นิสัยที่แปลกประหลาดของตู๋เถิงเป็นที่รู้กันดีในโลกวิญญาณ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเกลียดชังวิญญาณมนุษย์ ไม่เคยชอบติดต่อกับวิญญาณมนุษย์ไม่ว่าจะรูปแบบไหน วิญญาณมนุษย์ที่ยืนเฝ้าพวกนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
เจียงอวิ๋นหลงเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ สีหน้าเขาดูน่าเกลียดอย่างที่สุด
เขารู้นิสัยของตู๋เถิงไม่มากก็น้อย ตามหลักเหตุผลแล้วก็เป็นไปที่ชายคนนี้พูด ตู๋เถิงเกลียดการติดต่อกับวิญญาณมนุษย์มาก และจากที่เมิ่งอีเหลียงเคยพูดไว้ ก็ดูเหมือนจวินอู๋เสียจะไม่รู้จักโลกวิญญาณดีนัก จนแน่ใจได้ว่านางไม่ได้อยู่ที่โลกวิญญาณมานานแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็สมเหตุสมผลที่จะสรุปว่าตู๋เถิงก็ไม่รู้จักนางเช่นกัน……
เจียงอวิ๋นหลงคิดซ้ายตรองขวา แล้วทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ที่น่าหลานเยว่ถูกช่วยไปก็ปรากฏขึ้นในใจเขา
น่าหลานเยว่หนีไปได้วันนั้นก็เพราะเถาวัลย์ประหลาดที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา ในโลกวิญญาณมีใครบ้างไม่รู้ว่าร่างเดิมของตู๋เถิงคือเถาวัลย์!
เป็นไปได้ไหมว่าตู๋เถิงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้?
“ส่งคนเข้าไปในป่าที่พวกวิญญาณใหม่อยู่ ดูซิว่าจะเจอร่องรอยของจวินอู๋เสียรึเปล่า ในเมื่อนางรู้แล้วว่าพวกเราตามจับนาง นางก็น่าจะเตรียมพร้อมแล้ว ถ้าพวกเจ้าคนไหนเจอตัวนาง ไม่ต้องบุ่มบ่ามทำอะไร แค่ลอบติดตามนางและส่งคนมารายงานข้า ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” เจียงอวิ๋นหลงประหลาดใจที่พบว่าตู๋เถิงอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าเป็นความจริง เขาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้อีกต่อไป
ชายคนนั้นรับคำสั่งแล้วถอยออกไป จากนั้นเจียงอวิ๋นหลงก็ลุกขึ้นและเดินออกไปเช่นกัน
ภายในเรือนหลังเล็กที่หรูหรา เจียงอวิ๋นหลงก้าวยาวๆตรงไปยังห้องหนังสือ
ประตูห้องหนังสือถูกปิดสนิท เจียงอวิ๋นหลงเดินไปที่ประตู เขาสงบสติอารมณ์ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตู
“ใคร?” เสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนดังขึ้นจากภายในห้อง
“อาจารย์ ข้าเอง เจียงอวิ๋นหลง”
“เข้ามา”
เจียงอวิ๋นหลงเปิดประตู ในห้องหนังสือมีชายหนุ่มรูปงามแต่งกายด้วยชุดสีขาวนั่งอยู่หลังโต๊ะ ชายผู้นี้ดูไม่แก่ อย่างมากก็ประมาณ 25-26 ปี ใบหน้างดงาม ดวงตาเรียวยาวมีเสน่ห์มาก แต่รูปโฉมที่งดงามของเขาดูอ้อนแอ้นเล็กน้อย ขาดความเข้มแข็งสมชายชาตรีอย่างที่ผู้ชายมักจะมี…novel-lucky
“อวิ๋นหลง? วันนี้เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไร?” ชายอ้อนแอ้นที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเลิกคิ้วถาม เขาคือวิญญาจารย์อูจิ่วผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากจ้าววิญญาณมากที่สุดในตอนนี้นั่นเอง!
คนที่ไม่เคยเห็นตัวจริงของอูจิ่ว เกรงว่าพวกเขาจะพบว่ามันยากมากที่จะเชื่อมโยงชายอ้อนแอ้นคนนี้เข้ากับวิญญาจารย์อูจิ่วที่ทรงพลัง ว่องไว และเด็ดขาดคนนั้น
แต่ต่อหน้าอูจิ่ว เจียงอวิ๋นหลงไม่กล้าที่จะแสดงความไม่เคารพแม้แต่น้อย เขาคุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าโยวเมิ่งให้อูจิ่วฟัง
อูจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาแฝงความมุ่งร้าย
“อาจารย์ ถ้าตู๋เถิงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ เกรงว่าความตั้งใจที่จะจับหมีวิญญาณของเราจะถูกพวกวิญญาณสัตว์อสูรรู้เข้าเร็วๆนี้ ถ้าวิญญาณพืชกับวิญญาณสัตว์อสูรร่วมมือกัน มันจะส่งผลเสียต่อพวกเราอย่างแน่นอน” เจียงอวิ๋นหลงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
อูจิ่วหัวเราะออกมาดังลั่น เสียงนั้นเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยที่ไม่สามารถอธิบายได้
“อาศัยแค่พวกมันน่ะเรอะ? ต่อให้ร่วมมือกัน จะมีปัญญาทำอะไรได้”
“ความสามารถของพวกมันไม่คู่ควรจะต่อกรกับท่านอาจารย์อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้การสร้างหอคอยโยวหลิงแห่งที่สี่ล่าช้าไปแล้ว ถ้าเราปล่อยให้พวกมันก่อความวุ่นวายขึ้นอีก จะทำให้เราจับหมีวิญญาณได้ยากขึ้น และการสร้างหอคอยโยวหลิงแห่งที่สี่ก็จะต้องล่าช้าออกไปอีก” เจียงอวิ๋นหลงให้เหตุผล
อูจิ่วหรี่ตา แววตาที่เย็นเยียบในดวงตาคู่นั้นทำให้ผู้คนเย็นวาบไปทั้งสันหลัง