บทที่ 367 เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 367

เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ

หลิวจือหลิงไม่สามารถที่จะเก็บซ่อนหัวใจตัวเองได้จึงมองไปที่องค์จักรพรรดิ เธอเทียบกับพระมเหสีไม่ได้ ทำไม องค์จักรพรรดิถึงไม่มองเธอบ้าง เธอเองก็เป็นเมียพระองค์เหมือนกันนะ

“องค์จักรพรรดิ…” หลิวจือหลิงน้ำตาร่วง

ผู้หญิงกำลังร้องไห้ ทำไมเจ้าไม่ปลอบหน่อยล่ะ?” มู่หรงพูดเยาะเย้ยเสียงเบา

หลินหยางทำหน้าบูดบึ้ง “เดี๋ยวคืนนี้ข้ายังมีงานที่ต้องทำอีก งั้นข้าคงไม่ไปหรอก”

หลิวจือหลิงทนความอับอายไม่ไหวอีกแล้วจึงวิ่งร้องไห้ออกไป แม่นมรีบกล่าวลาองค์จักรพรรดิและพระมเหสีก่อนที่จะวิ่งตามออกไป

“ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป” หลินหยางมองมาที่เธอพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไร

“นี่ไม่ใช่เรื่องของข้านะ เด็กสาวนั่นน่ารักจะตายแต่เจ้าก็ไม่ชอบ นี่เจ้าอยากจะเป็นโสดไปชั่วชีวิตหรือยังไง?” มู่หรงเหล่ตาไปที่เขา

หลินหยางนวดขมับตัวเอง “ข้าไม่ชอบแบบนี้นี่”

“งั้นเจ้าชอบแบบไหนล่ะ? ข้าจะเลือกมาให้เจ้าสักสองคน!” มู่หรงพูดเพราะวันก่อนเธอได้เห็นพวกนางทุกคนแล้ว

“นี่เจ้าคิดว่าเป็นกะหล่ำปลีหรือไงถึงจะมาเลือกกันง่ายๆน่ะ!” หลินหยางมองมาที่เธอด้วยสายตาดุดัน

ช่างไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าพี่เฟิงชอบเข้าไปได้ยังไงกัน

“มองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม? ข้าขอเตือนเลยนะ ต่อให้เจ้าชอบข้ามันก็ไร้ประโยชน์ ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว” มู่หรงก้าวถอยหลัง

“ฟู่!” นี่ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย ใครกันจะไปชอบเธอ

“ทำไมเจ้าอะไรน่าเกลียดแบบนี้เนี่ย? ดูสิกระจายไปทั่วเลย”

“บ้าจริง ข้าล่ะกลัวเจ้าจริงๆ”

“ข้าไม่อยากจะคุยกับเจ้าแล้ว เจ้าจะทิ้งวังหลังไม่ได้ จะให้ทำยังไงกับผู้หญิงพวกนั้นล่ะ? เจ้าเองนะที่เป็นคนสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา ทำไมถึงได้ทำหน้าเบื่อหน่ายขนาดนั้นล่ะ ดูสิว่าสาวน้อยที่ร้องไห้วันนี้นางเสียใจมากแค่ไหน เจ้าไม่สงสารนางบ้างหรือไง นางนั่งรอเจ้ามาตั้งหลายชั่วโมง” มู่หรงพูดเสียงเบา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอเองก็คิดว่าเด็กสาวนั่นน่ารักมากเหมือนกัน ไม่มีอะไรร้ายกาจเพียงแค่ความอิจฉาเล็กๆน้อยๆ

“นางก็เป็นแค่เด็กสาว ยังไม่โตเลยด้วยซ้ำแล้วข้าจะทำแบบนั้นกับนางได้ยังไงล่ะ?” เขาไม่ใช่พวกโรคจิตนะ

“กลายเป็นว่าข้าไม่ชอบเด็กๆแบบนี้ไม่เหมือนกับผู้คนในยุคโบราณแบบนี้ คนยุคนี้มีลูกกันตั้งแต่อายุ 15 เป็นเจ้าจะทำยังไงล่ะ?” อายุประมาณนี้ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ยังเรียนกันอยู่เลย ยังไม่มีใครมาคิดเรื่องแบบนี้กันหรอก

ตอนอายุเท่านั้นเขายังเล่นเกมส์อยู่เลย ไม่ได้มาสนใจเรื่องผู้หญิงหรอก เรื่องกินยังน่าสนใจมากกว่าเลย

“ข้าเองก็เคยมีผู้หญิงที่รักมากๆเหมือนกัน” หลินหยางพูดออกมาเสียงเรียบ

“งั้นเจ้าก็มีคนรัก นางยังอยู่ในยุคสมัยใหม่งั้นเหรอ?” แย่หน่อยนะ เขาไม่ได้อยากที่จะกลับไปยุคสมัยใหม่ซะด้วย

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่มีทางกลับไปได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองคือคนที่สามารถเปิดมิติห้วงเวลาได้ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าเขากระหายที่จะช่วยเธอไว้

“ข้าไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” ตอนที่เขาจะจากมา พวกซอมบี้เข้ายึดครองโลกไว้หมดแล้ว ผู้คนกินกันเองไปทั่ว แล้วแบบนี้ผู้หญิงที่บอบบางแบบนั้นจะรอดมาได้ยังไง

เขากลัวว่าเธอจะกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าไม่ต้องรู้และปล่อยให้เป็นเพียงความฝันแบบนี้ต่อไป

“ตัวเธอ ไม่รู้หรอกนะแต่ข้าคิดว่าข้าคงไม่มีวันที่จะลืมเธอได้” หลินหยางพูดเสียงเรียบ

“เจ้าไม่คิดจะกลับไปหาเธอเหรอ?” มู่หรงขมวดคิ้ว แต่ถ้าหลินหยางกลับไปแล้วห้วงเวลาและมิตินี้จะเป็นยังไงล่ะ?!

“ข้าไม่กลับ” เขาจะไม่กลับไป เขาอยากที่จะจดจำภาพดีๆของเธอดีกว่าจะต้องกลับไปเจอเธอที่กลายเป็นซอมบี้

“เจ้าไม่กลับเหรอ? ทำไมล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิมอีก ถ้าเธอมีคนรักที่กำลังรออยู่ ยังไงเธอก็จะต้องกลับไป

หลินหยางยิ้มให้เธออย่างขมขื่น มู่หรงเสวี่ยสูญเสียความทรงจำ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยเล่าให้เธอฟังไปแล้วแต่ว่าครั้งนี้เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องซอมบี้ในโลกสมัยใหม่ซึ่งมีแต่จะทำให้เธอเศร้ามากขี้นไปอีก

มู่หรงเห็นสีหน้าของเขา ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันทีดังนั้นตอนนี้จึงไม่ได้ถามอะไรอีก ไม่แล้ว

“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง แล้วเจ้าจะทำยังไงกับผู้หญิงพวกนี่ล่ะ? เรื่องจะกลับหรือเปล่าก็ช่างมันเถอะแต่วังหลังก็ยังเป็นความรับผิดชอบของเจ้าอยู่ดีนะ เจ้าจะละเลยพวกนางแบบนี้ไปตลอดหรือไง?” เธอคิดว่ายังไงซะสักวันก็ต้องมีผู้หญิงที่เหมาะสม

“ไม่มีสำนึกเลยจริงๆ ขอข้าจมอยู่กับความเศร้าสักสองสามวินาทีไม่ได้เลยหรือไง?” สุดท้ายอารมณ์อ่อนไหวที่พวยพุ่งออกมาก็ถูกเธอทำลายไปจนหมด

“จะเศร้าอะไร? ก็มันจบไปแล้วไม่ใช่หรือไง? เจ้าควรจะคิดถึงเรื่องปัจจุบันดีกว่านะ” มู่หรงเสวี่ยพูดประชดประชัน ถึงแม้ในสายตาเธอจะมีความรู้สึกคิดถึงอดีตอยู่บ้างแต่เธอก็ไม่ได้เศร้ามากจนถึงกับต้องดื่มเพื่อปลดปล่อยความกังวล ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วงั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องกังวลอีก

หลินหยางรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีหัวใจเลยสักนิด

“เดี๋ยวอีกสองสามวันข้าจะแวะเข้าไป เจ้าก็จัดการอะไรๆให้มันดีกว่านี้หน่อย” หลินหยางสั่ง

มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูกและคิดว่าเขาเป็นคนที่คลั่งรักอย่างมาก หลังจากที่คุยกันมาตั้งนาน สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอะไรแถมยังเกิดสนใจผู้หญิงในวังหลังขึ้นมาอีก

“ไม่ว่าจะเป็นยังไงเจ้าก็เป็นคนพูดเอง ข้าจะพูดอะไรได้ล่ะ?!” หลินหยางพูดเสียงเรียบ

“พูดง่ายๆนะเจ้าเป็นผู้ชายที่แย่มาก ไม่มีอะไรต้องอธิบายเลย!” มู่หรงเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้และรู้สึกสงสารเหล่าผู้หญิงในวังหลังอยู่นิดหน่อย

“ก็ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายดีๆนี่” หลินหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม

“องค์หญิงบางคนก็ควรที่จะจัดการให้เร็วที่สุด ให้อยู่ที่นี่คงไม่ค่อยดีเท่าไร” มู่หรงเสวี่ยคิดถึงท่าทางเกลียดชังของเฟิงอู๋ซี

“ใช่ รอก่อนมันยังไม่พร้อมเท่าไร จะฆ่าองค์หญิงทุกคนก็คงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะเท่าไร”

มู่หรงถอนหายใจ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่อะไรที่เธออยากจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย “เรื่องการเข็นฆ่าพวกนี้ ข้าจะไม่ขอเข้าไปยุ่งด้วยนะ รู้สึกไม่ดีเท่าไร”

“เจ้ามีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้ไหมล่ะ?” หลิงหยางถามอย่างเหน็บแนม

“รู้อะไรไหม พวกเราคือคนที่ฝึกฝนการฝึกตน แน่นอนว่าคนธรรมดาอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอก”

“ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก แต่ข้าก็ยังชอบการกลับชาติมาเกิดใหม่อยู่ดี ข้ายังมีความรู้สึกอยู่บ้าง บางทีเธออาจจะรอข้าอยู่ในชาติหน้าก็ได้ แล้วข้าจะไม่อยากตามหาเธอได้ยังไงล่ะ?” หลินหยางพูดอย่างโศกเศร้า

มู่หรงไม่ได้มองเขาชัดๆ “เห็นอยู่ว่าปลอม ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นรักเธอเลย”

“โลกของผู้ชาย เจ้าไม่เข้าใจหรอก” หลินหยางพูดเสียงเรียบ

มู่หรงขี้เกียจจะสนใจเขา เธอยังกินไม่อิ่มจึงกลับมากินต่อ

ด้วยสายตาที่แหลมคมของสาวใช้จึงรีบเก็บโต๊ะและเอาอาหารที่เพิ่งทำใหม่ร้อนๆมาวางแทนที่อีกครั้ง

หลินหยางเพิ่งกินไปนิดเดียวดังนั้นเขาจึงกินต่อด้วย

“นี่เจ้าต้องกินอีกนานแค่ไหนเนี่ย? ว่างหรือไง?” มู่หรงเสวี่ยนั่งนับวันรออยู่ทุกวัน

“รอให้ทุกอย่างมั่นคงก่อน” นี่คือคำตอบในทุกวันของหลินหยาง

“เร่งมือหน่อยได้ไหม?” มู่หรงรู้สึกกังวลอยู่นิดหน่อย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นร่างเงานั้น เธอรู้สึกอยากที่จะตามหาเขาอย่างอธิบายไม่ถูก

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตามหาพ่อแม่ของเธอก่อน

ตอนนี้ไม่รู้ว่าพ่อแม่ที่รักของเธอไปอยู่ที่ไหนแล้ว?!

“นี่ก็กำลังเร่งมืออยู่” หลิงหยางกินเกี๊ยวไปด้วยในระหว่างที่ตอบ

“เจ้าก็พูดแบบนี้ทุกวันอ่ะ”

“ในเมื่อรู้อยู่แล้วเจ้าก็ยังจะถามอีก ข้าเหนื่อยนะที่เจ้ากวนข้าแบบนี้” หลินหยางพูดพร้อมสายตาที่จ้องเขม็ง

“เจ้าว่าไงนะ? ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นตัวปัญหางั้นเร่งมือสิ” มู่หรงเสวี่ยจ้องกลับไปที่เขา

“ขอร้องล่ะ ข้าไม่ใช่พระเจ้า ข้าขอเวลาหน่อยได้ไหม?”

ไม่ดีกว่า ควรจะให้เธอไปตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า

โอ้!

ที่อีกด้าน หลิวจือหลิงวิ่งร้องไห้และสะดุดล้มหลายครั้ง ตอนอยู่ที่บ้านเธอเองก็เป็นลูกสาวสุดที่รัก

ไม่เคยมีใครพูดให้เธอเสียเกียรติมากแบบนี้มาก่อนเลย แต่ชายคนนั้นกลับไม่ชายตามองเธอเลยด้วยซ้ำ

พระมเหสีมีอะไรดีหนักหนาพระองค์ถึงได้รักนางขนาดนั้นแล้วหลิวจือหลิงก็ร้องไห้โฮออกมา

หลังจากที่แม่นมตามมาทัน นางก็รับเข้ามาช่วย “คุณหนูเจ้าคะ กลับก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ อย่ามาร้องไห้ตรงนี้เลย ตรงนี้มีคนเยอะแยะนะเจ้าคะ” แม่นมหลิวปลอบใจ

ตอนนี้มีคนในวังหลายคนที่อยากอยากรู้อยากเห็นจนถึงกับเดินออกมาดูพร้อมทั้งชี้มาทางหลิวจือหลิงด้วย

แม่นมคิดว่ามันคงจะไม่ดีเท่าไร เธอกลัวว่านี่จะทำให้คนอื่นในวังเอาเจ้านายเธอไปพูดกันสนุกปากได้

ตอนนี้หลิวจือหลิงไม่สนใจสายตาของคนอื่นเลย ในหัวเธอเต็มไปด้วยภาพที่องค์จักรพรรดิมองพระมเหสีอย่างรักใคร่และเมินเธอราวกับเป็นอากาศธาตุ

นี่ทำให้หัวใจเธอเจ็บปวดอย่างมาก แล้วแบบนี้เธอจะคนได้ยังไง

“คุณหนูเจ้าคะ ลุกขึ้นก่อนนะเจ้าคะ กลับกันเถอะ” แม่นมช่วยพยุงหลิวจือหลิงให้ลุกขึ้นจากพื้นอยู่หลายครั้ง

สุดท้ายหลิวจือหลิงก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบวิ่งกลับไปอย่างเร็ว

แม่นมตกใจมากจนต้องรีบวิ่งตามไปทันที

หลังจากกลับมาถึงห้อง หลิวจือหลิงก็เริ่มดีจะหาอะไรบางอย่าง

หลังจากที่แม่นมเข้าประตูมา เธอก็รับไล่สาวใช้ออกไปจากห้องและล็อกประตูทันที

“เป็นอะไรไปเจ้าคะคุณหนู? หาอะไรอยู่เจ้าคะ?” แม่นมถาม

“ท่านแม่นม เห็นขวดยาที่ท่านแม่ให้ข้ามาหรือเปล่า?”

สีหน้าของแม่นมเปลี่ยนไป “ชูว์ เบาเสียงหน่อยค่ะ อยู่นี่ค่ะ” แม่นมหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าด้านในอย่างกังวล

หลิวจือหลิงดูเหมือนจะกลับมาได้สติแล้ว

“ท่านแม่นม ข้าจะใช้เจ้านี่” หลิวจือหลิงดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว

สีหน้าของแม่นมไม่สู้ดีเท่าไร ยังไงซะคืนนี้ทุกคนก็เห็นท่าทางขององค์จักรพรรดิได้อย่างชัดเจน

“ท่านจะใช้กับพระมเหสีงั้นเหรอคะ?”

แม่นมถามเสียงเบาที่ได้ยินกันเพียงสองคน

หลิวจือหลิงส่ายหน้า เธอจะโง่เอาไปใช้กับพระมเหสีได้ยังไงกันละ? ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไม่ใช่หรือไง?!

“ท่านแม่นม ข้าจะใช้กับตัวเอง” หลิวจือหลิงพูดเสียงเบา

ตราบใดที่เธอใช้ยานี้ในห้องของพระมเหสีไม่เพียงแต่องค์จักรพรรดิจะสงสัยพระมเหสีเท่านั้นแต่พระองค์อาจจะมาที่ห้องกับเธอเพื่อช่วยเธอด้วยก็ได้

“แต่คุณหนู แต่ว่าถ้าเกิด…” ถ้าเผื่อองค์จักรพรรดิไม่ได้ช่วยล่ะ?! งั้นคุณหนูก็จะต้องตายนะสิ นี่มันยาพิษที่ไม่มียารักษานะ แต่ต้องมีผู้ชายมาช่วย

“ท่านแม่นม ท่านรู้อะไรไหม?! คืนนี้พระองค์ไม่มองข้าเลยด้วยซ้ำ ถ้าข้าไม่พูดออกมา บางทีพระองค์ก็อาจจะไม่มีวันเห็นข้า” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ น้ำตาของหลิวจือหลิงก็ล่วงลงมาอีกครั้ง

แม่นมช่วยเช็ดน้ำตาให้หลิวจือหลิงอย่างเจ็บปวดแต่เธอก็กลัวว่านายหญิงจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้

นายหญิงให้ยานี้มาเพื่อใช้กับคนอื่นไม่ใช่เอามาใช้กับคุณหนู

“คุณหนูคะ ทำไมเราไม่รออีกหน่อย นี่ยังไม่มีข่าวอะไรจากตำหนักอื่นเลยนะเจ้าคะ ทำไมเราถึงต้องกังวลมากขนาดนี้ด้วย?”

“ข้าเกรงว่าถ้าไม่ใช่เพราะพระมเหสี องค์จักรพรรดิก็จะไม่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบวังนี้