ทางเลือกของจางจัวในการเข้าร่วมกับนิกายหงส์มังกรอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งที่ไม่ผิดจากที่ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้เลยแม้แต่น้อย
แม้ได้พบปะกันเพียงระยะสั้น ๆ นางก็ทราบแล้วว่าทัศนคติของจางจัวเป็นอย่างไร ทั้งการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า หวาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่งและประจบประแจงผู้มีอำนาจอิทธิพล ต่อให้เขาต้องการเข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือ ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางยอมรับเขาอย่างแน่นอน
สำหรับบรรดาผู้ติดตามที่มากับจางจัว พวกเขาเพียงเชื่อฟังคำสั่งของจางจัวเท่านั้น ทว่าตอนนี้พวกเขาสามารถเลือกเข้าร่วมกับพันธมิตรดินแดนเหนือของนางได้
“เหอะ ก่อนหน้านี้ข้าตามืดบอดไปจริง ๆ ที่ติดตามคนเช่นนี้ ดินแดนเหนือคือบ้านเกิดของพวกเรา หากคิดจะให้ข้าทรยศผืนแผ่นดินเกิด ข้าก็คงทำไม่ได้ ท่านผู้นำดินแดนเหนือ หากเป็นไปได้…ข้าก็อยากเข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือและต่อสู้กับศัตรูจากภายนอกไปด้วยกัน !”
ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความรังเกียจในการกระทำของจางจัวอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน เขาหยิบแผ่นป้ายหยกซึ่งบ่งบอกสถานะก่อนหน้านี้ขึ้นมาและบดขยี้มันจนแหลกละเอียด เขาผิดหวังในตัวจางจัวผู้นี้เป็นที่สุด
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเข้าร่วมกับขุมกำลังของจางจัวเป็นเพราะพฤติกรรมและทัศนคติของบิดาของเขาที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกคน ทว่านับตั้งแต่ที่บิดาของจางจัวเสียชีวิตไปและบุตรชายรับช่วงต่อ พวกเขาเหล่านี้ก็ผิดหวังในตัวผู้นำคนปัจจุบันมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากมิใช่เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับขุมกำลังนี้และไม่ต้องการจากถิ่นฐานของตน เกรงว่าพวกเขาคงถอนตัวและจากไปนานแล้ว
วันนี้ในเมื่อจางจัวประกาศตัวทรยศต่อดินแดนทางเหนืออย่างเปิดเผยและเข้าร่วมกับขุมกำลังจากดินแดนอื่นอย่างนิกายหงส์มังกร แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่เพื่อแสดงความจงรักภักดีอีกต่อไป
พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับพันธมิตรดินแดนเหนือมาก่อนและพวกเขาก็ล้วนมีถิ่นกำเนิดมาจากดินแดนแห่งนี้ ในเมื่อขุมกำลังต่าง ๆ ในดินแดนทางเหนือผนึกกำลังร่วมกัน พวกเขาก็ย่อมมีความสุขและยินดียิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นจางจัวซึ่งครองตำแหน่งผู้นำขุมกำลังของพวกเขาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือเพราะผลประโยชน์ส่วนตัวบางอย่างซึ่งทำให้พวกเขาผิดหวังยิ่งกว่าเดิม บัดนี้เมื่อผู้นำดินแดนเหนือกล่าวชักชวนด้วยตนเอง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการคว้าโอกาสนี้ไว้และเข้าร่วมพันธมิตรดังที่หวังไว้
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ตราบใดที่ทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ของดินแดนเหนือเป็นหลักและจงรักภักดีต่อพันธมิตรของเราอย่างแท้จริง ข้าก็ยินดีต้อนรับทุกคน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมกล่าวแสดงทัศนคติของตน
สำหรับฉินอวี้โม่นั้น นางไม่สนใจความแข็งแกร่งหรือความสามารถรายบุคคล ทว่าให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ของคนเหล่านั้น
ตราบใดที่พวกเขาภักดีอย่างแท้จริง แม้แต่ผู้ที่ธรรมดาไร้ฝีมือที่ต้องการเข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือ นางก็จะให้การต้อนรับอย่างแน่นอน
“เยี่ยมไปเลย !”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ผู้ที่กล่าวขึ้นคนแรกก็ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
“สหายทั้งหลาย จางจัวทรยศต่อข้อตกลงก่อนหน้านี้ของเราและเข้าร่วมกับนิกายหงส์มังกร ตอนนี้ดินแดนทางเหนือก็ผนึกกำลังกันแล้วซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราทุกคนในดินแดนนี้ ในเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว การเข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือจะทำให้เราพัฒนาเติบโตต่อไปอย่างแน่นอน โอกาสนี้จะช่วยให้เราพบปะสหายและพันธมิตรอีกมากมาย ทุกคนต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจใด ๆ !”
คนผู้นั้นกวาดสายตามองคนอื่น ๆ ที่ยังคงลังเลและกล่าวออกไปก่อนเดินไปยืนข้างหลังฉินอวี้โม่
สีหน้าของจางจัวเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินวาจาของคนผู้นั้น
“อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของเจ้าหมอนี่ พวกเจ้าทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์ของดินแดนทางเหนือเป็นอย่างดี ต่อให้ตอนนี้มันจะดูเหมือนไม่มีปัญหาใด ๆ ทว่ามันก็ไม่มีทางที่จะรวมดินแดนเหนือให้กลายเป็นปึกแผ่นเดียวกันอย่างสมบูรณ์ได้ นิกายหงส์มังกรเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา หากพวกเจ้าคนใดอยากเข้าร่วมนิกายหงส์มังกรกับข้า เราจะสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ ข้าเชื่อว่าท่านจอมยุทธ์เฟิ่งซีจะช่วยฝึกฝนบ่มเพาะเราเป็นอย่างดี ในไม่ช้าพวกเราจะกลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งของดินแดนเทพมายา !”
แน่นอนว่าเขาต้องการโน้มน้าวให้บรรดาผู้ติดตามเข้าร่วมกับนิกายหงส์มังกรเช่นเดียวกับตน ถึงอย่างไรแล้วหากเขาเข้าร่วมกับนิกายทรงพลังเช่นนี้เพียงลำพัง ไม่เพียงแต่เขาจะมีอำนาจที่อ่อนแอเท่านั้น ทว่าก็ยังมีแนวโน้มที่จะถูกรังแกกดขี่ได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ติดตามบางส่วนของเขาก็เลือกเข้าร่วมกับพันธมิตรดินแดนเหนือไปแล้วและนั่นอาจทำให้เฟิ่งซีคิดขึ้นมาได้ว่าเขาปกครองลูกน้องได้ไม่ดี เพื่อสร้างความดีความชอบให้เข้าตาผู้นำคนใหม่ เขาจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเอาชนะใจทุกคน
“เหอะ คิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเจ้างั้นรึ ? เจ้าทรยศต่อบ้านเกิดและแปรพักตร์ไปเข้าร่วมนิกายที่ทรงพลังทว่าไม่เป็นที่ยอมรับ ดินแดนทางเหนือคือบ้านของเราทุกคนและญาติสนิทมิตรสหายของเราล้วนอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยจิตใจที่สูงส่งไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของผู้นำดินแดนเหนือ วันหนึ่งท่านผู้นำจะกลายเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของดินแดนได้อย่างแน่นอน ข้าเชื่อว่าหากเราเลือกติดตามนาง พวกเราจะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้”
อีกคนกล่าวความเห็นของตนและโยนป้ายหยกทิ้งไปเช่นกัน จากนั้นเขาก็เดินไปยืนข้างหลังฉินอวี้โม่
คนอื่น ๆ ไม่รอช้าอีกต่อไปและมองจางจัวด้วยแววตารังเกียจเดียดฉันท์ พวกเขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเลือกเข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือเช่นกัน
ดินแดนทางเหนือคือถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกเขาทุกคนและแน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องการปกป้องมันอย่างเต็มที่ แม้ว่าตอนนี้นิกายหงส์มังกรจะทรงพลังอย่างยิ่งจนพวกเขาไม่ใช่คู่มือ ทว่าพวกเขาเชื่อว่าด้วยการปกครองของฉินอวี้โม่ ดินแดนทางเหนือจะกลายเป็นดินแดนที่ทรงพลังในอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาในสักวัน
เมื่อเห็นว่าทุกคนตัดสินใจเลือกแล้ว สีหน้าของเฟิ่งซีก็เหยเกเล็กน้อย ไม่คาดคิดเลยว่าคนเหล่านี้จะโง่เขลายิ่งนัก นิกายหงส์มังกรของพวกเขาเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาทว่าคนเหล่านี้กล้าปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเขา คนเขลาเบาปัญญาเหล่านี้ช่างมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างแท้จริง
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ นางต้องการคนที่มีทัศนคติแน่วแน่เช่นนี้ในขุมกำลัง แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันยังไม่มากนักและยังไม่เพียงพอที่จะประจันหน้ากับขุมกำลังทรงพลังเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เชื่อว่าบรรดาสมาชิกในพันธมิตรจะฝึกปรือจนเทียบชั้นขุมกำลังทรงพลังได้ในไม่ช้า
“ฮ่า ๆ ๆ เฟิ่งซี มิใช่ทุกคนที่จะชื่นชอบนิกายหงส์มังกรของเจ้า”
เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนคนกลุ่มหนึ่งจะเดินออกมาจากฝูงชนพร้อมรอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้า
“สวัสดีท่านผู้นำดินแดนเหนือ ข้าอ้านอวิ๋น—โอรสศักดิ์สิทธิ์จากวิหารทมิฬ ผู้อาวุโสอู่ซิงกล่าวไว้ว่าผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือคู่ควรกับการคบค้าสมาคมอย่างแท้จริงและเราไม่ควรก่อเรื่องให้ขุ่นเคืองใจ บัดนี้เมื่อได้ยินวาจาและเห็นการกระทำของผู้นำดินแดนเหนือด้วยตัวเอง วิหารทมิฬของเราก็ยินดีที่จะผูกมิตรไมตรีกับดินแดนทางเหนือและกลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน”
อ้านอวิ๋นผู้นี้ทราบตัวตนของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้อู่ซิงเดินทางกลับไปยังวิหารทมิฬและได้แจ้งข่าวให้ผู้นำ เหล่าผู้อาวุโส รวมถึงตัวเขาให้ได้ทราบด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนั้น อ้านอวิ๋นจึงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดขณะฟังวาจาและเห็นการกระทำของฉินอวี้โม่ ในที่สุดอ้านอวิ๋นก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้อาวุโสอู่ซิ่งจึงแสดงตนเคารพต่อฉินอวี้โม่ยิ่งนัก
แม้ไม่กล่าวถึงความจริงที่ว่านางคือเทพมายาคนใหม่ เพียงทัศนคติเช่นนี้ของนางก็เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจให้เขาเชื่อมั่นได้พอสมควรแล้ว
เมื่อได้ยินวาจาของอ้านอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “การที่วิหารทมิฬและนครล่าฝันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าพวกท่านก็เป็นสหายของเราดินแดนทางเหนือเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้สึกชื่นชมวิหารทมิฬเป็นอย่างมาก แม้จะมีชื่อว่าวิหารทมิฬ แต่ก็ประพฤติตัวอย่างตรงไปตรงมาและเที่ยงธรรมยิ่งกว่าผู้ที่กล่าวอ้างว่าตนเองอยู่ด้านสว่างนับร้อยเท่า”
เซิ่งเซียวซึ่งไม่เอ่ยสิ่งใดมาตลอดได้ยินน้ำเสียงถากถางในวาจาของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน ทว่าเขาก็เพียงยิ้มอ่อนและไม่สาดวาจาตอบโต้แต่อย่างใด
สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว แม้ฝ่ายของเซิ่งเซียวจะมีชื่อว่า ‘อารามโชติช่วง’ แท้จริงแล้วการกระทำของพวกเขามิได้โชติช่วงสมชื่อแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำในช่วงเวลาที่ผ่านมาล้วนเป็นมลทินต่อชื่อของขุมกำลังอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นว่าเซิ่งเซียวเพียงยิ้มบาง ๆ ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากขณะใช้ความคิด เห็นทีเซิ่งเซียวผู้นี้จะไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางของเขาก็เหมือนจะบ่งบอกว่าตัวเขาเองก็มิได้เคารพอารามโชติช่วงมากเท่าไหร่นัก
“ฮ่า ๆ ๆ ทุกท่าน ไม่ได้พบกันเสียนาน พลังของพวกท่านดูจะพัฒนาขึ้นมาก”
อ้านอวิ๋นยิ้มพลางกล่าวทักทายปิงเสวียนและคนอื่น ๆ
ครานี้อ้านอวิ๋นสวมอาภรณ์สีดำสนิทเสริมรูปลักษณ์หล่อเหลาและมีรอยยิ้มที่สดใสประดับบนใบหน้า อายุของเขาไล่เลี่ยกับโอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ พวกเขาเคยพบและต่อสู้เคียงข้างกันมาก่อนและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในระดับหนึ่ง
“ท่านก็เช่นกัน ตอนนี้พลังของท่านอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นและแซงหน้าพวกเราไปแล้ว”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่มีความริษยาใด ๆ ในน้ำเสียง นางยินดีกับอ้านอวิ๋นจากใจจริง
“ครานี้การที่ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะช่วยให้ทุกท่านบรรลุไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนเอง”
อ้านอวิ๋นยิ้มอย่างเป็นมิตร สาเหตุที่เขาพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเป็นเพราะเขาพึ่งพาอาศัยทรัพยากรมากมายในวิหารทมิฬ ทว่าในแง่ของพรสวรรค์นั้น คนตรงหน้าเหล่านี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาแม้แต่น้อย
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินมาว่าชิงเฉิง…ท่านพัฒนาอาวุธที่เรียกว่าปืนพกขึ้นมาได้ซึ่งเป็นอาวุธที่อันตรายและรุนแรงอย่างยิ่ง หลังจากนี้หากมีเวลาว่าง ท่านคงต้องแสดงให้ข้าเห็นเสียแล้ว”
กลุ่มของเขามาถึงช้ากว่าคนอื่น ๆ และทั้งสองฝ่ายมาถึงที่นี่จากคนละทิศทาง แน่นอนว่าเขาย่อมพลาดการต่อสู้ระหว่างเยว่ชิงเฉิงและฝ่ายเฟิ่งซีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็มีผู้ชมเป็นจำนวนมากและสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงเช่นนั้นก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังทราบว่าเยว่ชิงเฉิงได้พัฒนาอาวุธที่ทรงพลังเช่นนั้นขึ้นมา ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจอ้านอวิ๋นคือความสงสัยใคร่รู้และความยินดี หากสามารถประดิษฐ์คิดค้นอาวุธชั้นยอดเช่นนั้นขึ้นมาได้ ความแข็งแกร่งของนครล่าฝันคงจะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน
พวกเขาเป็นมิตรสหายที่ดีกับนครล่าฝัน เป็นธรรมดาที่เขาจะหวังให้นครล่าฝันแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะได้มีไพ่ตายซ่อนไว้มากขึ้นเมื่อต่อสู้กับขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามอย่างนิกายหงส์มังกร
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่มีปัญหา หากมีใครอยากตายและคิดจะยั่วโทสะท่านหลังจากนี้ ข้าจะแสดงพลังของปืนพกให้ได้เป็นที่ประจักษ์”
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะเสียงดังและชำเลืองมองเฟิ่งซีด้วยแววตายั่วยุ
สีหน้าของเฟิ่งซีหม่นลงทันทีที่ได้ยินวาจาของอริ
“เหอะ อย่าคิดว่าการที่มีอาวุธประหลาดนั่นแล้วเราจะเกรงกลัว โอกาสใต้สระกายสิทธิ์ครานี้จะต้องตกเป็นของเรา หากเจ้าฉลาดพอก็ควรรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป มันก็คงจะไม่คุ้มค่ากับการเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่”
เฟิ่งซีแค่นเสียงเย็นชาและนำคนของตนเองเดินออกห่างไปจากฝ่ายของเยว่ชิงเฉิง
เยว่ชิงเฉิง—สตรีที่เสียสติผู้นี้คงจะลงมือทำสิ่งที่คาดไม่ถึงหากถูกกดดันจนมากเกินไป อาวุธสองชิ้นในมือของนางประหลาดเกินไป ต่อให้ผู้อาวุโสของนิกายมาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเขาก็อาจหลบหลีกจากการโจมตีของอาวุธนั้นไม่ทันการณ์ ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจำต้องหลีกออกไปให้ไกลและรอให้โอกาสที่เหมาะสมมาถึง
“นึกว่าจะแน่”
เมื่อเห็นเฟิ่งซีนำผู้ติดตามเดินหลีกไปซ่อนตัวด้านข้าง เยว่ชิงเฉิงก็กวาดสายตามองคนเหล่านั้นอย่างเหยียดหยาม
หลังจากนั้น ทุกคนก็สนทนากันเรื่อยเปื่อยเพื่อรอผนึกคลายตัว
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็ต้องการพยายามทดสอบดูว่านางจะทำลายผนึกได้หรือไม่ ทว่าก่อนที่จะลงมือทำอะไร อ้านอวิ๋นก็ขัดจังหวะไว้เสียก่อน
ผนึกนั้นมีความสามารถในการสะท้อนกลับที่ทรงพลัง ยิ่งใช้พลังโจมตีมันมากเพียงใด พลังสะท้อนกลับก็จะยิ่งรุนแรงมากเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการอื่น ๆ ที่พวกนางลองก่อนหน้านี้ก็ล้มเหลว เวลานี้ทุกคนจึงทำได้เพียงรอเวลาจนกว่าผนึกจะคลายตัวไปโดยอัตโนมัติเท่านั้น
เวลาหลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา และแล้วก็ใกล้ถึงเวลาที่ผนึกรอบสระกายสิทธิ์จะสลายหายไปเต็มที
เมื่อทุกคนตั้งตารอให้เวลานั้นมาถึง จู่ ๆ คลื่นพลังที่แกร่งกล้าจากสามชีวิตก็แผ่มาจากทิศทางที่ต่างกันส่งผลให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน