ภาคที่ 30 ปรมาจารย์และลูกศิษย์ ตอนที่ 31 ออกจากการปลีกวิเวก

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 31 ออกจากการปลีกวิเวก โดย Ink Stone_Fantasy

 

เจ้าลัทธิภาพจิตนั้นชมชอบสิงหั่วสวินอีอย่างแท้จริง มิใช่เพราะว่าภูมิหลังของเขา แต่เป็นเพราะห้าแสนล้านปีก่อนหน้านี้สิงหั่วสวินอียังเป็นเพียงแค่เจดีย์ดาวชั้นที่สอง แต่ในระหว่างงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราพลังยุทธ์กลับพุ่งทะยาน สิ่งนี้ทำให้เจ้าลัทธิภาพจิตเกิดความอัศจรรย์ใจ เขาก็มิได้เชื่อถือเรื่อง ‘การขุดค้นศักยภาพ’ อะไรนั่น เขาเชื่อว่าในบรรดาเหล่านั้นจะต้องมีเหตุผลพิเศษอยู่บ้างมากกว่า

เหตุผลอย่างเช่น ‘มารจิต’ หรือ ‘ภัยจิต’ เป็นต้น

พรสวรรค์ในการหยั่งรู้และภูมิหลังเช่นนั้นของสิงหั่วสวินอี ภายใต้สถานการณ์ปกติย่อมไม่มีทางตกต่ำอยู่อย่างเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เจ้าลัทธิภาพจิตแน่ใจว่าจะต้องมีเหตุผลพิเศษอยู่อย่างแน่นอน! มารจิตและภัยจิตนั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุด

“ไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ระดับจิตใจก็พบกับการเสื่อมถอยอย่างนั้นหรือ” เจ้าลัทธิภาพจิตค่อนข้างคาดหวัง “บางทีเขาอาจจะเหมาะสมกับเคล็ดวิชาภาพจิตที่ข้าคิดค้นขึ้นก็ได้”

ในตอนแรกเขาก็ล้ำเลิศร้ายกาจอยู่แล้ว ในประวัติศาสตร์ของโลกทิพย์ทั้งสองก็มีขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงสองคนที่ไปถึงชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้ เขา เจ้าลัทธิภาพจิตก็เป็นหนึ่งในนั้น เคล็ดวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นชี้นำวิญญาณโดยตรง ดังนั้น ‘จิตใจ’ก็ต้องการการเสื่อมถอยเพื่อขัดเกลา ทุกครั้งที่เสื่อมถอยก็ลุกกลับขึ้นมาใหม่ จิตใจก็จะแกร่งกล้ายิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงได้ต้องตาสิงหั่วสวินอี!

“ฮ่าฮ่า เจ้าไปคิดดูให้ดีๆ อีกคราหนึ่งเถิด ก่อนงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราสิ้นสุด เจ้าก็สามารถมากราบเข้าสำนักข้าได้” เจ้าลัทธิภาพจิตยืดกายลุกขึ้นในทันที แม่ทัพเทียนกวงที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นเช่นกัน

จักรพรรดิสิงหั่วก็ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “พี่ภาพจิต เจ้าเด็กสวินอีผู้นี้ออกจะหมกมุ่นอยู่บ้าง ได้โปรดอย่าใส่ใจเลย”

“การบำเพ็ญก็คือการบำเพ็ญจิตใจ หมกมุ่นสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี” เจ้าลัทธิภาพจิตฝพูดยิ้มๆ เขามองออกเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่านี่คือต้นกล้าชั้นดี แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่อยากกราบเขาเป็นอาจารย์ เขาก็มิอาจบีบบังคับได้เลยแม้แต่น้อย!  ถึงอย่างไรในสายตาของผู้แกร่งกล้าที่ล้ำเลิศระดับนี้ ลูกศิษย์เป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดศาสตร์ลับของตนเท่านั้น สามารถรับวิชาสืบทอดของตนไปได้ก็เป็นโชคดีของลูกศิษย์แล้ว

มิอาจได้ไปก็เป็นเพราะเด็กรุ่นหลังไม่มีโชคเอง!

“สิงหั่วสวินอี” แต่แม่ทัพเทียนกวงกลับเอ่ยเสียงเย็นว่า “ไปคิดดูเสียให้กระจ่างก่อนเถิด การที่เจ้าลัทธิภาพจิตจะรับศิษย์นั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง เจ้าไม่กราบเจ้าลัทธิภาพจิต แต่จะไปกราบตงป๋อเสวี่ยอิงอะไรนั่นเป็นอาจารย์ รอให้เขาค้างอยู่ที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งไปตลอด เจ้าจะมานึกเสียใจภายหลังก็สายเกินไปเสียแล้ว”

สิงหั่วสวินอีเงียบงัน

“เฮอะ”

แม่ทัพเทียนกวงเดินตามหลังเจ้าลัทธิภาพจิตตรงออกไปด้านนอก

เพียงไม่นาน

ภายในลานกว้าง จักรพรรดิสิงหั่วและสิงหั่วสวินอีผู้เป็นบุตรชายก็เดินกลับมา

“เจ้านั่งลงสิ” จักรพรรดิสิงหั่วนั่งลงตรงนั้นแล้วก็รินสุราให้ตนเอง แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่ง

“ท่านพ่อ” สิงหั่วสวินอีนั่งลงข้างๆ อย่างเชื่อฟัง

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะมีวันที่บุตรชายข้าสามารถทำให้เจ้าลัทธิภาพจิตทำการรับศิษย์ได้ด้วย” จักรพรรดิสิงหั่วพูด “เจ้าสามารถยึดมั่นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเองได้ ข้าพึงพอใจยิ่งนัก แต่ข้าต้องบอกเจ้าเอาไว้ว่า… ภาพจิตผู้นี้มีพรสวรรค์ร้ายกาจอย่างแท้จริง ‘วิถีภาพจิต’ ที่คิดค้นขึ้นก็จัดอยู่ในระบบการบำเพ็ญพิเศษ”

“ระบบการบำเพ็ญพิเศษอย่างนั้นหรือ” สิงหั่วสวินอีสงสัย

นอกจากระบบศาสตร์โบราณ ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด ระบบทิพย์ ระบบการบำเพ็ญจอมมารดา และระบบเหล่ากลืนกิน ซึ่งเป็นระบบที่พบได้บ่อยเหล่านี้แล้ว ยังมีผู้บำเพ็ญจำนวนน้อยบางส่วน อย่างเช่นระบบผู้ท่องอากาศที่มีจำนวนน้อยนิดเป็นที่สุด ยังมีระบบบางอย่างที่อาจจะมีจำนวนผู้บำเพ็ญน้อยยิ่งกว่า ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้

ยิ่งเป็นระบบพิเศษ การเข้าสู่สำนักก็ยิ่งยาก

“อ้อ วิถีภาพจิตของเขาก็เป็นระบบพิเศษ เท่าที่ข้ารู้ อากาศอันสับสนอลหม่านมีผู้บำเพ็ญระบบนี้อยู่เพียงสองคนเท่านั้น ก็คือเขากับ ‘จักรพรรดิเก้ามังกร’ ลูกศิษย์ของเขา” จักรพรรดิสิงหั่วพูด

สิงหั่วสวินอีฟังอย่างตกตะลึง

จักรพรรดิเก้ามังกรหรือ นั่นก็คือผู้แกร่งกล้าชื่อเสียงเลื่องลือของเมืองราชันย์มีด เป็นบุคคลระดับชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวขั้นสุดยอด!

“วิถีนี้เป็นการบำเพ็ญวิญญาณโดยตรง” จักรพรรดิสิงหั่วพูด “ดังนั้นการเข้าสู่สำนักจึงยากเย็นเป็นที่สุด โดยทั่วไปเมื่อเข้าสู่สำนักได้สำเร็จก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนได้แล้ว เช่นภายในสำนักของเจ้าลัทธิภาพจิตและจักรพรรดิเก้ามังกรต่างก็มีลูกศิษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง น่าเสียดายที่ต่างก็มิได้เข้าสู่สำนัก เจ้าลัทธิภาพจิตมารับเจ้าเป็นศิษย์ คงจะรู้สึกว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่สำนักได้”

“เท่าที่ข้าดู เจ้ากราบเข้าสู่สำนักของเขา ทดลองบำเพ็ญวิถีภาพจิต ในขณะเดียวกันก็บำเพ็ญวิถีโลกเทียมควบคู่ไปด้วย บางทีอาจจะดีกับเจ้ามากกว่า” จักรพรรดิสิงหั่วมองบุตรชาย ถึงอย่างไรเมืองราชันย์มีดก็เป็นผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก หากเกิดสงครามขึ้นเมืองราชันย์มีดก็ปลอดภัยกว่าวังทวีสูญ

“ข้าก็ยังจะเลือกเข้าสู่สำนักของผู้อาวุโสตงป๋ออยู่ดี” สิงหั่วสวินอีพูด

“เพราะอะไรกัน” จักรพรรดิสิงหั่วสงสัย

“ชาตินี้ข้า สิงหั่วสวินอี เชื่อมั่นในเส้นทางวิถีโลกเทียมสายนี้แล้ว! จะกราบใครเป็นอาจารย์บนเส้นทางสายนี้ ผู้อาวุโสตงป๋อก็เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดแล้ว” สิงหั่วสวินอีพูด

……

ไม่เพียงแค่เมืองราชันย์มีดเท่านั้นที่มาเชื้อเชิญ แดนทิพย์เหยากวงและเกาะปฐมบรรพชนต่างก็มาเชื้อเชิญ แต่ก็ย่อมถูกปฏิเสธไปด้วยกันทั้งสิ้น

“อะไรนะ เจ้าลัทธิภาพจิตรับศิษย์ด้วยตนเอง แต่เขากลับปฏิเสธอย่างนั้นหรือ”

“เพื่อกราบตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ”

ผู้ที่มารับศิษย์ต่างก็ถูกปฏิเสธ ข่าวลือก็ย่อมค่อยๆ แพร่กระจายไปในหมู่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมอยู่แล้ว ยามที่แม่ทัพเทียนกวงและขั้นอลวนคนอื่นๆ อยู่ด้วยกันก็ยังพูดว่า “เฮอะ เจ้าเด็กผู้นั้นไม่คารวะเจ้าลัทธิภาพจิต แต่จะไปคารวะขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเป็นอาจารย์ นี่มิใช่เรื่องน่าขันหรืออย่างไร”

สำหรับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว… มีบางส่วนที่คิดว่าสิงหั่วสวินอีนั้นมีอุปนิสัยค่อนข้างแน่วแน่ แต่ส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่าน่าขันอยู่บ้าง

นั่นคือเจ้าลัทธิภาพจิตเชียวนะ!

มีเพียงกลายเป็นขั้นอลวนเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจถึงความน่าหวาดหวั่นของเจ้าลัทธิภาพจิต นั่นคือระบบการบำเพ็ญที่เกิดขึ้นมาใหม่ ถึงขนาดที่สามารถต่อสู้กับเทพจักรวาลซึ่งๆ หน้าได้ หลังจากนั้นก็จากไปอย่างงดงาม

ถึงขนาดที่บางคนยามพบหน้าจักรพรรดิสิงหั่วก็ทำการโน้มน้าว จักรพรรดิสิงหั่วก็ได้แต่ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ กับเรื่องนี้ “เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว โน้มน้าวไปก็เท่านั้น ตามใจเขาไปเถิด”

……

ภายในห้องเงียบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ อาณาเขตกฎเกณฑ์แผ่ปกคลุมทั่วทั้งห้องเงียบ ตอนนี้เขาคิดค้นเคล็ดวิชาใหม่ ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ขึ้นมาโดยอ้างอิงจากอาณาเขตกฎเกณฑ์ รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ พลานุภาพก็ย่อมไม่ธรรมดา อาณาเขตกฎเกณฑ์ของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนก็ยังไม่แน่ว่าจะเทียบกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้ กฎเกณฑ์โลกทิพย์ล้วนถูกกดดันออกจากห้องเงียบไปโดยสมบูรณ์

“พรึ่บ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

วิชาโลกเทียม กระบวนท่าที่สี่ ‘อเวจีน้ำแข็งยะเยือก’ ได้คิดค้นขึ้นมาแล้ว เพราะอีกไม่นานก็จะสิ้นสุดงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราแล้ว เขาจึงมิได้รีบร้อนบรรลุ ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าอาจจะเจาะลึกอีกเป็นระยะเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะสามารถบรรลุไปถึงขั้นอลวนได้แล้ว แต่เมื่อใดที่บรรลุ เขาก็ต้องอาศัยโอกาสทำให้มั่นคง วิชาสืบทอดศาสตร์โบราณและในด้านศาสตร์ลับต่างๆ ล้วนต้องสมบูรณ์แบบ ในภายหน้าเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านี้จะต้องไม่เพียงพออย่างแน่นอน

เขากลับใช้เวลาไปกับการเจาะลึก ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ และแผนภาพคลื่นจานแทน

“อีกสามร้อยปีก็จะสิ้นสุดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ควรออกไปได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้น “รอให้สิ้นสุดงานชุมนุมใหญ่แล้วก็จะกลับไปปลีกวิเวกอย่างจริงจังที่วังทวีสูญ ให้บรรลุขั้นอลวน”

เอี๊ยด…

ประตูห้องเงียบเปิดออก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินออกจากห้องเงียบ

“ผู้อาวุโส” ด้านนอกห้องเงียบมีสาวใช้คอยท่าอยู่นานแล้ว

“ถ้าหากมีผู้บำเพ็ญมาขอพบ ก็พามาพบข้าได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด อีกสามร้อยปีที่เหลือก็เตรียมไว้ให้ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้น

“เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างเคารพ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งสารไปแจ้งประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ว่าตนออกจากการปลีกวิเวกแล้ว

“ในที่สุดเจ้าก็ออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากมายต่างก็ทำการเชื้อเชิญสิงหั่วสวินอีผู้นั้น แม้กระทั่งเจ้าลัทธิภาพจิตก็ไปทำการรับศิษย์ด้วยเช่นกัน ต่างก็ไร้ประโยชน์!”

ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์บอกข้อมูล “เป็นตายอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกราบเจ้าเป็นอาจารย์ให้ได้ ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนส่วนหนึ่งที่ไปเยี่ยมคารวะจักรพรรดิสิงหั่วโน้มน้าวเจ้าเด็กผู้นั้น แต่ใครโน้มน้าวไปต่างก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ก็แน่วแน่ว่าต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”

“หา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

ผู้ที่อยากจะเข้าสู่สำนักของเจ้าลัทธิภาพจิตมีตั้งมากมายไม่รู้เท่าไหร่จริงๆ

“เจ้าเด็กผู้นี้ แน่วแน่กับวิถีโลกเทียมอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังมีพรสวรรค์อีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม

“ต้องเป็นศิษย์ที่ดีคนหนึ่งแน่”

ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกจากเรือนพักของตนเอง มุ่งหน้าไปยังเรือนพักของจักรพรรดิสิงหั่ว

……

ภายในลานบ้านของเรือนพักของจักรพรรดิสิงหั่ว

“ผู้อาวุโสตงป๋อ ยากนักที่จะมาพบข้าที่นี่” จักรพรรดิสิงหั่วยิ้มพลางนั่งลง สิงหั่วสวินอีที่อยู่ด้านข้างมองตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ดวงตากลับเปล่งประกาย

“ก่อนหน้านี้ปลีกวิเวกมาโดยตลอด หลังออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองไปทางสิงหั่วสวินอีที่อยู่ด้านข้าง “สิงหั่วสวินอีก็มีพรสวรรค์ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ต่างก็มาทำการเชื้อเชิญทั้งสิ้น ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาทำการเชื้อเชิญเช่นกัน ขอเชิญสิงหั่วสวินอีเข้าสู่สำนักวังทวีสูญของข้า ถ้าหากต้องการก็สามารถคารวะข้าเป็นอาจารย์ได้”

ทว่าสิงหั่วสวินอีกลับก้าวออกมาข้างหน้าแล้วคุกเข่าลงอย่างเคารพ “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์” หลังจากนั้นก็โขกศีรษะอย่างแรงสามครั้ง

“เอาล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

…………………………………………