เลย แต่ถ้าเจ้าไม่มอง เจ้าจะรู้ได้ยังไงว่าข้ามองอยู่” หลินหยางพูดออกมาด้วยสายตาอย่างที่คาดไว้เลย จะสู้กับเขางั้นเหรอ?! ถ้ากล้าก็เตรียมตัวรับเรื่องสนุกๆได้เลย
ดวงตาของหลิวจือหลิงเบิกกว้าง พระมเหสีพูดแบบนั้นได้ยังไงกัน
เธออ้าปากกว้างและอดที่จะรู้สึกสงสัยในตัวของพระมเหสีไม่ได้ นั่นองค์จักรพรรดินะ นางพูดแบบนั้นได้ยังไงกัน?!
เมื่อมองไปรอบๆเหล่าสาวใช้และขันทีต่างก็มีท่าทางที่สงบนิ่ง หลิวจือหลิงเผยรอยยิ้มขมขื่น ในสถานการณ์แบบนี้เธอกลับไม่เห็นสายตาประหลาดใจจากพวกเขาเลย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากี่ครั้งกี่คราวแล้วนะถึงทำให้คนพวกนี้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้ขนาดนี้เนี่ย
มู่หรงแสยะ “องค์จักรพรรดิคืนนี้ท่านไปที่ตำหนักของหลิวจือหลิงแล้วกัน ข้าจะให้สาวใช้เดินไปส่งที่นั่นเอง”
หลินหยางส่ายหน้าและจึงพูดออกมาพร้อมเบามือไปบีบจมูกของมู่หรง “ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะปากหวานก้นเปรี้ยว ไม่ต้องห่วงนะ ข้าสัญญากับเจ้าแล้วว่าจะไม่ไปก็คือไม่ไป”
มู่หรงแทบจะกลั้นหายใจตาย เธอมองไปที่หลินหยางอีกครั้ง ระวังเถอะว่าเฟิงจือหลิงจะมาคิดบัญชีกับเจ้า
ฮึ ข้าสนิทกับพี่เฟิงไม่ใช่หรือไง?!
เจ้ามาหยอกล้อกับคนรักเขาแบบนี้ลองดูสิว่าเขาจะจัดการเจ้ายังไง
โอ้ เจ้าทำให้ข้าอยากจะหัวเราะจริงๆ ถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ เขาก็คงจะมองเจ้าหรอก เจ้ายังห่างไกลจากข้ามาก ถึงแม้เจ้าจะเก่งแต่ก็อย่าลืมว่าข้าเป็นจักรพรรดิ ดูเหมือนว่าข้าจะทำอะไรก็ได้นะ
มู่หรงเสวี่ยข้าขอเตือนเจ้านะ อย่าทำอะไรหน้าไม่อาย
คงหนังหนาไม่เท่ากับเจ้าหรอก
พวกเขาจ้องตากันอยู่นาน
สุดท้ายหลิวจือหลิงก็ทนไม่ได้จนต้องเดินมาดึงแขนเสื้อขององค์จักรพรรดิเบาๆและพูดออกมาด้วยความรัก “องค์จักรพรรดิ คืนนี้ไปที่ตำหนักของข้าเถอะนะเจ้าคะ คืนนี้ข้าจะนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้ท่านเอง ท่านจะได้นอนหลับสบาย”
ใช่ ต้องทำแบบนี้สิ!
มู่หรงมองไปที่เขา “งั้นก็ฝากดูแลองค์จักรพรรดิด้วยนะ”
หลินหยางขมวดคิ้ว ผู้หญิงรอบตัวเขามีแต่พวกทำตัวเป็นเด็ก นี่เขาเป็นพวกพรากผู้เยาว์หรือไงกัน
เขาค่อยๆดึงมือหลิวจือหลิงออกเบาๆ