ตอนที่ 524 ทางเลือกของจางจัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ตุบ ! ตุบ ! ผลัวะ ! ผลัวะ !

เสียงการโจมตีดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายในเวลาเพียงไม่นาน จางจัวก็ถูกซัดจนน่วมโดยมีรอยฟกช้ำและใบหน้าบวมปูดจนดูเหมือนศีรษะของสุกร

คาดว่าต่อให้บิดามารดาของเขามาเห็นใบหน้าในตอนนี้ก็อาจจะจำเขาไม่ได้

“พวกเจ้า…”

สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือวาจาของจางจัวยังคงดังชัดเจนแม้หลังจากถูกอัดจนใบหน้าบวมปูดเช่นนี้

“บัดซบ ! แน่จริงก็บอกชื่อของพวกเจ้ามา เมื่อออกจากเทือกเขากายสิทธิ์นี้ รอดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับพวกเจ้ายังไง !”

ขุมกำลังของเขาตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขากายสิทธิ์ และเมื่อเขารวบรวมคนจากขุมกำลังมาได้ ไม่ว่ากลุ่มคนตรงหน้าจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีทางเอาชนะได้อย่างแน่นอน

“เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้จักชื่อของพวกเรา”

อย่างไรก็ตาม เยว่ชิงเฉิงชำเลืองมองจางจัวด้วยหางตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามรังเกียจ

วาจาของเยว่ชิงเฉิงทำให้สีหน้าของจางจัวเหยเกยิ่งกว่าเดิม ทว่าเมื่อกำลังจะอ้าปากตอบโต้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างลอย ๆ

“พวกเขาเป็นคนของนครล่าฝัน เชิญเจ้านำคนไปตามหาพวกเขาที่นครล่าฝันได้เลย”

เสียงนั้นดังขึ้นมาจากจุดที่เซิ่งเซียวยืนอยู่และแน่นอนว่าผู้ที่กล่าวประโยคเมื่อครู่นี้ออกมาก็คือเขานั่นเอง

“อะไรนะ คนของนครล่าฝันงั้นรึ ?!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางจัวก็แทบทรุดลงพื้นทันที ‘นครล่าฝัน’ เป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา ขุมกำลังขนาดเล็กของเขามิอาจเทียบชั้นได้แม้แต่น้อย

“เซิ่งเซียว นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่าแส่เข้ามายุ่งหน่อยเลย !”

เยว่ชิงเฉิงตวัดสายตามองไปที่เซิ่งเซียวทันที นางยังไม่ได้เล่นสนุกมากพอ ซึ่งการประกาศตัวตนที่แท้จริงของนางต่อหน้าทุกคนเช่นนี้เป็นการทำให้นางหมดสนุกไปโดยปริยาย

เมื่อได้ยินว่าเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ มาจากนครล่าฝัน หลายคนที่ไม่ทราบตัวตนของคนเหล่านี้ต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที

ไม่แปลกใจเลยที่พวกนางจะแกร่งกล้าสามารถด้วยอายุที่เยาว์วัยเช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วพวกนางก็เป็นคนจากนครล่าฝันนี่เอง

อย่าว่าแต่จางจัวและขุมกำลังของเขาเลย เกรงว่าแม้แต่ดินแดนทางเหนือทั้งหมดก็อาจมิใช่คู่ต่อสู้ของนครล่าฝัน

“ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ การที่ข้าได้ล่วงเกินท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายลงไป ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิด !”

จางจัวเป็นคนชาญฉลาดและมีไหวพริบ เมื่อทราบตัวตนของเยว่ชิงเฉิงและคณะ เขาก็คุกเข่าลงและกล่าวขอโทษขอโพยทันที

ขุมกำลังอันดับต้น ๆ เหล่านี้มีวิธีการจัดการที่เด็ดขาดอย่างยิ่ง หากผู้ใดก่อกวนให้ขุ่นเคืองใจ มันก็ยากที่จะรอดพ้นไปได้

“ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์วังหลงก็มาจากนครล่าฝันเช่นกันรึไม่ ? การที่ข้าทำให้ท่านทั้งหลายไม่พอใจ โปรดอย่าถือสาข้าเลย”

เวลานี้จางจัวหวาดหวั่นในใจและรีบกล่าวขอโทษวังหลงและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็วเช่นกัน

“พวกเราไม่ใช่คนของนครล่าฝัน”

วังหลงและคณะของเขาส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวตามความจริงว่ามิใช่ชาวนครล่าฝัน

เมื่อได้ยินว่ากลุ่มของวังหลงมิใช่คนจากขุมกำลังทรงพลังนั้น จางจัวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ในเมื่อผู้มีพรสวรรค์ทั้งห้ามิใช่คนของนครล่าฝัน ตราบใดที่ยุติการหาเรื่องสร้างปัญหาต่อพวกเขาไปก่อน หลังจากนี้หากต้องการที่จะกำจัดคนทั้งห้า มันก็คงไม่เป็นปัญหา

“หึ ๆ แม้พวกเขาจะมิใช่คนจากนครล่าฝัน พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถรังแกได้…”

จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นเบา ๆ ก่อนเดินตรงไปหาจางจัวและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เพราะพวกเขาเป็นคนของเรือนเฟิงเสวี่ย”

ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปใกล้ทีละก้าวและกลิ่นอายความสง่างามน่าเกรงขามจากร่างของนางก็ทำให้จางจัวรู้สึกอึดอัดขึ้นมา สิ่งนี้มิใช่เป็นแรงกดดันทั่ว ๆ ไป ทว่าเป็นความหวาดหวั่นจากก้นบึ้งของหัวใจ ‘บุรุษ’ ที่สวมผ้าคลุมใบหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“เรือนเฟิงเสวี่ย !”

เมื่อได้ยินชื่อของขุมกำลังที่เพิ่งปรากฏในดินแดนทางเหนือทว่ารุ่งเรืองอย่างรวดเร็วจนเกินต้านทาน จางจัวก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ในฐานะชาวพื้นเมืองของดินแดนทางเหนือ เขาจะไม่รู้จักเรือนเฟิงเสวี่ยได้อย่างไรกัน กล่าวกันว่าผู้นำของขุมกำลังนี้ลึกลับและทรงพลังน่าเกรงขามอย่างที่สุด ในงานชุมนุมดินแดนเหนือที่ผ่านมา คนผู้นี้ก็ผนึกกำลังทั้งดินแดนทางเหนือได้สำเร็จ ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่สามขุมกำลังใหญ่ใฝ่ฝันมานานทว่าก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ

แม้พวกเขามิได้เข้าร่วมงานชุมนุมดินแดนเหนือ แต่ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของฉินอวี้โม่ก็เลื่องลือไปทั่วและน่าหวาดหวั่นไม่น้อย

“เหอะ ข้าจำได้ว่าตอนนี้ดินแดนทางเหนือผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ขุมกำลังต่าง ๆ ทั้งน้อยใหญ่ก็เข้าร่วมในกลุ่มพันธมิตรดินแดนเหนือ แต่เหตุใดข้าจึงไม่พบเห็นพวกเจ้าเลยล่ะ ? หรือเป็นเพราะพวกเจ้าไม่อยากเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรของดินแดนเหนือ ?”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวออกไป ระหว่างช่วงที่ผ่านมา พันธมิตรดินแดนเหนือพัฒนาอย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือจากฉินเฟิง ฮั่วชิงซาน อู่หลิวเฟิงและซวงเสวี่ย เกือบทุกขุมกำลังในดินแดนทางเหนือได้ผนึกกำลังรวมกันแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ทราบดีว่ายังมีขุมกำลังเล็ก ๆ บางแห่งที่ไม่ยินยอมเข้าร่วมพันธมิตร พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องการยอมจำนนและยังคงพิจารณาเพื่อพยายามหาทางเลือกอื่น ๆ ให้กับตนเอง

บัดนี้ในเมื่อจางจัวถวายตัวมาให้กับนางแล้ว แน่นอนว่านางก็ต้องการใช้เขาเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูและกระตุ้นให้ขุมกำลังเล็ก ๆ เหล่านั้นตัดสินใจ

ใบหน้าของจางจัวซีดเผือดทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีคำตอบใดอยู่ในหัว

เดิมทีขุมกำลังของเขาก่อตั้งขึ้นมาโดยบิดาของเขา ทว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน บิดาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อออกไปฝึกยุทธ์และเสียชีวิตลง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงรับช่วงต่อการปกครองของขุมกำลังมา

หลายปีที่ผ่านมานี้ ในที่สุดเขาก็พึ่งพาอาศัยวิธีการของตนเองจนฟื้นฟูสิทธิ์ตามสมควรของตนมาได้ ทว่าในเวลานี้ จู่ ๆ ดินแดนทางเหนือก็เกิดการผนึกกำลังกัน

แน่นอนว่าจางจัวไม่เต็มใจที่จะตกอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้อื่นและเขาไม่ต้องการจำนนต่อผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ยเพื่อเป็นสมาชิกของพันธมิตรดินแดนเหนือ เพราะเหตุนั้นเขาจึงรักษาระยะห่างอยู่รอบนอกและต้องการรักษาอำนาจของตนเองไว้

ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะหาเรื่องให้คนของเรือนเฟิงเสวี่ยขุ่นเคืองใจและเผชิญหน้ากันอย่างซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ ในตอนนี้หากเขาตอบว่าไม่ยอมเข้าร่วมพันธมิตร เขาก็คงไม่มีที่ยืนในดินแดนทางเหนืออีกต่อไป ทว่าหากเขายอมจำนน นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ดินแดนทางเหนือของเรารวมกันเป็นปึกแผ่นเดียวกันแล้วและนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับดินแดน บัดนี้สถานการณ์ในดินแดนเทพมายาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงการผนึกกำลังร่วมกันเท่านั้นที่ดินแดนทางเหนือของเราจะสู้กับขุมกำลังแกร่งกล้าเหล่านั้นได้ วันนี้ข้าขอลั่นวาจาไว้เลยตรงนี้…สำหรับเจ้าหรือขุมกำลังเล็กอื่น ๆ ที่ยังไม่เข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือ หากพวกเจ้าไม่ต้องการเข้าร่วมพันธมิตร ทางออกก็ไม่ซับซ้อน จงพาคนของตนออกไปจากดินแดนทางเหนือและไปพัฒนาขุมกำลังของตนเองในดินแดนอื่น หรือไม่ก็ยุบขุมกำลังของตนและกลายเป็นจอมยุทธ์อิสระไปเสีย มิฉะนั้นพันธมิตรดินแดนเหนือของเราจะไม่ยอมอยู่เฉยอีกต่อไป !”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยทว่าน้ำเสียงของนางบ่งบอกถึงความเผด็จการอย่างที่สุด

แท้ที่จริงนางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการพัฒนาของขุมกำลังเล็ก ๆ เหล่านี้ ทว่านางกังวลเรื่องที่อาจมีใครสักคนกระทำเรื่องที่สกปรกและใช้ขุมกำลังเหล่านี้เพื่อจุดชนวนหาเรื่องขัดแย้งกันในกลุ่มพันธมิตร การมีศัตรูภายนอกมิใช่เรื่องที่เลวร้าย ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการมีผู้ทรยศแอบแฝงตัวอยู่ภายใน หากต้องการพัฒนาดินแดนทางเหนือโดยไร้ความกังวลภายในเหล่านี้ นางก็ต้องแสดงทัศนคติให้ชัดเจนและแสดงความเผด็จการให้เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคน !

“ฮ่า ๆ ๆ หลัง ๆ มานี้ดินแดนทางเหนือชักจะเหิมเกริมเกินไปจริง ๆ แต่ข้าก็นึกสงสัยเช่นกันว่าเจ้าเป็นใครกัน ? หากเจ้าไม่ใช่ผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือละก็…วาจาของเจ้าไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด”

เฟิ่งซีกล่าวและมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย คนผู้นี้อยู่รวมกลุ่มกับเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เขาจึงคิดไปเองว่าน่าจะเป็นชาวนครล่าฝันเช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นท่าทางและกลิ่นอายทรงพลังรวมถึงได้ฟังวาจาของนางที่ดูจะเป็นตัวแทนของดินแดนทางเหนือนั้น เขาจึงอดเอ่ยถามให้แน่ชัดไม่ได้

“นางคือผู้นำของเรือนเฟิงเสวี่ย และเป็นผู้ปกครองคนปัจจุบันของดินแดนทางเหนือ”

เซิ่งเซียวกล่าวขึ้นเบา ๆ ทันทีที่ฉินอวี้โม่ปรากฏตัว เขาก็จำนางได้และทราบตัวตนของนางเป็นอย่างดี สาเหตุที่เขาไม่กล่าวออกไปก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะเขากำลังรอดูว่าฉินอวี้โม่ต้องการจะทำสิ่งใด บัดนี้ในเมื่อเฟิ่งซีถามด้วยความสงสัย เขาก็ไม่ปิดบังและตอบตามความจริง

“อะไรนะ ผู้ปกครองของดินแดนทางเหนืองั้นรึ ?!”

เมื่อผู้คนโดยรอบได้ยินวาจาของเซิ่งเซียว สายตาสงสัยใคร่รู้ของพวกเขาก็จับจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่ทันที

อันที่จริงไม่ได้มีคนจากดินแดนทางเหนือจำนวนมากนักที่เดินทางมายังเทือกเขากายสิทธิ์ในครานี้และแน่นอนว่ามีเพียงน้อยคนที่ทราบถึงตัวตนของฉินอวี้โม่ บางคนจากดินแดนทางเหนือที่มาในครานี้ก็มิได้เข้าร่วมในงานชุมนุมที่ผ่านมา บัดนี้เมื่อได้ยินและทราบถึงตัวตนของนาง เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสงสัยไม่น้อย

“ไม่แปลกใจเลยที่จะมีสภาวะพลังแกร่งกล้าเช่นนั้น มันมิใช่สิ่งที่คนธรรมดา ๆ จะมีได้”

ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

พวกเขาสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของผู้ปกครองดินแดนทางเหนือมาตลอด

ในวันนี้แม้ไม่เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน แต่กิริยาท่าทางของนางก็มากพอที่จะโน้มน้าวใจพวกเขาได้พอสมควรแล้ว ด้วยทัศนคติท่าทางและความทรงพลังเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่คนผู้นี้จะครองตำแหน่งผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ

“ดูเหมือนว่าผู้ปกครองของดินแดนเหนือและนครล่าฝันจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน หากเป็นเช่นนั้น ดินแดนเทพมายาคงจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป”

ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นเบา ๆ เขาตระหนักถึงสถานการณ์ของดินแดนเทพมายาพอสมควร บัดนี้ขุมกำลังใหญ่ ๆ ต่างก็ยับยั้งซึ่งกันและกันและติดอยู่ในสภาวะชะงักงันโดยที่ไม่มีใครได้เปรียบใคร ด้วยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของพันธมิตรดินแดนทางเหนือนี้ มิอาจทราบได้เลยว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับขั้วอำนาจของดินแดนเทพมายา

เมื่อเซิ่งเซียวเปิดเผยตัวตนของนาง ฉินอวี้โม่ก็เพียงคลี่ยิ้มอ่อน ราวกับนางคาดการณ์ไว้แล้ว

แท้ที่จริงเซิ่งเซียวผู้นี้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกมาตลอดว่าจะประมาทเขาไม่ได้เลย เห็นทีเขาจะไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกเสียแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่มักรู้สึกว่าเซิ่งเซียวผู้นี้ทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ มาโดยตลอดและดูเหมือนกำลังพยายามลองเชิงอะไรบางอย่าง

แม้ยังไม่ทราบว่าคนผู้นี้มีแผนการอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็ระมัดระวังและจับตาดูเซิ่งเซียวอยู่ไม่ห่าง

“จางจัว ตอบมาว่าเจ้าจะเลือกทางใด”

ฉินอวี้โม่กล่าวกระตุ้นให้จางจัวตัดสินใจเลือก

สิ่งที่นางลั่นวาจาออกไปที่เทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้จะถูกเผยแพร่ไปทั่วอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ขุมกำลังเล็กทั้งหลายที่กำลังพยายามพัฒนาอย่างลับ ๆ ก็คงต้องพิจารณาให้รอบคอบ เมื่อนางกลับไปถึงเมืองฉางอาน ฉินอวี้โม่จะเริ่มเตรียมมาตรการจัดการอย่างเด็ดขาด

แม้วาจาของฉินอวี้โม่ฟังดูเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ทว่าจางจัวก็ยังไม่กล้าปฏิเสธออกไป ดูเหมือนว่าหากเขากล่าวปฏิเสธ เขาอาจไม่ได้กลับจากเทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้ไปอย่างปลอดภัยนัก

“จางจัว มันจะดีกว่าหากเจ้ามาเข้าร่วมนิกายหงส์มังกรของเรา เราต้องการผู้มีพรสวรรค์อย่างเจ้า”

จู่ ๆ เฟิ่งซีก็ยิ้มกริ่มและกล่าวเชื้อเชิญจางจัวมา

พรสวรรค์ของจางจัวถือว่าไม่เลวเลย และสิ่งสำคัญคือเขาเป็นศัตรูกับฉินอวี้โม่ ดินแดนทางเหนือผนึกกำลังกันอย่างกะทันหันและพวกเขาต้องเตรียมความพร้อมเพื่อยับยั้งพันธมิตรดังกล่าว

วาจาของเฟิ่งซีทำให้ดวงตาของจางจัวเป็นประกายขึ้นมา

“ไม่ต้องห่วง ข้าคือเฟิ่งซีจากนิกายหงส์มังกร หากเจ้าอยากเข้าร่วม เพียงเอ่ยวาจาออกมา นิกายหงส์มังกรของเราจะต้อนรับเจ้าอย่างแน่นอน”

เฟิ่งซีพยายามกล่าวผูกมิตรเชื้อเชิญจางจัวอีกครั้ง

เมื่อได้ยินชื่อของเฟิ่งซี จางจัวก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

เขาเดินตรงเข้าไปหาเฟิ่งซีอย่างรวดเร็วและพยักหน้าหงึกหงักเพื่อตอบตกลง

“จงตัดสินใจให้ดี… หากเจ้าเข้าร่วมกับนิกายหงส์มังกร นั่นหมายความว่าเจ้าเป็นกบฏทรยศต่อดินแดนทางเหนือ”

ฉินอวี้โม่กล่าวอีกครั้ง ทว่านางคาดคิดไว้แล้วว่าเฟิ่งซีจะทำเช่นนี้

“เหอะ ด้วยพรสวรรค์ของข้า ข้าจะได้ใช้มันในนิกายหงส์มังกรอย่างแน่นอน แม้ว่าดินแดนทางเหนือจะผนึกกำลังกันแล้ว มันก็ยังห่างชั้นจากขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนอีกมาก ข้าอยากเห็นนักว่าพันธมิตรดินแดนเหนือของพวกเจ้าจะอยู่ได้นานสักแค่ไหน !”

จางจัวแค่นเสียงเย็นชา เขาตัดสินใจเลือกแล้วและไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าล่ะ ?”

สายตาของฉินอวี้โม่เลื่อนไปยังเหล่าผู้ติดตามที่มากับจางจัวและรอคำตอบว่าพวกเขาจะเลือกทางใด

.

.