ภาคที่ 30 ปรมาจารย์และลูกศิษย์ ตอนที่ 30 กราบเป็นอาจารย์หรือ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 30 กราบเป็นอาจารย์หรือ โดย Ink Stone_Fantasy

 

ระยะเวลาหลายสิบอึดใจ ดอกตูมสีดำก็ก่อร่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ในที่สุด

อุณหภูมิภายในห้องเงียบลดต่ำลงจนถึงระดับที่เหนือจินตนาการ แต่ว่าก็เพียงแค่นี้เท่านั้น! ดอกตูมสีดำลอยคว้างอยู่กลางอากาศ นอกจากความหนาวเหน็บแล้วก็มิได้มีพลานุภาพอื่นใดอีก แต่ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งคนใดๆ ที่ได้เผชิญกับดอกตูมสีดำนี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานความหนาวเหน็บได้ก็อาจจะหัวใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว หวั่นกลัวพลานุภาพที่มีอยู่ในดอกตูม!

“ในที่สุดก็สำเร็จเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาถึงตรงหน้าดอกตูมสีดำที่ลอยอยู่ มองดูใบทั้งสาม หยาดน้ำค้างบนใบไม้และดอกตูมล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึง ‘ความงดงาม’ ของความเร้นลับของกฎเกณฑ์

“ทำให้ค่ายสังหารดูดซับเข้าสู่โลกเทียมอย่างสมบูรณ์ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ

“เบ่งบานเถิด! เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย!”

นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคาดหวัง จ้องมองดอกตูมสีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้าดอกนี้

ในที่สุด

ดอกตูมก็เบ่งบานแล้ว ยามที่ดอกไม้บานนั้นงดงามอย่างที่สุด ดอกไม้บานสามกลีบ ในชั่วขณะที่ดอกไม้บานนั้น ใบไม้ทั้งสามใบและกลีบดอกไม้สีดำทั้งสามกลีบก็เริ่มสลายกลายเป็นไอหมอกสีดำหมุนอย่างบ้าคลั่งเข้าไปรวมตัวกันที่จุดศูนย์กลาง ใบไม้และกลีบดอกไม้ทุกกลีบต่างก็มารวมกันกลายเป็นไอหมอกสีดำสายหนึ่ง ไอหมอกสีดำทั้งหมดสามสายหมุนวนและตัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ผลาญทำลายทุกอย่าง ห้วงอากาศสูญสลาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสูญสลาย

ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่พลานุภาพขั้นสูงสุดถูกยับยั้งเอาไว้ ถ้าหากเป็นแก่นแห่งการทำลายล้างก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงความพรั่นพรึงอย่างใหญ่หลวง

“มหาทำลายล้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง นัยน์ตามีความคลั่งไคล้ มีเพียงการหยั่งรู้เข้าใจอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะได้รู้ว่ามันงดงามเพียงใด!

“ในที่สุดข้าก็คิดค้นเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาได้เสียที”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ

ตัวเองสรรสร้าง ยิ่งมีประสบการณ์มากก็ยิ่งพรั่นพรึง ช่างงดงามเหลือเกิน! วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าล้วนสำแดงออกมาได้อย่างถึงขีดสุดแล้ว การหลอมรวมก็สมบูรณ์แบบอย่างที่สุด ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นด้านแนวคิด องค์ประกอบ หรือการรวมกันของความเร้นลับ ต่างก็สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าแม้แต่เทพจักรวาลคิดอยากสรรสร้างเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาก็ยังมิใช่เรื่องง่าย

เช่นสิบสามกระบี่ผลาญโลกา จุดสูงสุดของระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งก็คือชั้นที่หกของเจดีย์ดาว! แน่นอนว่านี่คือบรรพชนเทียนอวี๋เพียงแค่ใช้สมมติฐานของความเร้นลับของวิถีเข่นฆ่าเท่านั้น ทว่าต่อให้เป็นบรรพชนเทียนอวี๋ อยากจะใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันของขั้นรวมเป็นหนึ่ง คิดค้นเคล็ดวิชาชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวก็ยังยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าบรรพชนเทียนอวี๋ก็มิปรารถนาจะทุ่มเทแรงใจกับสิ่งนี้มากจนเกินไปนัก

แต่ในด้านการวิวัฒน์ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณของผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นยังห่างชั้นกับเทพจักรวาล อยากจะคิดค้นเคล็ดวิชาชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยโชคช่วยอีกพอสมควร

ใช่แล้ว

โชค ที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาได้ก็เพราะโชคดีด้วยเช่นกัน

เพราะได้รับวัตถุวิเศษ ‘กระจกศิลา’ กระจกศิลานั้นวิวัฒน์เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงเองโดยอัตโนมัติ วิวัฒน์เป็นดอกไม้อันร้ายกาจที่หลอมรวมกันออกมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีทิศทาง มีแนวทางในตอนแรก! และผลกระทบของการตายของปรมาจารย์กู่ฉีต่อสภาวะจิตใจของตนก็เป็นแรงจูงใจในการคิดค้นกระบวนท่านี้ของตน เพียงแต่เปรียบกับการคิดค้นเคล็ดวิชานี้ออกมาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หวังอยากให้ปรมาจารย์กู่ฉีมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่า หวังว่าจะมีสักวันที่ตนสามารถไปกราบคารว่าท่านอาจารย์ ดื่มสักหลายจอกไปพร้อมกับสนทนากับท่านอาจารย์

“ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ในประวัติศาสตร์ของสองโลกทิพย์บันทึกเอาไว้ว่าผู้ที่สามารถทำขั้นนี้ได้สำเร็จมีอยู่เพียงสองคนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง

ถึงแม้ว่าจะโชคดี

แต่ก็ยังจำเป็นต้องสั่งสมมากยิ่งกว่า!

ระดับขั้นจำเป็นต้องไปถึงขั้นสุดยอดของชั้นที่หกของเจดีย์ดา ถึงแม้ว่าจะสั่งสมอย่างหนักแน่นหาใดเปรียบ ก็ยังต้องอาศัยการเผชิญโชคอย่างเช่นประสบโอกาสบางอย่างจึงจะสามารถมาถึงจุดนี้ได้

ตอนที่มาถึงจุดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรู้สึกประสบความสำเร็จและ ‘ความรู้สึกงดงาม’ ในการชื่นชมความเร้นลับของกฎเกณฑ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  การยกระดับการหยั่งรู้ก็เป็นเช่นนี้ คิดค้นเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาก็เป็นความเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างหนึ่ง ในอนาคตคิดค้นเคล็ดวิชาก็ย่อมแสวงหาความรู้สึกงดงามเช่นนี้โดยสัญชาตญาณ ‘ความรู้สึกงดงาม’ ชนิดนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อไปถึงความสมบูรณ์แบบอย่างหนึ่งเท่านั้น

เพราะเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสามารถแสวงหาได้อย่างกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น! ดังนั้นขั้นรวมเป็นหนึ่งไปถึงชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ไปถึงขั้นอลวนย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวก็ไม่ไกลเกินเอื้อม โดยทั่วไปใช้เวลาสักระยะหนึ่งก็เป็นขั้นสุดยอดของชั้นที่แปดได้แล้ว! สั่งสมเพียงพอแล้วก็มีความหวังในการโจมตีชั้นที่เก้าอย่างยิ่งใหญ่เหลือเกินแล้ว

“ดอกไม้ดอกนี้ก็เรียกว่าเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ศาสตร์ลับที่ตนคิดค้นขึ้น

หนึ่งคือศาสตร์ลับวิถีโลกเทียมอันบริสุทธิ์ วิชาโลกเทียม ส่วนอีกหนึ่งอย่างก็คือศาสตร์ลับเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายที่เป็นการหลอมรวมระหว่างวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่า เชื่อว่ารอให้ตนเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน หลังจากที่วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่ายกระดับแล้ว ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ก็ต้องการเพียงแค่ความก้าวหน้าอีกเล็กน้อยก็จะกลายเป็นชั้นที่แปดได้อย่างง่ายดายยิ่ง

นี่คือความห่างชั้น

แม้ว่าจะเป็นจอมมาร หลังจากที่เขากลายเป็นขั้นอลวนมาเนิ่นนานแล้ว ถึงกับต้องอาศัยร่างแปรทั้งหกจึงสามารถฝืนผ่านชั้นที่แปดได้อย่างทุลักทุเล หรืออย่างเช่นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นสุดยอดของชั้นที่เจ็ดเท่านั้น

ขอเพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุก็จะกลายเป็นชั้นที่แปดอย่างรวดเร็วแล้ว หรือแม้กระทั่งชั้นที่แปดขั้นสุดยอด! นี่ก็คือเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามจะไปถึงชั้นที่เจ็ดให้ได้ตอนยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง

“ใช้เวลาอีกเล็กน้อย วิวัฒน์กระบวนท่าที่สี่ของวิชาโลกเทียมออกมาให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบคิดเงียบๆ โลกเทียมกระบวนท่าที่สี่เป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาว เปรียบกับใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์แล้ว แต่ก็มีผลของการพันธนาการด้วย! สำหรับวิถีอื่นๆ นั้นการจะมีผลของการพันธนาการนั้นค่อนข้างยาก แต่สำหรับโลกเทียมแล้ว เดิมทีก็เป็นโลกใบหนึ่งอยู่แล้ว จึงค่อนข้างจะเชี่ยวชาญในเรื่องการพันธนาการ

ด้วยเหตุนี้จึงมิได้คิดค้นออกมามาโดยตลอด อีกทั้งก่อนหน้านี้จิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงจดจ่ออยู่กับเคล็ดวิชาหลอมรวมวิถีเข่นฆ่าและวิถีโลกเทียม ตอนนี้คิดค้น ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ออกมา

นอกจากนี้ยังมีผลของการพันธนาการ จะมาวิวัฒน์เคล็ดวิชาที่เป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวอันเป็นวิถีโลกเทียมอันบริสุทธิ์นั้นก็ง่ายดายเป็นอย่างยิ่งแล้ว

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราว

บรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้นมาเชิญสอนต่างก็ถูกห้ามมิให้เข้าไป

“คิดไม่ถึงว่าการจะมาเชิญให้ผู้อาวุโสตงป๋อสอนจะยากเย็นถึงเพียงนี้เสียแล้ว” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้ลอบทอดถอนใจ

เช่นประมุขวังเจียงฝู่ ประมุขเกาะจื่อถู แม่ทัพเทียนกวง และบรรพชนงูอู่เจ๋อ พวกเขาสี่คนนึกอยากจะมาเยี่ยมเยียนสหายก็มาเยี่ยม อยากจะปิดประตูไม่พบแขกก็ไม่พบ มีอารมณือยากจะออกมาชี้แนะสักคราหนึ่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ในอดีตตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้หลังจากเผชิญกับเรื่องของปรมาจารย์กู่ฉี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็วางความคิดจิตใจเอาไว้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น ตนเองมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งจึงจะเป็นสิ่งสำคัญ การชี้แนะน่ะหรือ แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว

ในขณะนี้

ผู้ใดก็มิอาจล่วงรู้ว่าในที่สุดตอนนี้มหาโลกทิพย์ทั้งห้าแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน  ขั้นรวมเป็นหนึ่งของยุคนี้ก็มีสิ่งมีชีวิตชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้ว

……

เมืองราชันย์มีด เรือนพักที่พำนักของจักรพรรดิสิงหั่ว

สิงหั่วสวินอีก็พำนักอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน

“คารวะผู้อาวุโสภาพจิต ผู้อาวุโสเทียนกวง” สิงหั่วสวินอีเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เจ้าลัทธิภาพจิตพูดพลางยิ้มน้อยๆ

สิงหั่วสวินอีติดตามอยู่ด้านหลังบิดา ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น

จักรพรรดิสิงหั่ว เจ้าลัทธิภาพจิต และแม่ทัพเทียนกวงแยกย้ายกันนั่งลง เบื้องหน้าของแต่ละคนต่างก็มีโต๊ะเล็กวางอยู่ จักรพรรดิสิงหั่วลงมือส่งสุราชั้นเลิศกาแล้วกาเล่าให้ด้วยตนเอง ส่วนเหล่าสาวใช้ก็ตระเตรียมอาหารเลิศรสจำนวนหนึ่ง มีจำนวนมากที่ซื้อมาจากหอสุราชื่อดังภายในเมืองราชันย์มีด

ทั้งสองฝ่ายดื่มสุราสนทนากัน พูดคุยกันมากมายหลายเรื่อง รวมทั้งพูดกันถึงเรื่องที่กู่ฉีถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารด้วย

รอจนดื่มสุราใกล้หมดแล้ว ท้องฟ้าก็มืดมิดแล้ว เจ้าลัทธิภาพจิตจึงเอ่ยว่า “น้องสิงหั่ว วันนี้ข้ากับเทียนกวงมาด้วยกันก็เพราะเมืองราชันย์มีดของข้ารู้สึกว่าสิงหั่วสวินอีบุตรชายเจ้ามีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญสูงส่งยิ่ง ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารานี้ พลังยุทธ์ก็ก้าวหน้าอย่างพุ่งทะยานเช่นนี้ เหมาะสมที่จะเข้าสู่สำนักเมืองราชันย์มีดของข้า”

สิบคนสุดท้ายที่งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคัดเลือกมาต่างก็สามารถเลือกเข้าสู่สำนักใดก็ได้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก

แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกก็ไม่มีทางรอพวกเขามาเลือกเฉยๆ อยู่แล้ว สำหรับผู้ที่มีศักยภาพเปล่งประกายจับตาในนั้น พวกเขาก็จะทำการเชื้อเชิญ งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ เท่าที่พวกเขาดูในตอนนี้ผู้ที่มีศักยภาพสูงสุดก็ต้องเป็นสิงหั่วสวินอีอย่างแน่นอน! จัดเป็นอันดับที่หนึ่งในศึกตัดสิน ทั้งยังยกระดับอย่างฉับพลันในระยะเวลาอันสั้น เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปยังอาจมีวันที่ระเบิดขึ้นมาได้อีก ถึงแม้ว่า ‘ชางฉงเทียนอวิ๋น’ จะมีพลังยุทธ์พอๆ กัน แต่ตอนที่เขามาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็เป็นชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วความก้าวหน้าก็ช้ากว่ามากนัก

แน่นอนว่าแม่ทัพเทียนกวงก็จะไปเชิญชางฉงเทียนอวิ๋นเช่นกัน

แต่เจ้าลัทธิภาพจิตก็คงจะไม่ออกหน้าแล้ว

มีเพียงสิงหั่วสวินอีคนเดียวเท่านั้นที่เจ้าลัทธิภาพจิตออกหน้าด้วยตนเอง!

“สวินอี เจ้าดูเอาเองเถิด” จักรพรรดิสิงหั่วหันหน้ามองไปทางสิงหั่วสวินอี

“ข้าไม่คิดจะเข้าร่วมสำนักเมืองราชันย์มีด” สิงหั่วสวินอีพูดตรงๆ

จักรพรรดิสิงหั่วหัวเราะอย่างโง่งม

บุตรชายของเขาผู้นี้นี่…

ถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนหนึ่ง ถึงแม้อยากจะปฏิเสธ เกรงว่าก็คงจะพูดในทำนอง ‘ข้ายังต้องคิดดูให้ละเอียดสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจ’ ไม่มีทางปฏิเสธโดยตรง ถึงอย่างไรเจ้าลัทธิภาพจิตและแม่ทัพเทียนกวงผู้เป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ก็ออกหน้าด้วยตนเอง ปฏิเสธโดยตรงก็ออกจะไม่น่าดูอยู่สักหน่อย มีชั้นเชิงในการพูดสักหน่อย พวกเจ้าลัทธิภาพจิตก็คงจะเข้าใจได้

แต่สิงหั่วสวินอีกลับยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง พูดจบก็ไม่ส่งเสียงอีกต่อไปแล้ว เขามีจักรพรรดิสิงหั่วผู้นี้เป็นบิดา ก็เคยชินกับการ ‘ตรงไปตรงมา’ เสียแล้ว

“ฮ่าฮ่า” เจ้าลัทธิภาพจิตส่ายศีรษะเบาๆ พลางพูดยิ้มๆ “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก พูดถึงพลังยุทธ์และพื้นฐาน เมืองราชันย์มีดของข้าก็แกร่งเป็นที่สุด เจ้าไม่เข้าสู่เมืองราชันย์มีด แล้วเตรียมจะเข้าสู่สำนักใดกันเล่า”

“วังทวีสูญ!” สิงหั่วสวินอีไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

แม่ทัพเทียนกวงที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “วังทวีสูญหรือ เจ้าเด็กน้อย เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปนัก เกาะปฐมบรรพชนและแดนทิพย์เหยากวงนั้นต่างก็มีบุคคลที่เป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองอยู่ เมืองราชันย์มีดของข้าจึงจะมีพื้นฐานอันลึกล้ำที่สุด ราชันย์มีดก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก ส่วนวังทวีสูญนั้นพูดถึงพลังยุทธ์แล้วก็คงนับได้ว่าเป็นลำดับที่สี่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกอย่างพอถูไถกระมัง ถ้าหากเจ้าเมืองหลัวแห่งเมืองดารารายปรารถนาจะรับศิษย์ อยากจะขยายฐานอำนาจ วังทวีสูญก็นับได้เป็นเพียงแค่ลำดับที่ห้าเท่านั้นเอง”

เจ้าเมืองหลัวเป็นตำนานของขั้นอลวน น่าเสียดายที่เขามิได้รับศิษย์แต่อย่างใด ยอดฝีมือของเมืองดารารายก็น้อยที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก เข้าสำนักไปไม่มีเจ้าเมืองหลัวคอยชี้แนะด้วยตนเอง ก็มิสู้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นเสียดีกว่า

“ข้าวางแผนจะกราบผู้อาวุโสตงป๋อแห่งวังทวีสูญเป็นอาจารย์ขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด

“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” เจ้าลัทธิภาพจิตกระจ่างขึ้นมาบ้าง “เพราะวิถีโลกเทียมอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ขอรับ”

สิงหั่วสวินอีพยักหน้า “ข้าอยากจะศีกษาวิถีโลกเทียมและเขตลวง”

“ฮ่าฮ่า” แม่ทัพเทียนกวงกลับพูดยิ้มๆ “นั่นก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับพวกเขาเลย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกแต่ละแห่งต่างก็มีตำราพื้นฐานด้วยกันทั้งนั้น! จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาวังทวีสูญก็ยังไม่มีวิถีโลกเทียมแม้แต่คนเดียวที่ไปถึงขั้นอลวน ตำราวิถีโลกเทียมที่มีอยู่ต่างก็ค่อนข้างธรรมดาสามัญ พวกเราทางนี้ต่างก็มีทั้งสิ้น! เจ้าก็สามารถพลิกอ่านได้ตามใจปรารถนาเลย ตัวเจ้าเองตอนนี้ก็เป็นเจดีย์ดาวชั้นที่สี่แล้ว สั่งสมอีกเล็กน้อยก็จะเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า เมื่อเทียบกันแล้วก็มิได้ต่างจากตงป๋อเสวี่ยอิงมากสักเท่าใดเลย จำเป็นจะต้องกราบเขาเป็นอาจารย์ด้วยหรือ ไม่แน่ว่าในอนาคตเจ้ากลายเป็นขั้นอลวน เขาก็อาจยังค้างอยู่ที่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวไปตลอดก็ได้นะ!”

“เพื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงคนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องคารวะเข้าสำนักวังทวีสูญหรอก” เจ้าลัทธิภาพจิตก็พูดขึ้น “เส้นทางการบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง! เดิมทีความแตกต่างระหว่างเจ้ากับเขาก็ไม่ได้มากนักอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มิสู้ศึกษาด้วยตนเอง อาศัยตนเองตลอดทาง คาดว่าอาจจะสามารถเดินไปได้ไกลกว่าเสียอีก”

“สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิง…ตอนนี้เขามีพรสวรรค์ล้ำเสิศน่าอัศจรรย์ก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่เทียนกวงพูดก็มีเหตุผล เขาค้างอยู่ที่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวมิอาจบรรลุได้ นี่ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องกราบเขาเป็นอาจารย์เลย ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าก็สามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ได้นะ” เจ้าลัทธิภาพจิตพูดยิ้มๆ

จักรพรรดิสิงหั่วฟังแล้วก็ตกตะลึง

เจ้าลัทธิภาพจิตน่ะหรือ

นี่อาจเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งบุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังเป็นบุคคลระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว ถึงแม้ว่าจะมิใช่ผู้ที่บำเพ็ญวิถีโลกเทียม แต่ประสบการณ์ของเขาก็เพียงพอที่จะชี้แนะได้ส่วนหนึ่ง“ว่าอย่างไรเล่า” เจ้าลัทธิภาพจิตมองสิงหั่วสวินอี นี่ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เขามาด้วยตนเอง

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่มีเจตนาดี แต่ข้าตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะกราบผู้อาวุโสตงป๋อเป็นอาจารย์” สิงหั่วสวินอีส่ายศีรษะ สายตาแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง

เจ้าลัทธิภาพจิตสะดุ้งคราหนึ่ง

………………………………….